2552/10/27

การกำเนิดของซากดึกดำบรรพ์

ซากดึกดำบรรพ์ คือ ส่วนที่เหลือเป็นซาก (รอยพิมพ์) ของพืช หรือสัตว์ ที่มีชีวิตอยู่ในอดีตกาลและสามารถขุดพบได้จากดิน ซากสิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญมากเนื่องจากเป็นสิ่งที่ใช้บ่งชี้เวลาและช่วยนักธรณีวิทยาในการสร้างความสัมพันธ์ของหินที่มีอายุเดียวกันที่อยู่ในที่ต่างกัน เพียงส่วนเล็กๆของอวัยวะต่างชนิดของสิ่งมีชีวิตที่เกิดในอดีต เท่านั้น ที่กลายมาเป็นซากดึกดำบรรพ์ ขั้นตอนการเกิดซากดึกดำบรรพ์นั้นประกอบด้วย สอง เงื่อนไขที่สำคัญเงื่อนไขแรก ต้องมีการฝังซากทันทีทันใดที่ตาย เมื่ออวัยวะต่างๆตายลง ส่วนที่นิ่มกว่าจะถูกพวกสัตว์กินซากกินไป หรืออาจย่อยสลายไปด้วยแบคทีเรีย ซากที่ถูกฝังทันทีหลังตายเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นจากการถูกทำลายซากด้วยสิ่งที่กล่าวมา เงื่อนไขที่สอง การเกิดเป็นซากดึกดำบรรพ์จะเกิดได้ดีกับอวัยวะส่วนที่แข็ง เราพบว่ามีซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีร่างกายนิ่มด้วยเช่นกัน เช่นซากไส้เดือน แมงกะพรุน เป็นต้น แต่ก็พบจำนวนไม่มากนัก นั่นเป็นเพราะ ส่วนที่เป็นเลือดเนื้อนั้นย่อยสลายง่าย สัตว์ที่ประกอบด้วยส่วนที่แข็ง เช่นเปลือกหอย ฟัน กระดูก จะมีจำนวนมากกว่า ในบันทึกของสิ่งมีชีวิตในอดีต ด้วยเหตุที่ซากดึกดำบรรพ์เกิดได้ด้วยสองเงื่อนไขที่กล่าวมานี้ ทำให้การบันทึกสิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่สมบูรณ์ด้วยธรรมชาติของมันเอง

ดาวหาง ;)

ข้อสันนิษฐานการเกิดดาวหางมี 3 ทฤษฎีด้วยกัน คือ

ทฤษฎีแรก ดาวหางเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟบนดาวเคราะห์
ทฤษฎีที่สอง ดาวหางมีจุดกำเนิดมาจากฝุ่นละอองในอากาศ
ทฤษฎีสุดท้าย กล่าวว่า ดาวหางเกิดขึ้นในระบบสุริยะเหมือนดาวเคราะห์อื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครยืนยันชัดเจนถึงจุดกำเนิดของดาวหาง เพราะนานๆ จะมีดาวหางปรากฎ ให้สังเกต หรือศึกษา สักครั้งหนึ่ง แต่จากการคำนวณของนักวิทยาศาสตร์ พอจะทราบเกี่ยวกับเส้นทางโคจร ของดาวหาง พอสมควร เส้นทางโคจรของดาวหาง มีความสลับซับซ้อน เพราะมีอิทธิพลมาจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ ขณะเดินทาง ดาวหางยิ่งเดินทางผ่านดาวเคราะห์มากเท่าใด ย่อมได้รับอิทธิพลแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงนั้น มากเท่านั้น ดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดี ซึ่งมีมวลมาก จะส่งผลกระทบต่อการโคจรของดาวหางมาก นักดาราศาสตร์ สามารถที่จะคำนวณเส้นทางวงโคจรเดิม และวงโคจรในอนาคตของดาวหางได้ โดยศึกษาอิทธิพล ของสนามดึงดูดจากดาวเคราะห์ที่ดาวหางจะโคจรผ่าน

เชื่อว่าเป็นวัตถุที่เหลือจากการเกิดระบบสุริยะ เมื่อมารถูกความดันรังสีของ ดวงอาทิตย์ผลักดันให้ออกไปอยู่ห่างจากบริเวณภายนอกของระบบสุริยะระยะ ทาง1-2 ปีแสง โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงแหวนวงกลมเรียกว่า Oort cloud ตามความเชื่อของนักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ชื่อว่า แจน เฮนคริกอ็อร์ต

แหล่งกำเนิดของดาวหาง เชื่อกันว่าเป็นวัตถุที่เหลือจากการสร้างระบบสุริยะ เป็นคล้ายบริวารรอบนอกของระบบ ตามปกติจะมีดาวหางจำนวนหนึ่งโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์แล้วกลับคืนออกไปขอบนอกของระบบสุริยะ แต่มีบางดวงที่โคจรอยู่ภายในระบบสุริยะ

นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ดาวหางเป็นซากวัตถุที่เหลือจากการก่อตัว
ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มีอายุมากกว่า 4,500 ล้านปี เดินทางมาจากห้วงอวกาศแสนไกลและเย็นจัด ดาวหางจึงน่าจะ ยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่มาก อาจประกอบด้วยอินทรีย์สารที่จำเป็นต่อกำเนิดของสิ่งมีชีวิต และบางที ดาวหางอาจเป็นตัวนำน้ำมายังโลกในยุคแรกเริ่มที่โลกก่อกำเนิดขึ้นก็เป็นได้


ในปี พ.ศ.2493 นักดาราศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ แจน ออร์ด ( Jan Oort ) เป็นผู้เสนอทฤษฎีว่า ต้องมีแหล่งที่อยู่ของดาวหางจำนวนหลาย ๆ ล้านดวงอยู่ไกลเลยจากดาวเคราะห์ดวงนอก ของระบบสุริยะออกไป โดยห่างจากดวงอาทิตย์ราว 30,000 หน่วยดาราศาสตร์ จนถึง 1 ปีแสง หรือไกลกว่านั้น จึงเรียกถิ่นที่อยู่ของดาวหางตามความคิดนี้ว่า ดงดาวหางออร์ด(The Oort Cloud)

2552/10/26

เผยความลับ...ของมัมมี่

เมื่อปี ค.ศ. 1975 นักวิทยาศาสตร์ ได้นำเอามัมมี่ของฟาโร และขุนนางอียิปต์
โบราณ อายุประมาณประมาณ 1600 - 1000 ปีก่อนคริสตศักราช
จำนวน 17 ร่าง ของพิพิธพัณฑ์แมนเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ
มาศึกษาโดยการเอกซเรย์

ผลการเอกซเรย์พระศพเพื่อไขความลับให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้ศึกษา
โดยผลการวิเคราะห์บอกว่าฟาโรห์ส่วนใหญ่สวรรค์คตเมื่อยังมีพระชนม์น้อย..
กระโหลกของฟาโรห์หลายพระองค์มีขนาดแตกต่างกันมาก
บ่งว่าไม่ได้ร่วมสายพระโลหิตเดียวกัน..
แถมยังทำให้เรารู้ด้วยว่าฟาโรห์
และมเหสีหลายพระองค์ประชวรด้วยโรคไขข้ออักเสบ..




เผยความลับ...ของมัมมี่




โรคเกี่ยวกับฟันของชาวอียิปต์โบราณ...
จากผลเอกซเรย์พบว่าฟันของมัมมี่สึกกร่อนมากซึ่งคงทำให้เจ็บปวดและก่อให้เกิดโรคเหงือกอักเสบหรือโรคเหงือกเรื้อรังและยังพบมัมมี่จำนวนมากมีขากรรไกรผิดปกติ



ชาวอียิปต์นิยมกินขนมปังกันเป็นประจำ(จนโดนชาวกรีกเรียกว่า"พวกกินขนมปัง")
ปัญหาเรื่องโรคฟันอาจเกิดจากทรายที่ปลิวมาปะปนอยู่ในเนื้อขนมปังตั้งแต่ตอนเก็บเกี่ยวข้าว
และตอนเตรียมแป้งรวมทั้งทรายที่เติมลงไปเพื่อช่วยการบดในเครื่องโม่แป้ง



ทรายยังก่อปัญหาสุขภาพอื่นด้วย..จากผลวิเคราะห์เนื้อเยื่อปอดของมัมมี่โดยใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนพบโรคปอดซึ่งเกิดจากการสูดเองผงทรายเข้าไปด้วย

นอกจากมัมมี่ฟาโรซึ่งเป็นกษัตริย์แล้วชาวอียิปต์โบราณยัง



คำว่า มัมมี่มาจากภาษาอาหรับว่า มูมียาหมายถึงน้ำมันดิน
พบว่าแถบผ้าลินินบางส่วนที่พันร่างมัมมี่นั้นชุบไว้ด้วยสารละลายที่เจือน้ำมันดินอยู่ด้วย

ทำไม วันฮาโลวีน ถึงต้องเป็นวันที่ 31 ตุลาคม ?

หากเราคริสตังจะจัดงานวันฮาโลวีนการรับวัฒนธรรมจากประเทศทางตะวันตก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะแผ่มาทางภาพยนตร์, ข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต หนังสือและบทเพลง จนกระทั่งลูกหลานรับกระแสงานวัน "ฮาโลวีน" เราผู้เป็นคริสตังและผู้ใหญ่อาจจะถือว่าเป็นการสนุกรื่นเริงในบ้าน, เพื่อนบ้าน, เพื่อนๆ ของลูกๆ ใกล้หูใกล้ตาเราภายในครอบครัว ก็อาจทำได้ ซึ่งไม่ควรปล่อยลูกหลานไปจัดกันเอง หรือไปจัดกันตามสถานที่ต่างๆ เพราะเป็น เวลากลางคืนอีกทั้งเราควบคุมความปลอดภัยไม่ได้ ส่วนครอบครัวใดที่ไม่มีกระแสตะวันตก ในบ้านก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการจัดงานนี้อย่าลืมว่า ชาวต่างชาติที่เป็นคาทอลิก เมื่อเขาจัดงานวัน "ฮาโลวีน" (31 ตุลาคม) อันเป็นวันสุกดิบก่อนฉลองนักบุญทั้งหลายนั้น เป็นงานรื่นเริงทางสังคม มิใช่พิธีกรรมคาทอลิก แต่ควรแฝงความคิดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอันเป็นความเชื่อแบบคริสตังเข้าไว้ด้วย และไม่จำเป็นที่เด็กๆ จะต้องแต่งตัวเป็นนักบุญเพียงอย่างเดียว, การแต่งตัวเป็นวิญญาณต่างๆ และตัวละครที่เกี่ยวข้องกับนรก ก็สื่อความหมายดั้งเดิม การระลึกถึงวิญญาณทุกดวงของคริสตังโบราณว่าเราไม่ลืมเขา



ทำไม วันฮาโลวีน ถึงต้องเป็นวันที่ 31 ตุลาคม ?



ประวัติความเป็นมาอีกฉบับหนึ่ง ให้คำอธิบายถึงที่มาที่ไปของวันนี้ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เป็นความเชื่อของชาวเซ็ลต์ (Celt) เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในประเทศอังกฤษ โดยเชื่อว่าทุกวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี จะเป็นวันที่ประตูนรกถูกเปิดขึ้นมา บรรจบกับมิติโลกมนุษย์กันอย่างพอดี ทำให้เหล่าวิญญาณพยายามหาทางเข้าสิงมนุษย์ ซึ่งวิธีการแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณเข้าสิงคือ "การปลอมตัว" ทำตัวเป็นผีเสียเอง ด้วยการตกแต่งต่างๆ นานาให้ดูน่ากลัวที่สุด เทียนและระบบทำความร้อนก็จะถูกดับ เพื่อให้ร่างกายเกิดความหนาวเย็นเปรียบเสมือนร่างกายที่ไร้ซึ่งชีวิต ส่วนบ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้ดูน่าสะพรึงกลัว และผู้คนต่างส่งเสียงเพื่อทำการขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายอีกทีนึง



ทำไม วันฮาโลวีน ถึงต้องเป็นวันที่ 31 ตุลาคม ?






ทั้งนี้ หลายคนต่างสงสัยว่าทำไมสัญลักษณ์ของวันฮัลโลวีน ถึงเป็นหัวฟักทองแกะสลักสีส้ม เจ้าฟักทองนั้นมีชื่อว่า Jack O Lanterns เป็นตำนานของชาวไอริช ที่เป็นนักมายากลขี้เมาและได้ทำข้อตกลงกับปีศาจตนหนึ่ง ในกรณีที่เขาเสียชีวิตแล้ว เขาขอเพียงแค่ไม่ไปทั้งสวรรค์หรือนรก เมื่อถึงคราวชีพจรดับปีศาจตนนั้นจึงมอบถ่านอันคุกรุ่นให้แก่ Jack เขาจึงนำไปใส่ไว้ในหัวผักกาดเพื่อคอยปัดเป่าความหนาวเย็น ต่อมาชาวไอรีชจึงแกะหัวผักกาด และนำถ่านมาใส่เช่นกันเพื่อเป็นสิริมงคลในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตลอดทั้งปี เมื่อกาลเวลาผ่านไปประเพณีดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปสู่ประเทศอเมริกา แต่หัวผักกาดเป็นสิ่งที่หายาก จึงนำลูกฟักทองมาแกะสลักแทน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์สีส้ม และสีดำ ทั้งนี้ สีดำบ่งบอกถึงความมืดมิดช่วงเวลากลางคืน ส่วนสีส้มคือแสงสว่างที่ลุกโชติ เพื่อขับไล่ปีศาจนั่นเอง

2552/10/24

สุเหร่าเซโซเฟีย







สุเหร่าแห่งนี้ นอกจากจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลางแล้ว ยังเป็นสุเหร่าแห่งแรกที่มีความแปลกพิสดารกว่าสุเหร่าทั้งหลาย กล่าว เป็นสุเหร่าที่ดูกดัดแปลงมาจากโบสถ์คริสตศาสนา สุเหร่าเซโซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสาค้ำแกะสลักลวดลายไว้ไว้อย่างงดงามจำนวน 180 ต้น ชั้นล่างเป็นขนาดใหญ่ 40 ต้น และชั้นบนเป็นขนาดเล็ก 68 ต้น หลังคาเป็นรูปโรมแบน มีหอแหลมจำนวนมาก เป็นศิลปะคริสเตียนผสมกับศิลปะอิสลามจนงดงามเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแต่เดิม จักรพรรดิคอนสแตนติน เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อคริสตศวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์ที่ใช้ประกอบพิธิทางศาสนาคริสตศาสนา ใช้เวลาสร้าง 17 ปี ต่อมา พระเจ้าโมฮันเหม็ดที่ 2 ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์แห่งนี้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงรูปแบบความงดงามไว้อย่างเดิม อีกทั้งเติมศิลปะอิสลามเข้าไปให้วิจิตรตระการตายิ่งขึ้นอีกปัจจุบัน สุเหร่าเซโซเฟีย อยู่ในกรุงคอนแตนติโนเปิล ประเทศตุรกี จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง






กำแพงเมืองจีน





สิ่งก่อสร้างที่เป็นมรดกล้ำค่าอีกชิ้นหนึ่งของโลก คือ กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงยักษ์ เป็นกำแพงที่ใหญ่ที่สุด และยาวที่สุดในโลก ไม่มีกำแพงที่ไหนเทียบได้
กำแพงเมืองจีน สร้างเป็นกำแพงอิบยาวประมาณ 2,650 ไมล์ ตัวกำแพงสูง 25-30 ฟุต บนกำแพงมีทางเดินกว่า 10 ฟุต มีป้อมเชิงเทิน 1 ป้อม ซึ่งตลอดแนวกำแพง มีป้อมเชิงเทินประมาณ 1,500 ป้อม เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 300-329 ใช้แรงงานจากราษฎรนับล้านคน มีคนล้มตายเพราะการก่อสร้างครั้งนี้จำนวนมาก พระเจ้าชิวั่งตี่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีนเป็นผู้สร้างขึ้น เพื่อเป็นรั้วกั้นพรมแดนด้านเหนือของประเทศจีน ป้องกันการรุกรานของพวกตาด ศัตรูตัวสำคัญของจีนในยุคนั้น




พระเจ้าชิวั่งตี่ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ปกครองประเทศจีน เมื่อ พ.ศ. 297 พระองค์เป็นนักรบที่เข้มแข็ง และมีความสามารถเก่งกล้าเกินมนุษย์ ขณะนั้นจีกได้แตกเป็นก๊กเป็นเหล่า แต่จักรพรรดิองค์นี้สามารถทรงรวมจีนให้เป็นปึกแผ่น และยังขับไล่ไทยจากน่านเจ้าให้ถอยร่นลงมายังสุวรรณภูมิจนถึงทุกวันนี้
จักรพรรดิชิวั่งตี่ ทรงทราบว่าทางภาคเหนือมีศัตรูสำคัญ ซึ่งเป็นนักรบเชื้อสายมองโกล เพราะพระองค์เห็นว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่สกัดกั้นพวกศัตรูมิให้รุกรานได้ก็ คือ การสร้างกำแพงยักษ์ขึ้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เรืองอำนาจ ได้รับสั่งให้เกณฑ์ราษฎรมาสร้างกำแพงยักษ์ขึ้น กั้นพรมแดนประเทศจีนกับธิเบต แม้จะสิ้นเปลืองราชทรัพย์สักเท่าใด ก็มิได้ย่นย่อท้อถอย พระองค์ได้บุกบั้นสร้างกำแพงนี้จนสำเร็จ นอกจากสร้างกำแพงยักษ์ที่สุดในโลกขึ้นแล้ว จักรพรรดิจีนองค์นี้ ยังมีรับสั่งให้สร้างวังขนาดใหญ่ที่สุดขึ้นมีห้องถึงหมื่นห้อง สำหรับพระองค์จะได้เลือกบรรทมได้ทุกห้อง ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ใฝ่การสงครามตลอดเวลาจึงหวาดระแวง ไม่สงบ เกรงว่าจะมีศัตรูมาทำร้ายพระองค์อยู่เสมอ




พระเจ้าชิวั่งตี่ ไม่ชอบนักปราชญ์ราชบัณฑิต และชอบให้ชาวจีนคิดแต่เรื่องการรบ หนังสือขนบธรรมเนียมจีนซึ่งส่วนมากเป็นลัทธิขงจื๊อ มีรับสั่งให้เผาพินาศหมด ลัทธิขงจื๊ออันมากด้วยคติธรรม และขนบธรรมเนียมอันดีงามของจีนจึงเสื่อมสูญไปช่วงหนึ่ง แม้พระเจ้าชิวั่งตี่ จะเป็นนักรบเก่งกล้าสามารถเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่พระองค์กลัวก็คือความตาย
ขณะที่พระองค์แก่ชราลง เกิดความกลัวตายขึ้นมา ทว่าพระองค์คิดว่ายังไงต้องชนะให้ได้ จึงมีรับสั่งให้อำมาตย์ข้าราชบริพารไปพบ และเมื่อเห็นว่าตนหนีความตายไม่พ้นจริงๆ พระองค์จึงรับสั่งให้สร้างที่ฝังศพใหญ่ดตและสวยงามขึ้นแห่งหนึ่งเพื่อบรรจุพระศพครั้นสวรรคต เวลาเอาพระศพบรรจุ ให้เอาปลาเน่าใส่ไว้ท้ายรถ เกรงคนจะได้กลิ่นพระศพ พอบรรจุเสร็จแล้ว ก็ให้คนนำศพอื่นอีกหลายร้อยศพไปฝั่งอยู่ที่นั่น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนรู้ว่าซพไหนเป็ฯสพพระองค์ ต่อมามีคนเก่งชื่อ ฌ้อป๋าอ๋อง ค้นพบที่ฝังพระบรมศพของพระเจ้าชิวั่งตี่ และได้ขนเอาทรัพย์สมบัติอันมีค่าไปได้จำนวนมากที่เดียว แผ่นดินจีนสงบ มีความร่มเย็นอยู่ได้ตลอด รัชกาลของพระเจ้าชิวั่งตี่ แต่เมื่อสิ้นรัชกาลผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้แล้วก็เกิดศึกชิงอำนาจกันขึ้น บ้านเมืองระส่ำระสาย นักรบฮั่นเห็นเป็นโอกาสดี จึงยกพลขามกำแพงยักษ์เข้ามา แผ่นดินจีนวุ่นวายระส่ำระสาย อยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งนักรบผู้กล้ามาตั้งราชศ์ใหม่ เรียกว่า ราชวงศ์ฮั่น ขึ้น ปกครองแผ่นดินจีนอย่างสงบสุขมาถึง 400 ปี อักษรศาสตร์ สัทธิธรรมเนียมที่ถูกทำลายในสมัยพระเจ้าชิวั่งตี่ได้รับการฟื้นฟูใหม่ในช่วงนี้ ปัจจุบันกำแพงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการบูรณะปรับปรุงจากรัฐบาลจีน ให้ความยิ่งใหญ่ตระหง่านอยู่ทางภาคเหนือของประเทศจีน และเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเป็นอันมาก ผู้ใดไปประเทศจีนหากไม่ได้ไปชมกำแพงเมืองจีนแล้วเท่ากับไม่ไดไปถึงประเทศจีน และกำแพงแห่งนี้ยังจัดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย



คาตาโกมบ์







สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสิ่งหนึ่ง คือ หลุมฝั่งศพแห่งอเล็กซานเดรีย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "คาตาโกมบ์"คาตาโกบ์นี้มิได้สร้างเป็นปิระมิดเหมือนแต่ยุคแรกจัดสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทรายทำเป็นชั้นๆ และมีช่องทางเดินวกเวียนไปมาหลายไมล์ ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งไว้อย่างสวยงามตระการตาพระศพของกษัตริย์อียิปต์สมัยกลาง จะนำมาบรรจุในอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้







คาตาโกมบ์ ไม่ปรากฏว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง ปัจจุบันยังมีสภาพเกือบสมบูรณ์ พอที่จะเข้าชมกันได้ อยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง




สนามกีฬาแห่งกรุงโรม




สนามกีฬาแห่งกรุงโรม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือ ประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก

หอเอนเมืองปีซา



หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อค.ศ. 1174 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5 ชั้น เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปีค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176 ปี แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง 14 ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก

สโตนเฮนจ์


กองหินประหลาด ประกอบด้วยกองหินขนาดใหญ่จำนวนถึง 112 ก้อน และแต่ละก้อนทรงสูง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางทับซ้อนิยู่บนยอด วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 100 ฟุต หินที่เรียงรายอยู่ทั้งหมดถึง 30 ก้อน ล้วนแต่ก้อนขนาดมหึมา สูงถึง 13 ฟุต และหนักเป็นตันๆ ทั้งนั้น อายุของหินเล่านี้มีมานาน ตั้งแต่ก่อนสมัยคริสตกาลถึง 1,700 ปี ไม่มีประวัติแจ้งไว้ว่าใครเป็นผู้นำมาวาง และมาวางเพื่อประสงค์อะไร กองหินประหลาดแห่งนี้ อยู่กลางทุ่งนาอันกว้างขวาง แห่งเมืองซัสลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ตามทางสันนิฐานของนัวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ว่า กองหินประหลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งกำเนิดของการโคจรของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ได้ด้วย รัฐบาลอังกฤษ ได้เปิดสถานที่ที่มีกองหินประหลาดนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ในปี ค.ศ. 1918 และจนกระทั่งปัจจุบันนี้ยังมีผู้ไปเที่ยวชมจำนวนมาก และก็จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคกลาง






2552/10/23

UfO&ไบเบิล

เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่คริสตศาสนาถือกำเนิดขึ้น แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าต้นตอและแหล่งความเชื่อของคริสตศาสนามีมานานกว่านั้น และโยงใยกับศาสนาอื่นในตะวันออกกลางอย่างสลับซับซ้อน แรกเริ่มเดิมทีไม่ว่าจะเป็นคริสต์ ยิว อิสลาม ล้วนเชื่อในเรื่องเดียวกัน ในพระเจ้าองค์เดียวกัน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมานี่แหละคนรุ่นหลังจึงทำให้ศาสนาแตกแขนงออกไปเป็นนิกาย เป็นคนละสาย คนละแขนง สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองของบรรดาผู้นำ ซึ่งการดึงศรัทธาจากประชาชนให้มาอยู่ฝ่ายตนคงไม่มีเครื่องมืออะไรจะดีกว่าศาสนาใช่มั๊ยครับ


Ufologist หรือนักจานผีวิทยาทั้งหลายเชื่อว่า ตะวันออกกลางคือแหล่งแรกที่ UFOs ลงมายังโลกและตั้งรกรากอยู่ชั่วคราว ในจากรึกโบราณของชาวสุเมเรียนก็มีเรื่องของ Anunnaki พระเจ้าผู้มาจากดาว Nibiru บันทึกเอาไว้อย่างละเอียด แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ชาวสุเมเรียนเท่านั้น ชนชาติอื่นก็ต้องมีอะไรซักอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าจากดาวอื่นบันทึกไว้ นักจานผีวิทยา นักวิชาการ นักโบราณคดี จึงจับมือกันควานลึกเข้าไปในอดีตของตะวันออกกลาง

คัมภีร์ไบเบิลถือเป็นหลักฐานอย่างดีชิ้นหนึ่งที่บักทึกเรื่องราวให้เราได้ทราบกันว่า อย่างน้อยในจักรวาลอันแสนไพศาลนี้ ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาอื่นอาศัยอยู่ ไบเบิลถือเป็นวรรณกรรมอมตะชิ้นเอกของโลก มันยั่งยืนมานานมากกว่า 2000 ปี ย้ำ! มากกว่าสองพันปี โดยที่เนื้อหาแทบจะไม่เพี้ยนไปจากเดิม ผู้คัดลอกหรือพิมพ์ซ้ำต่างพยายามรักษาเนื้อหาเดิมชนิดอักษรต่ออักษรไว้อย่างเคร่งครัด ต้องขอบคุณตรงนี้แหละครับที่ทำให้เรา อนุชนรุ่นหลังได้รับข่าวสารที่แฝงมากับพระคัมภีร์ได้แบบแทบไม่ตกหล่น อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณผู้รจนาไบเบิล เพราะความขลังและศักดิ์สิทธิในเนื้อหานี้เองที่ทำให้ผู้แปล ผู้คัดลอกมิกล้าทำให้เนื้อหาคลาดเคลื่อน ตรงนี้น่าคิดมั๊ยครับว่าเป็นกุศโลบายที่ชาญฉลาดของผู้รจนาคัมภีร์เสียจริงๆ

2552/10/21

ตำนานฮาโลวีน


"ความเชื่อ"ตำนานของฮาโลวีนมีอยู่ว่า... วันที่ 31 ต.ค. เป็นวันที่ชาวเซ็ลด (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่า เป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พ.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งในวันที่ 31 ต.ค. นี่เองที่ชาวเซ็ลดเชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็น จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นๆ เพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้ก็เดือดร้อนถึงคนเป็นละซิ ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเซ็ลดจึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ ยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ประมาณว่า ปลอมตัวเป็นผีร้ายไปเลย ไม่ใช่มนุษย์นะ และส่งเสียงดังอึกทึก เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจ หนีหายสาบสูญไปเลย (นั่นหลอกได้แม้กระทั่งผี) บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา ´คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง´ เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสต์กาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์
"ประเพณีฮาโลวีน"ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสต์กาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเซ็ลด แต่ได้ตัดการเผาร่าง ´คนที่ถูกผีสิง´ ออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน (ค่อยยังชั่วหน่อย) กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรกันไป ประเพณีฮาโลวีนเดินทางมาถึงอเมริกาในทศวรรษที่ 1840 โดยชาวไอริชที่อพยพมายังอเมริกา สำหรับประเพณี Trick or Treat นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พ.ย. เป็นวัน ´All Souls´ พวกเขาจะเดินร้องขอ ´ขนมเค้กสำหรับวิญญาณ´ (Soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาค ก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น
"ตำนานฟักทอง"ส่วนตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช ที่กล่าวถึง Jack-o-lantern ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ ´ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก´ แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฎิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกทำให้กลวง เพื่อให้ไฟโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านในเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง ´การหยุดยั้งความชั่ว´ Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดเยอะ จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาด ก็เลยกลายเป็นฟักทองแทนด้วยเหตุผลฉะนี้แล

10 อันดับตำนานน่ากลัวของโลก

อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond) เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป! และก็จริงตามคําสาปครับ นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทนครับ

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย! ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิครับ ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์ ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบทแม็คเบ็ธ ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา

อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์ สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า "ปล่องไฟปีศาจ" และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย "ปล่องไฟปีศาจ" ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ สหรัฐฯ แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์ ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ครับ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วมทัวร์ไปพิสูจน์ได้ อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน สรุปสั้นๆแค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์หนุ่มที่ถูกกล่าวถึงกันมากในเรื่องอาถรรพ์จากคำสาปที่นักบวชแดนไอย์คุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของพระองค์ ข้อความคลังเปี่ยมด้วยอาถรรพ์ที่ว่า "มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์" ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อกันว่า ความตายเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป นับแต่สุสานถูกเปิดเมื่อปี 1922 ผู้ร่วมพิธีเปิดเสียชีวิตไป 22 คน และเล่ากันว่า นับจากนั้นมาแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หากครั้งใดที่ฟาโรห์ตุตันคาเมนถูกรบกวนก็ย่อมจะมีผู้ที่สังเวยต่อคำสาปอันลี้ลับนี้เสมอมา รวมถึงลอร์ดคาร์นาร์วอน เจ้าของทุนในการขุดค้นสุสานก็เสียชีวิตลงหลังจากถูก "ยุงกัด" "ตุตันคาเมน" เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนม์เพียง 10 พรรษา ทรงเป็นกษัตริย์อียิปต์โบราณในช่วงปี 1334 - 1323 ก่อนคริสตกาล ภายหลังขึ้นครองราชย์ได้เปลี่ยนพระนามเป็น "ตุตันคามุน" พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนม์เพียงแค่ 18 พรรษาโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เชื่อกันว่าฟาโรห์หนุ่มองค์นี้ถูกลอบปลงพระชนม์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวออกมาแย้งว่าจากการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่พบว่าพระองค์น่าจะสิ้นพระชนม์จากบาดแผลที่ติดเชื้อมากกว่าถูกลอบปลงพระชนม์ ด้วยระยะเวลาอันสั้นในการครองราชย์ทำให้ทรงไม่มีภารกิจใดมากนัก นอกจากนั้นหลังสิ้นพระชนม์ทรงถูกกษัตริย์องค์ต่อมาลบทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งพระนามของตุตันคาเมนออกจากรายนามพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ทำให้ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดรู้จักพระนามของพระองค์เลย จนกระทั่งในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1922 โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ และลอร์ด คาร์นาวอน ชาวอังกฤษค้นพบสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโลก พวกเขาเป็นสองคนแรกที่เข้าไปในสุสานของตุตันคาเมนในรอบ 3,000 ปี ในห้องที่พวกเขาพบเต็มไปด้วยทองคำและของมีค่ามากมาย ซึ่งเจ้าของของสิ่งมีค่าเหล่านี้คือฟาโรห์หนุ่มที่มีพระนามว่า "ตุตันคาเมน" นั่นเอง เนื่องจากพระศพและสุสานที่สร้างขึ้นไม่ได้สลักชื่อว่าเป็นของกษัตริย์ เลยรอดพ้นเงื้อมมือโจรที่คอยปล้นและทำลายสุสานไปได้ จึงทำให้ทุกอย่างยังคงสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด แต่กระนั้น พระองค์ก็ยังทรงไม่วายถูกรบกวนหลังจากโลงพระศพถูกเปิด อาถรรพ์ของคำสาปจึงเป็นเกราะอย่างหนึ่งที่จะทำให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงได้พักผ่อนอย่างสงบตลอดกาล

อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London) ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูก ใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่ง อังกฤษ! เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะครับ ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่ อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจังอ ย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมันครับ

อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813 ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960) เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด

อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden) นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลยครับ โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ X งูตัวแสบซิครับ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิครับ โดย X งูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา เลี้ยงท้องอย่าง เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้

นอสตราดามุสแห่งบัลแกเรีย ทำนายชะตาโลก ถึงปี 3797

เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่คิดอยู่นานเหมือนกันว่าควรนำมาเผยแพร่หรือไม่ เพราะเรื่องค่อนข้างน่าสนใจสำหรับคนไทยอย่างเรา แต่ขณะเดียวกัน ก็เห็นว่าน่ากลัวอยู่ไม่น้อย นอกจากนั้นก็ยังเป็นแนวของไสยศาสตร์ความเชื่อ และอาจจะมีเรื่องของการหลอกลวงต้มตุ๋นรวมอยู่ด้วยไม่น้อย แต่หลังจากที่ปรึกษาคนอื่นๆ และคิดเอาเองว่าชาวโอเคเนชั่น มีวิจารณญาณสูง ย่อมใช้สมองไตร่ตรองเอาเองได้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจนำมาเสนอครับ
มันเป็นเรื่องการทำนายโชคชะตาของโลกตลอดช่วงหลายร้อยปีต่อจากนี้
และผู้ทำนายก็คือวานก้า
วานก้า หรือชื่อจริงคุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า เป็นชาวบัลแกเรีย ซึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อน คุณยายผู้นี้เกิดเมื่อ 31 มกราคม1911 ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย เมื่อคลอดออกมา คุณยายทำท่าว่าจะไม่รอดตั้งแต่หลังคลอด แต่ไม่ยักกะตาย และหลังจากมีอายุได้ 2 เดือน เด็กน้อยก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเด็กปกติ ตอนอายุ 3 ขวบ แม่คุณยายก็เกิดมาตาย ไม่นานหลังจากนั้น พ่อก็ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามโลกครั้งแรก เพื่อนบ้านต้องช่วยกันดูแลเด็กน้อยแทน หลังจากพ่อกลับมา ชีวิตของท่านก็ดีขึ้น เมื่อพ่อมีเมียใหม่ แม่ใหม่ก็ไม่ได้รังเกียจลูกเลี้ยง
พอคุณยายมีอายุได้ 12 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับตัวท่าน กล่าวคือได้เกิดพายุหมุนในหมู่บ้าน ( โดยก่อนและหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย) พายุได้หอบเอาคุณยายขึ้นไปเบื้องบน ก่อนจะปล่อยตกลงมาในภายหลัง และหลังจากนั้นตาของคุณยายก็เริ่มมองไม่เห็น หลังการผ่าตัดก็ไม่หาย และมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง 3 ปีหลังเหตุการณ์นั้น
ปี 1925 คุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนคนตาบอด และใช้เวลาอยู่ที่นี่ 3 ปี เมื่อกลับมาบ้าน ก็ต้องเจอกับชีวิตที่ยากลำบาก ทั้งความยากจน งานหนัก และโรคภัยไข้เจ็บที่เกือบจะคร่าชีวิต แต่ในช่วงนั้นเองที่คุณยายเริ่มรู้สึกตัวว่ามีอำนาจพิเศษ นั่นก็คือการมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆทั้งจากในความฝัน พรายกระซิบ และอื่นๆ ทำให้สามารถทำนายทายทักเหตุการณ์ทั้งที่จะเกิดในอนาคต และเกิดมาแล้วได้อย่างแม่นยำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องทหารที่สูญหายไปในแนวหน้า แต่ตอนแรก คุณยายไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร กลัวจะถูกหาว่า นอกจากบอดแล้วยังบ้า
คำทำนายครั้งแรกของคุณยาย มีขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี คือการบอกถึงสถานที่ที่แพะของพ่อที่ถูกลักไป ถูกนำไปซ่อน คุณยายบอกว่า ท่านเห็นสิ่งนี้ในฝัน
ปี 1942 คุณยายแต่งงานกับหนุ่มที่รู้จักกันที่โรงเรียนคนตาบอด และเริ่มเป็นนักทำนายอย่างเป็นงานเป็นการตอนอายุ 30 ช่วงนี้คุณยายเริ่มโด่งดังมากขึ้น เมื่อทำนายทายทักว่า ทหารคนไหน จะกลับมาจากแนวหน้า หรือไม่ได้กลับ ทำให้ผู้คนแห่แหนกันมาหาคุณยาย ให้ช่วยทำนายทายทัก ทั้งเรื่องทหาร เรื่องโรคที่ป่วย
จากการประเมิน เชื่อว่า มีผู้มาขอความช่วยเหลือจากคุณยายมากถึงกว่าล้านคน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืยยันเรื่องนี้ได้ เพราะไม่ได้มีการจดบันทึกใดๆทั้งสิ้น นอกจากนั้น บางคนก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาหรือเธอ มาขอความช่วยเหลือจากคุณยายบ้านนอกตาบอด ว่ากันว่า หนึ่งในผู้ที่มาหาคุณยาย เพื่อให้ทำนายโชคชะตาก็คือ ฮิตเลอร์
เมื่อบัลแกเรีย กลายเป็นประเทศสังคมนิยม ทางการก็เข้ามาตรวจสอบคุณยาย แถมยังส่งคุณยายไปนอนถึงอยู่ครึ่งปี เพราะดันไปทำนายทายทักเรื่องการตายของสตาลิน แต่เมื่อเรื่องการตายเกิดขึ้นจริง พวกเขาก็ปล่อยคุณนายออกมา ฝ่ายศาสนาเองก็ไม่ชอบหน้าคุณยาย เพราะคำทำนายหลายข้อขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาของกรีกออโธดอกซ์
ในส่วนของความแม่นยำนั้น จากการทำวิจัยของนักวิทยาศาสตร์บัลแกเรียผู้หนึ่งที่ติด ตามคำทำนายมากกว่า 7 พันคำทำนายของคุณยาย ก็สรุปว่า ถูกต้องถึง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยคำว่าแม่นในที่นี่ ระบุด้วยว่า เกินกว่าระดับที่จะถือได้ว่าเป็นการประจวบเหมาะ
และเมื่อไม่สามารถสยบกระแสนิยมการมาใช้บริการ ทางการก็เลยหาทางทำเงินทำทองจากเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ ปี 1967 จนถึง1990 คุณยาย ถือเป็นข้าราชการคนหนึ่ง และมีการกำหนดสนนราคาการเข้ามาขอใช้บริการของคุณยายวานก้า ไว้อย่างเป็นกิจลักษณะ โดยคนจากประเทศสังคมนิยม 15 ประเทศคิดค่าบริการคนละ 10 เลียฟ (ประมาณ 2 ดอลล่าร์ ) ส่วนจากประเทศอื่นๆที่เหลือคิดคนละ 50 ดอลล่าร์ งานนี้ทางการรับเข้ากระเป๋าไปหมด ในส่วนของตัวคุณยาย ก็จะได้เงินเดือนเดือนละ 200 เลียฟ นอกจากนั้นก็ยังได้รถยนต์ บ้าน และคนรับใช้
จากคนที่เคยถูกทางการจับ คุณยายวานก้า ได้กลายเป็น ความภาคภูมิใจของบัลแกเรียไปเสียแล้ว
เมื่อมีคนชอบ ก็มีคนชัง คนที่ชิงชังคุณยายตาบอดรายนี้มากที่สุด ออกมาติติงคุณยายว่า ทีอันไหนทายถูกแล้วละก็ จำได้จำดี ส่วนอันไหนทายผิด ดันลืมไปหมดนานแล้ว นอกจากนั้น ก็ยังบอกว่าคุณยายทำงานประสานกับหน่วยข่าวกรองบัลแกเรียในการทำนายโชคชะตาผู้คน คือให้หน่วยข่าวกรองไปสืบข้อมูลของคนที่จะมาพบคุณยายเป็นการล่วงหน้า เขาบอกว่าหลักฐานในเรื่องนี้ก็คือหลังจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ล้มลง ฝ่ายข้าวกรองไม่ได้เข้ามาช่วยเหลืออีกต่อไป การทายของคุณยายก็แย่ลง
เรือดำน้ำคูร์สค์
ตัวอย่างการทำนายของคุณยายวานก้าที่ว่าแม่นๆนั้น ก็อย่างเช่นเรื่องเรือดำน้ำคูร์สค์ ของรัสเซียที่ระเบิดเมื่อหลายปีก่อน ที่คุณยายทำนายไว้ตั้งแต่ปี 1980 คุณยายทำนายเรื่องนี้ว่า " ในปี 1999 หรือ2000 คูร์สค์ จะจมอยู่ใต้น้ำ ผู้คนทั้งโลกจะเศร้าใจกับมัน " แต่ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะเมืองคูร์สค์ อยู่ไกลจากทะเล หรือแม่น้ำ และไม่มีใครฉุกคิดว่าคุณยายทำนายถึงเรื่องดำน้ำคูร์สค์
นอกจากนั้น คุณยายวานก้า ก็ยังทำนายตั้งแต่ปี 1979 ถึงการที่สหภาพโซเวียต จะกลับคืนมาเป็นรัสเซียเหมือนเดิม เรื่องที่สหรัฐถูกผู้ก่อการร้ายโจมตี ในเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ตั้งแต่ปี 1989 เรื่องการลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกอร์บาชอฟกับเรแกน การเข้ามาอยู่ในกลุ่ม จี 8 ของรัสเซีย การกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งของรัสเซีย การขึ้นมายิ่งใหญ่ของคนชื่อ วลาดิมีร์ และเรื่องวันตายของคุณยายเอง
คุณยายตายเมื่อ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ตรงตามที่ทำนายเอาไว้ทั้งวันที่ และเวลา
และต่อไปนี้คือคำทำนายถึงโลกในอนาคตครับ
2008 - ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 - เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 )ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี
2016 - ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 - จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 - เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์
2033 - น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 - เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 - มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 - สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 - สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 - ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู
2088 - เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 - เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 - ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 - มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 - โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 - โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
2164 - สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
2167 - เกิดศาสนาใหม่
2183 - อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 - โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 - อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน
2196 - ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 - ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 - ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
2262 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 - การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
2279 - พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 - มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 - ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 - เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 - ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
2302 - เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 - พบความลับของดวงจันทร์
2354 - เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 - เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 - ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 - สงครามบนดาวอังคาร
3010 - ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 - ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว

ฝนดาวตกโอไรโอนิดส์

คืน 21 ต.ค. 2552 นี้ ทางสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เค้าชวนมาดู ปรากฏการณ์ธรรมชาติฝนดาวตกโอไรโอนิดส์ (Orionid Meteors shower) ที่จะมีขึ้นทุกเดือนตุลาคมของทุกปี ตั้งแต่ 22.00 น. หรือ 4 ทุ่มเป็นต้นไป งานนี้ พี่แนนขอบอกว่าห้ามพลาดค่ะ !!!

4 ทุ่มคืนนี้ รอดู "ฝนดาวตกโอไรโอนิดส์" กัน!

ซึ่งทาง
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เค้าเชิญชวนให้คนไทยอย่าพลาดชม ปรากฏการณ์ "ฝนดาวตกโอไรโอนิดส์ " หรือ "ฝนดาวตกนายพราน" ซึ่งเป็นฝนดาวตกประจำเดือนตุลาคม ซึ่งจะเกิดขึ้นในคืนวันพุธที่ 21 ตุลาคม 2552 นี้คะ ซึ่งจะมีช่วงเวลาสังเกตตั้งแต่ 22.00 น. หรือสี่ทุ่มจนถึงเช้ามืดของวันใหม่เลยค่ะ
ฝนดาวตกโอไรโอนิด เกิดจากการที่โลกเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในกลุ่มของเศษชิ้นส่วนของดาวหางฮัลเลย์ (Halley) ที่หลงเหลือจากการโคจรเข้ามาในระบบสุริยะเมื่อ 23 ปีที่แล้ว (เกิดกันหรือยังคะ?) ในช่วงวันที่ 2 ตุลาคม ถึง 7 พฤศจิกายนของทุกปี เศษชิ้นส่วนที่ว่านี้เป็นก้อนอุกกาบาตขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดให้เข้ามาและเสียดสีกับชั้นบรรยากาศจึงเกิดการลุกไหม้ เราจึงเห็นดาวตกพุ่งออกมาจากบริเวณกลุ่มดาวนายพราน(Orion)


โดยวิธีการดูฝนดาวตกที่ดีที่สุด คือ มองด้วยตาเปล่าค่ะ และเลือกสถานที่ที่ห่างจากแสงในเมืองให้มากที่สุด โดยมองหากลุ่มดาวนายพรานทางทิศตะวันออก ซึ่งกลุ่มดาวนี้จะมีดาวสามดวงอยู่ตรงกลางหรือเข็มขัดนายพราน
การสังเกตฝนดาวตกนั้นไม่ควรมองไปที่จุดกระจายของฝนดาวตก แต่ควรมองห่างออกมา โดยเฉพาะในคืนวันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งคาดว่าน่าจะมีอัตราการเกิดดาวตกสูงที่สุด ในปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 10-15 ดวงต่อชั่วโมง ซึ่งวันที่ 20-22 ตุลาคมนี้เป็นช่วงวันที่เป็นเสี้ยวข้างแรม ปราศจากแสงจันทร์รบกวน จึงเหมาะแก่การสังเกต ดังนั้น อย่าพลาดนะคะ ไม่อย่างนั้น ต้องรอไปถึงปีหน้าเชียว

แม่เจ้า ! เด็ก 2 ขวบไอคิว 160 เท่าไอน์สไตน์

สวัสดีจ้าชาวเด็กดี มีใครรู้บ้างว่าตัวเองมีไอคิวหรือระดับสติปัญญาเท่าไหร่ พี่แนนก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่กล้าทดสอบ กลัวผลออกมาจะทำใจไม่ได้ (ฮ่าๆ) รู้แต่ว่าไอคิวของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 90-110 พี่แนนยังแอบหวั่นๆ อยู่ว่า ถ้าทดสอบออกมา จะอยู่ในช่วงนี้หรือเปล่า ...


เด็กดีดอทคอม :: แม่เจ้า ! เด็ก 2 ขวบไอคิว 160 เท่าไอน์สไตน์; tags: ไอคิว,2 ปี,ภาษา,เพนกวิน,ออสการ์,อังกฤษ,เด็ก,วัฏจักร,โลก,ไอน์สไตน์แม่เจ้า ! เด็ก 2 ขวบไอคิว 160 เท่าไอน์สไตน์



แต่จากที่พี่แนนไปอ่านเจอมาจาก แนวหน้า ปรากฏว่า มีเด็กน้อยชาวอังกฤษ อายุแค่ 2 ขวบ แต่มีระดับไอคิวถึง 160 !! เรียกว่าเกินระดับปกติไปอยู่ขั้นอัจฉริยะแล้ว ซึ่งระดับไอคิวของน้องเค้าเทียบเท่ากับอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และสตีเฟน ฮอว์กิงส์ นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลกเลยทีเดียว


ซึ่งเด็กน้อยคนนี้มีชื่อว่า ออสการ์ ริงลีย์ อายุ 2 ปี ค่ะซึ่งพ่อของน้องเค้าเล่าให้ฟังว่า น้องออสการ์ทำคุณแม่ตะลึงโดยการเล่าเรื่องวัฏจักรการสืบพันธ์ของนกเพนกวินให้ฟัง (โอ้ ตอนนั้นพี่แนนยังพูดได้แค่ เพงกวิ้ง เพงกวิ้ง) แถมยังเป็นเด็กที่ชอบซักถาม คุณแม่น้องเค้าก็ยังบอกว่า การใช้ภาษาของน้องก็น่ามหัศจรรย์เพราะน้องออสการ์สามารถสร้างประโยคซับซ้อนที่ฟังแล้วต้องคิดตีความ ซึ่งต่างจากภาษาพูดของเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน


ตอนนี้น้องเค้าก็ได้ถูกรับเชิญเข้าร่วมสถาบันเมนซาซึ่งเป็นศูนย์รวมสุดยอดบุคคลอัจฉริยะของอังกฤษแล้วค่ะ ดีใจกับน้องเค้าด้วยนะคะ แต่พี่แนนว่า จริงๆในไทย ก็คงมีเด็กไอคิวเหนือมนุษย์ธรรมดาเหมือนกัน (อิอิ) พี่แนนรู้สึกอยากอัพไอคิวของตัวเองบ้างจัง ชาวเด็กดีมีวิธีอะไรมาแนะนำกันบ้างเอ่ย