2553/04/20

วิธีการอ่านแบบที่เรียกว่า ORUS

หลายคนก็อ่านหนังสือกันเยอะไปค่ะ แต่ถ้าอ่านแบบไม่มีหลัก อ่านกันแบบทุกตัวอักษรตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก อ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่บรรลุสักที อ่านแล้วหลับ ฯลฯ ก็เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นะคะ เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มต้นการอ่านอย่างมีวัตถุประสงค์ค่ะ ก็เลยมีวิธีการอ่านแบบที่เรียกว่า ORUS (อ่านว่าโอรัสก็ได้นะคะ) มาแนะนำ เอ...แล้วอ่านแบบโอรัสนี่เป็นอย่างไรกัน?

การอ่านแบบ ORUS มี 4 ขั้นตอนค่ะ

1.สำรวจ (Overview) ก็คือตรวจดูสิ่งที่เราจะต้องอ่านค่ะว่ามีอะไรบ้าง เช่น ชื่อเรื่อง ชื่อหัวข้อ ตัวที่พิมพ์หนาๆ ซึ่งพวกนี้จะบอกขอบเขตเนื้อหาคร่าวๆค่ะ รวมไปถึงพวกรูปภาพประกอบ แผนภูมิ ที่เป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น พอรู้เนื้อหาคร่าวๆแล้ว ก็ต้องมาวางแผนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดค่ะ แบ่งเป็นตอนๆไป กำหนดเวลาอ่านด้วย แล้วก็ต้องทำตามให้ได้ด้วยนะคะ

2.อ่าน (Read) แหม.. ไม่มีขั้นตอนนี้ได้ไงจริงไหมคะ การอ่านแบบโอรัส จะเป็นการอ่านแบบรวดเร็วและคัดเอาแต่ใจความสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ประโยคแรกหรือย่อหน้าสุดท้ายค่ะ ประโยคไหนที่ไม่สำคัญก็อ่านข้ามไป แต่ถ้าอ่านแล้วงง สงสัย แอบจดคำถามไว้ก่อนก็ได้ค่ะ

3.เก็บข้อมูล (Pick Up)เป็นการเน้นใจความสำคัญเพื่อให้เราจำได้ค่ะ โดยการขีดเส้นใต้ กาดอกจัน โดยเฉพาะส่วนที่เราคิดว่าน่าจะออกสอบ หรือโน๊ตย่อไว้ พอทำเครื่องหมายแล้ว ให้น้องลองจำโดยไม่ต้องเปิดดูนะคะ

4.สรุปความเข้าใจ (Summarize) อ่านจบแล้วว แต่ช้าก่อนค่ะ อย่าเพิ่งไปไหน ลองมาเขียนโน๊ตย่อของเรื่องที่อ่านไปใส่สมุดดูนะคะ โดยเขียนสิ่งที่เราจำได้ก่อน ถ้าเขียนออกมาแล้วงง หรือสับสนตรงไหน ก็ให้กลับไปดูเนื้อหาตรงนั้นซ้ำอีกที ทีนี้ก็จะกระจ่างมากขึ้นจ้า

ที่แท้คำว่าโอรัส หรือ ORUS ก็มีที่มาจากการนำตัวอักษรภาษาอังกฤษของแต่ละคำมาผสมกันนั่งเองค่ะ ลองนำไปใช้กันดูนะคะ

หิ่งห้อย"ทำไมเรืองแสงได้นะ

เวลาไปอัมพวา ใครๆ ก็อยากไปดูหิ่งห้อยที่ส่องแสงกันวิบๆวับๆ อยู่ตามต้นไม้ริมฝั่งน้ำกันยามค่ำคืน ดูสวยจับใจเสียจริงๆ แล้วทำไมเจ้าแมลงตัวน้อยนี้จึงเรืองแสงได้นะ??

หิ่งห้อย มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Firefly, Lightning bug, หรือ Glowworm เป็นแมลงปีกแข็งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกแมลงเต่าทอง หรือ Family Lampyridae มีหลายชนิด หิ่งห้อยมีปีกแค่ 2 ปีกตามที่มองเห็น

บริเวณที่พบเห็น จากรายงานการศึกษาหิ่งห้อยในประเทศไทยที่เคยลงพิมพ์ในนิตยสารคดี พบว่าหิ่งห้อยในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 ชนิด แต่ละชนิดมีแหล่งที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน แต่ที่สำคัญคือ ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ตามชายน้ำ ริมลำธาร บางชนิดอาศัยอยู่ตามซากไม้ใบไม้ที่เน่าเปื่อยผุพัง ทั้งนี้ ที่ต้องอาศัยใกล้บริเวณที่มีต้นไม้น้ำที่หอยสามารถขึ้นมาวางไข่ได้

"หิ่งห้อยเรืองแสงได้อย่างไร?" เจ้าแมลงตัวน้อยสร้างแสงวับๆ ในยามค่ำคืนได้ โดยอาศัยปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์พิเศษที่อยู่บริเวณส่วนท้ายของลำตัว เป็นการเกิดปฏิกิริยาระหว่างโปรตีน Luciferin และเอนไซม์ Luciferase โดยอาศัยพลังงานจาก ATP (Adenosine triphosphate) ภายในเซลล์ และออกซิเจน ซึ่งจากปฏิกิริยาเคมี การเกิดแสงของหิ่งห้อยเกิดจากการทำปฏิกิริยากันของ luciferin กับออกซิเจนและเกิดเป็น oxyluciferin ส่วนที่เห็นแสงวับๆ เกิดขึ้น เพื่อสืบพันธุ์ และหลอกล่อเหยื่อนั่นเอง แต่หิ่งห้อยแต่ละชนิดรูปแบบและระยะเวลาของการสร้างแสงวับๆ จะแตกต่างกัน

เรื่องการเรืองแสงพบว่าหิ่งห้อยทั้งตัวผู้ ตัวเมีย และตัวอ่อน สามารถเรืองแสงได้เช่นเดียวกัน

มรดกโลกของไทยคือที่ไหนบ้าง?

ปัจจุบันมีมรดกโลกทั้งหมด 830 แห่ง ใน 138 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแบ่งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 644 แห่ง มรดกโลกทางธรรมชาติ 162 แห่ง และอีก 24 แห่ง เป็นแบบผสมทั้งสองประเภท แล้วน้องๆ รู้หรือเปล่าคะว่า มรดกโลกของไทย มีอะไรบ้าง

มรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) คือสถานที่ ป่าไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงเมือง ซึ่งคัดเลือกโดยองค์การยูเนสโกตั้งแต่ปี พ.ศ.2515 เพื่อเป็นการบ่งบอกถึงคุณค่าของสิ่งที่มนุษยชาติ หรือธรรมชาติได้สร้างขึ้นมา และควรปกป้องสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้ได้ตกทอดไปถึงอนาคต

ประเทศไทยมีมรดกโลกเป็นที่น่าภูมิใจของเราชาวไทยอย่างมาก ด้วยกัน 5 แห่ง ได้แก่

1.อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ไทยที่ตั้งอยู่ใน จ.พระนครศรีอยุธยา รับพิจารณาเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2534 มีโบราณสถานกระจัดกระจายอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 แห่ง

2.แหล่งมรดกโลกสุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร อุทยานประวัติศาสตร์นี้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ.2534

3.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ลงทะเบียนของยูเนสโก ระหว่างวันที่ 9-13 ธันวาคม พ.ศ. 2534 กินพื้นที่ครอบคลุม 6 อำเภอของ 3 จังหวัด ได้แก่ อ.บ้านไร่ อ.ลานสัก อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี อ.สังขละบุรี อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี และ อ.อุ้มผาง จ.ตาก มีพื้นที่ 4,046,747 ไร่ หรือ 6,427 ตารางกิโลเมตร

4.แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง บ้านเชียง จ.อุดรธานี เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่ง ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี ร่องรอยของมนุษย์ในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีพัฒนาการแล้วในหลายๆ ด้าน

5.มรดกโลก ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นมรดกโลกแหล่งที่ 5 ของไทย และเป็นอันดับที่ 2 ของมรดกทางธรรมชาติไทย ได้รับการลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 10-17 กรกฎาคม พ.ศ.2548

โลกพิศวง

1. มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรที่ลึกและใหญ่ที่สุดของโลก มีขนาด 165 ล้าน ตร.กม.เทียบขนาดใหญ่เป็น 18 เท่า ของประเทศสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมพื้นผิวโลก ประมาณ 1 ใน 3 โดยแนวชายฝั่งยาว 135,663 กม. ค่าเฉลี่ยความลึก 3.9 กม.
ด้านตอนเหนือ มหาสมุทรแปซิฟิก เป็นกระแสน้ำอุ่น ลักษณะการไหลตามเข็มนาฬิกา ด้านตอนใต้เป็นกระแสน้ำเย็น หมุนกระแสน้ำทวนเข็มนาฬิกา แนวด้านตะวันออกของมหาสมุทรเป็น บริเวณแหล่งเกิดมรสุม มีผลกระทบมายังแถบเอเชีย

ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตก เหนือมหาสมุทร Pacific มองจากสถานีอวกาศเหนือโลก

การสำรวจหาตำแหน่งลึกสุดของ แปซิฟิก โดยคณะนักสำรวจ ชาวอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1951 ด้วยเรือ Challenge II พบว่าบริเวณเกาะ Northern Mariana (อยู่ทาง ตอนใต้ของญี่ปุ่น) มีตำแหน่งลึกมาก ขณะนั้นสำรวจโดย วิธีหย่อนสายวัดลงสู่ก้นทะเล)
ภายหลังปี ค.ศ.1960 กองทัพเรือสหรัฐ ส่งเรือดำน้ำขนาดเล็ก Trieste ออกแบบสำหรับดำน้ำลึกพบว่าบริเวณดังกล่าว ลึก 10,923 เมตร ฉะนั้น แปซิฟิก จัดว่าเป็นมหาสมุทรขนาดที่ใหญ่ และลึกที่สุดของโลก

2. Sahara ทะเลทรายใหญ่ที่สุดของโลก

Sahara เป็นทะเลทรายใหญ่ที่สุดของโลก มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่ 9,065,000 ตร.กม.ตั้งอยู่ทาง บริเวณตอนเหนือทวีปอัฟริกาคือ Sahara Desert ใหญ่กว่า Mojave Desert ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้ 23 เท่านับเป็นทะเลทรายใหญ่ที่สุดของโลก
Sahara เชื่อมต่อหลายประเทศคือ โมร็อคโค แอลจีเรีย ตูนิเซีย มาลิ ลิเบีย อียิปต์ แคช มอลริทาเนีย ไนจีเรียและซูดาน


ทะเลทราย Sahara บริเวณ M’Hamid Dunes ใน Morocco

ประมาณ 15% Sahara เป็นเนินทรายว่างเปล่า เหลืออีก 70% เป็นหินกรวดซึ่งถูกพัดมาจากที่ราบสูง ที่เหลือส่วนน้อยนิดเป็นภูเขา และโอเอซิส (Oases) หรือ บริเวณที่มีต้นไม ้และน้ำกลางทะเลทราย
เป็นเรื่องยากจะพบพฤกษชาติในทะเลทราย สัตว์ที่อาศัยอยู่สามารถดำรงชีพได้ด้วยอาศัยแหล่งน้ำจากต้นตะบองเพชร เหตุที่ต้นตะบองเพชรมีน้ำเพราะได้เก็บกักจากหมอกซึ่งล่องลอยผ่าน มาจากชายฝั่งด้านทะเล
บางพื้นที่ในทะเลทราย Sahara เต็มไปด้วยหิน Back shale


3. Dead Sea บริเวณต่ำที่สุดของโลก (ที่อยู่บนแผ่นดิน)

Dead Sea บริเวณต่ำที่สุดของโลก (ที่อยู่บนแผ่นดิน) จุดพื้นต่ำสุดของโลก อยู่แนวขอบเขตชายแดน ประเทศจอร์แดนและอิสราเอลเรียกว่า Landlocked Salt Lake (ทะเลสาบน้ำเค็ม ที่ถูกล้อมรอบด้วยแผ่นดิน) ระดับต่ำกว่าน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร ความยาว 80 กม.ความกว้าง 18 กม.
ทิศตะวันออก ติดจอร์แดน ทิศใต้บางส่วน และทิศตะวันตกตก ติดอิสราเอล ทิศเหนือบางส่วน ทิศตะวันตกบางส่วน ติดกับ West Bank เรียกว่า Dead Sea หรือ ทะเลแห่งความตาย
เพราะเกิดจากรอยแยก แผ่นเปลือกโลกมีร่องลึก เป็นบริเวณที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ มีความเค็มของน้ำกว่าน้ำทะเล ทั่วไป 6 เท่า ในความลึกระดับ 130 ฟิตสัดส่วนของเกลือ 332 กรัมต่อน้ำ 1 กก.(น้ำทะเลทั่วไป มีสัดส่วนเกลือ 332 กรัม ต่อ 1 กก.ในระดับ ความลึก 300 ฟิต)




Dead Sea ส่วนที่เป็นผืนดินต่ำที่สุดของโลก

จึงทำให้ปลาและสาหร่าย ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ความเข้มข้นความเค็มสูงมาก Dead Sea มีความหนาแน่น (Density) มากกว่าน้ำปกติ สามารถลงไปลอยตัวในน้ำได้โดยไม่จม บริเวณรอบๆเขต ไม่มีต้นไม้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากลมและคลื่นได้หอบผลึกเกลือขึ้นมาปกคลุมทั่วไป เกลือ Dead Sea คือ แร่เกลือ (Mineral Salts) เหมือนกับพบในทะเลทั่วไป แต่เข้มข้นกว่า ไม่เหมือนกับเกลือที่นำมาใช้รับประทาน
รายงานการเปลี่ยนแปลง Dead Sea ค.ศ.1920 ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 392 เมตร
ปริมาตรพื้นผิวทะเล 1,050 ตร.กม.ปี ค.ศ.1990 ต่ำกว่า ระดับน้ำทะเล 407เมตร
ปริมาตรพื้นผิวทะเล 600 ตร.กม. ปี ค.ศ.2000 ต่ำกว่า ระดับน้ำทะเล 420 เมตร
ปริมาตรพื้นผิวทะเล 515 ตร.กม.มีความเป็นไปได้ ในปี ค.ศ. 2400 อาจต่ำกว่า
ระดับน้ำทะเล 510 เมตร ปริมาตรพื้นผิวทะเล เหลือเพียง 455 ตร.กม.
แสดงถึงการเสียสมดุล ของธรรมชาติ ปัจจุบัน United Nations Environment เข้าไปแก้ไขปัญหาผลกระทบของระบบนิเวศอย่างใกล้ชิด

4. Mauna Loa ภูเขาไฟใหญ่ที่สุดของโลก

ภูเขาไฟ เกิดมาพร้อมๆกับโลก เมื่อ 4.5 ล้านปี เป็นพลังงานสร้างสรร จากธรรมชาติ การเกิดของภูเขา ป่าไม้ แร่ หินชนิดต่างๆ ก๊าซต่างๆเกี่ยวเนื่อง จากภูเขาไฟทั้งสิ้น โลกวิทยาศาสตร์ได้เริ่มศึกษาเรื่อง ภูเขาไฟ เมื่อ 150 ปีนี้เอง
จึงได้เข้าใจ การปลดปล่อยพลังงาน ประเภท และขนาดภูเขาไฟมากขึ้น สามารถเฝ้าระวังอันตรายจากภูเขาไฟ โดยศึกษาข้อมูลจาก กากโลหะ (Scoria) ที่ระเบิดออกมาจากภูเขาไฟ

ภูเขาไฟ Mauna Loa

บริเวณกลางตอนใต้ ของเกาะฮาวาย ภูเขาไฟ Mauna Loa ภาษาชาวพื้นเมืองความหมายว่า Long Mountain (ภูเขาไฟสูง) ลักษณะทางกายภาพ Mauna Loa มีความสูงจาก ระดับน้ำทะเล 4 กม.ส่วนลาดลงไปใน ทะเลสูง 5 กม.
ส่วนฐาน อยู่ในที่ลุ่มพื้นมหาสมุทร 8 กม.(ความสูงทั้งสิ้น 17 กม.) รวมพื้นที่ของภูเขาไฟประมาณ 5,271 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 85 % ของพื้นที่เกาะฮาวายนับว่าเป็นภูเขาไฟ ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ภูเขาไฟ Mauna Loa เกิดระเบิดครั้งแรกเมื่อประมาณ 700,000 - 1,000,000 ปี ครั้งสุดท้ายปะทุขึ้นเมื่อ 24 มีนาคม - เมษายน ค.ศ.1984 มีการบันทึกไว้ ระเบิดทั้งสิ้น 33 ครั้ง ปัจจุบันยังปะทุอยู่ มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสถาบัน NOAA Mauna Loa Observatory ตลอดเวลา

วิเคราะห์ประเภทของน้ำดวงจันทร์บริวารโลกมี 3 รส

แบบหนึ่งเป็นน้ำแข็งเกือบบริสุทธิ์อยู่เป็นชั้นหนา แบบที่สองคลุกกับผลึกน้ำแข็งและฝุ่นละอองเป็นขุย และแบบหลังสุดเป็นชั้นบางๆ ที่เลื่อนไหลไปตามพื้นผิว...

ตั้งแต่มีการพบขึ้นอย่างไม่คาดฝันเมื่อปีกลายว่ามีร่องรอยของน้ำบนดวงจันทร์ บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้รู้เพิ่มเติมอีกว่า น้ำบนดวงจันทร์นั้นมีอยู่ 3 รส ด้วยกัน

สำนักข่าว "ดิสคัฟเวอรี่ นิวส์" แจ้งว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ทราบจากรายงานของยานอวกาศ "จันทรายาน-1" ของอินเดีย ซึ่งเดินทางไปอยู่ในวงโคจรรอบดวงจันทร์ ก่อนที่มันจะสูญหายไปเมื่อเดือนกันยายน 2552

เจ้าหน้าที่องค์การอวกาศสหรัฐฯได้ศึกษาข้อมูล รู้ว่า หลุมบ่อบนดวงจันทร์ไม่ต่ำกว่า 40 หลุม ต่างมีน้ำแข็งขังอยู่ลึกไม่น้อยกว่า 2 เมตร นายปอล สปุดิสแห่งสถาบันดวงจันทร์และดวงดาว กล่าวบอกว่า "ถ้าหากเราสามารถใช้น้ำในหลุมบ่อเหล่านี้มาเป็นเชื้อเพลิงจรวดได้ จะทำให้มีเชื้อเพลิงสำหรับยานอวกาศ 1 ลำแล่นไปกลับระหว่างโลก-ดวงจันทร์วันละเที่ยว ได้นานไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี"

เขาบอกต่อไปว่า "เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่ามีน้ำบริสุทธิ์บนดวงจันทร์อยู่ใต้ผิวพื้น อาจจะเคยมีดาวหางโคจรเฉียดกรายมาทิ้งเอาไว้ บางแห่งรวมตัวคลุกเคล้าอยู่กับดิน นอกนั้นดูเหมือนรวมตัวอยู่ใต้พื้นโดยการทำปฏิกิริยากับลมสุริยะ" เราสามารถจำแนกน้ำบนดวงจันทร์ได้เป็น 3 แบบ แบบหนึ่งเป็นน้ำแข็งเกือบบริสุทธิ์อยู่เป็นชั้นหนา แบบที่สองคลุกกับผลึกน้ำแข็งและฝุ่นละอองเป็นขุย และแบบหลังสุดเป็นชั้นบางๆ ที่เลื่อนไหลไปตามพื้นผิว"


ประวัติถ้วยบอลโลก

ถ้วยฟุตบอลโลก เป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะทีมต่างๆต่อสู้เพื่อพิสูจน์ฝีมือและศักดิ์ศรีของประเทศ

ถ้วยนี้มีน้ำหนักถึง 4,970 กรัม ทำด้วยทองแท้ 18 กะรัต สูง 36 เซนติเมตร เรียกว่าถ้วยฟีฟ่าเวิร์ลด์คัพ (FIFA World Cup Trophy) ออกแบบโดยประติมากรชาวอิตาเลียน ซิลวิโอ กาซซานิก้า ในปีค.ศ.1971 โดยเส้นของรูปปั้นบิดขึ้นมาจากฐาน เป็นรูปนักกีฬาสองคนยืนหันหลังยกโลก ดูมีพลังคลื่อนไหวในตัวเพื่อเป็นจังหวะแห่งการฉลองชัยชนะ

ถ้วยจูลส์ ริเมต์
ถ้วยเวิร์ลด์คัพ ใบนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันปีค.ศ.1974 ที่ประเทศเยอรมนีเป็นเจ้าภาพ และเยอรมนีก็คว้าถ้วยใบนี้สำเร็จครอบครองไว้นาน 4 ปี แต่ถ้วยฟีฟ่าไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฟีฟ่า หรือสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ถือว่าถ้วยนี้จะต้องอยู่ถาวรกับฟีฟ่า ผู้ชนะจะได้รับถ้วยจำลองที่ทำจากทองผสม ส่วนที่ฐานซึ่งมีแหวนคาดสองเส้น มีพื้นที่ไว้สลักชื่อผู้ชนะ 17 ช่อง ซึ่งเมื่อถึงปีค.ศ.2038 ชื่อก็จะเต็มช่องเหล่านี้ จากนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ฟีฟ่าก็คงต้องปรึกษากัน

สำหรับถ้วยเดิมชื่อถ้วยจูลส์ ริเมต์ ซึ่งเป็นชื่อของประธานฟีฟ่า ชาวฝรั่งเศสที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งแรกสำเร็จในปีค.ศ.1930 ถ้วยแรกทำจากเงินและทองหนัก 3.8 กิโลกรัม สูง 38 เซนติเมตร ฐานทำด้วยหินล้ำค่าสีฟ้า หรือไพฑูรย์ (Lapislazule) เป็นรูปเทพธิดาแห่งชัยชนะ (Goddess of Victory) ตรงเหลี่ยม 4 ด้านของฐาน สลักชื่อประเทศที่ได้แชมป์ 9 ราย ชื่อนับตั้งแต่ปี 1930-1970

ถ้วยจูลส์ ริเมต์ หายไปถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปีค.ศ.1966 ช่วงที่อังกฤษได้แชมป์ มีคนมาพบว่าถูกฝังอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง โดยฝีมือเจ้าสุนัขตัวเล็กชื่อพิกเกิ้ลส์ แต่พอถ้วยมาหายจริงๆในปีค.ศ.1983 ช่วงบราซิลได้สิทธิครอบครองถ้วยนี้อย่างถาวร หลังจากคว้าแชมป์ 3 สมัยได้สำเร็จ โดยขโมยมือดีฉกถ้วยจากที่เก็บในนครริโอเดอจาเนโร และหลอมละลายไปแยกชิ้นส่วนไปหมดแล้ว ทางฟีฟ่าจึงจัดทำถ้วยใหม่ที่กล่าวถึงข้างบนนั่นเอง

ไขปริศนาลิงสู่มนุษย์ จากโครงกระดูก3.3ล้านปี

วงการนักโบราณคดีพากันตื่นเต้นกันยกใหญ่ หลังจากศ.ลี เบอร์เกอร์ มหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สแตรนด์ แอฟริกาใต้ พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ในถ้ำมาลาปา กลางพื้นที่หุบเขาสเติร์กฟอนทีน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ประกาศเมื่อปี 2537 ให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นมรดกโลก เนื่องจากขุดค้นพบซากโครงกระดูกมนุษย์ลิงเอปโบราณ หรือออสตราโลปิธิคัส อายุ 3.3 ล้านปี

ส่วนโครงกระดูกมนุษย์โบราณสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบนี้ เชื่อว่าเป็นโครงกระดูกของเด็ก มีอายุราว 2 ล้านปี และอยู่ในสภาพที่เกือบสมบูรณ์ รวมทั้งกระดูกนิ้วมือ ซี่โครงกระดูกสันหลังและเชิงกราน ซึ่งจะทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุว่า มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนี้เดิน 2 ขา หรือ 4 ขา ส่วนนิ้วมือนั้นจะเป็นหลักฐานชิ้นแรกที่บ่งชี้ถึงระยะเวลาที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจนสามารถถือและจับอุปกรณ์ทุ่นแรงยุคหินได้



ที่สำคัญคือโครงกระดูกนี้จะช่วยไขปริศนาลำดับการวิวัฒนาการที่หายไประหว่างลิงเอปก่อนกลายมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นปัญหาปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดในการอธิบายทฤษฎีวิวัฒนาการมนุษย์ของวงการนักโบราณคดี

ศ.ฟิลลิป โตเบียส ผู้เชี่ยว ชาญด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สแตรนด์ กล่าวว่า เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นมาก เนื่องจากการค้นพบซากกระดูกของมนุษย์โบราณในสภาพที่มีกระดูกครบแทบทุกชิ้นหรือถึงขั้นสมบูรณ์แบบนั้นนับว่าหาได้ยากยิ่ง โดยตามปกติมักจะพบแค่ฟัน หรือชิ้นส่วนบางส่วนเท่านั้น การค้นพบนี้จะช่วยไขปริศนาลำดับวิวัฒนาการที่หายไปของมนุษย์จากออสตราโลปิธิคัสที่ถือกำเนิดขึ้นในแอฟริกาเมื่อ 3.9 ล้านปีก่อน กระทั่งวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม ฮาบิลิส มนุษย์โบราณสายพันธุ์แรกของโลกซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อราว 2.5 ล้านปีก่อน

ด้านดร.ไซมอน อันเดอร์ดาวน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิวัฒนาการจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ กล่าวว่า การค้นพบลักษณะดังกล่าวจะสามารถช่วยให้นักโบราณ คดีมีความเข้าใจเกี่ยวกับลำดับการวิวัฒนาการมนุษย์ได้อย่างมากมาย



2553/04/19

10 สถานที่ดำน้ำที่ดีที่สุดในโลก! *o*

Papagayo Peninsula – สาธารณรัฐคอสตาริก้า
นายทิม ไซมอนด์ เจ้าของหนังสือ "ไดฟ์ อิน สไตล์" กล่าวว่า ก่อนมาดำน้ำที่นี่เขารู้ดีว่า ม้าน้ำ และ กุ้งตัวตลก เป็นสัตว์ที่เจอตัวค่อนข้างยาก แต่วันแรกที่ไปดำน้ำบริเวณหาด Virador ของแหลมปาปากาโย เขาไม่เพียงเจอสัตว์ทั้ง 2 ชนิดที่ว่า แต่ยังพบสัตว์น้ำใต้ทะเลอีกมากมาย อาทิ หอยเม่น ปลากระเบนนก ปลากระเบนปิศาจ ปลาไหลมอเรย์ ปลาไหลมอเรย์ลายเกล็ดหิมะ เต่าตาแดงหรือเต่าหัวฆ้อน และอื่นๆ อีกมากมาย เขายังบอกอีกว่าถ้าหากใครได้ไปดำน้ำแถวๆ หมู่เกาะ Bat Islands รับรองได้ว่าจะต้องเจอปลาฉลามหัวบาตรตัวใหญ่ในระยะประชิดอย่างแน่นอน

Soneva Fushi – สาธารณรัฐมัลดีฟส์
กล่าวกันว่าหากมีโอกาส (และมีเงิน) ควรเดินทางไปเยือนมัลดีฟส์สักครั้งในชีวิต เพราะหมู่เกาะชื่อดังนอกชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศศรีลังกาแห่งนี้ เป็นหนึ่งในหมู่เกาะที่มีแนวโน้มว่าจะจมหายไปในทะเลเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งเป็นผลพวงของภาวะโลกร้อนนั่นเอง และสำหรับท่านที่ชื่นชอบการดำน้ำไม่ควรพลาดการแวะเยือนเกาะ Soneva Fushi ที่นอกจากจะมีรีสอร์ทเก๋ๆ ริมชายหาดแล้ว ยังมีแหล่งดำน้ำที่สวยงาม ซึ่งบรรดานักดำน้ำจะได้พบกับสัตว์ทะเลนานาชนิด อาทิ ทากเปลือย ปลากระเบนราหู ปลากบ และปลาหิน เป็นต้น
Panjang Reef – สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนึ่งในแหล่งดำน้ำดีที่สุดของเกาะโมโย ประเทศอินโดนีเซีย จะอยู่ห่างจากโรงแรมอมันวนาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งหากใครได้มาดำน้ำที่นี่ รับรองว่าเป็นต้องตื่นตาตื่นใจกับความอุดมสมบูรณ์ของโลกใต้น้ำที่ Panjang Reef (ถึงแม้ว่าจะเคยไปดำน้ำที่ แนวประการังใหญ่ หรือ Great Barrier Reef ในรัฐควีนสแลนด์ ประเทศออสเตรเลียมาแล้วก็ตาม) ชนิดที่เรียกว่าถ้าหากพกกล้องถ่ายรูปลงไปด้วย รับรองว่าเป็นต้องมึนงงเพราะไม่รู้จะเลือกโฟกัสที่จุดไหนดี ที่สำคัญแนวปะการังของที่นี่ยังเต็มไปด้วยปะการังแข็งที่อาศัยอยู่รวมกัน อย่างแน่นหนาในสภาพอุดมสมบูรณ์ และมีสีสันสดใส

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะ สิมิลัน – อ. คุระบุรี จ. พังงา ประเทศไทย
คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรมากเกี่ยวกับ ความสวยงามของโลกใต้น้ำที่หมู่เกาะสิมิลัน เพราะที่นี่ขี้นทำเนียบแหล่งดำน้ำชื่อดังระดับโลกมานานและเป็นที่รู้กันว่า มีปะการังที่สวยงามหลายชนิด สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก ทั้งยังมีสัตว์น้ำนานาพันธุ์รวมทั้งปลาหายาก เช่น ปลาวาฬ ปลากระเบนราหู ปลาโลมา ปลาไหลมอเรย์ ฯลฯ และเมื่อมีการนำซากเครื่องบินลงไปปล่อยในทะเลเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของ สัตว์น้ำและแนวปะการัง จำนวน 5 ลำ ห่างจากชายหาดอมันปุรีรีสอร์ท ที่ จ. ภูเก็ตเพียง 2 ไมล์ (กว่า 3.2 ก.ม.) ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ในแถบนี้มีสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

แนวปะการังใหญ่ (Great Barrier Reef) – รัฐควีนสแลนด์ ออสเตรเลีย
แนวปะการังใหญ่ เป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สามารถมองเห็นได้ทางอากาศ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางราว 345,000 ตารางกิโลเมตร ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลนานาชนิด อาทิ ปะการังชนิดอ่อนและชนิดแข็งกว่า 350 ชนิด ฟองน้ำ 10,000 ชนิด หอย 4,000 ชนิด ปลาดาวและทากเปลือย 350 ชนิด รวมทั้งปลาชนิดต่างๆ อีกกว่า 1,500 สายพันธุ์ กล่าวกันว่าต้องดำน้ำนับพันครั้งจึงจะชมความงามของแนวปะการังใหญ่ได้ทั้งหมด จุดดำน้ำยอดนิยมของที่นี่ก็คือ บริเวณที่ชื่อว่า "cod hole" ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของปลาหมอทะเลยักษ์ที่มักออกมาต้อนรับนักดำน้ำอย่างเป็น มิตรในฐานะเจ้าบ้านที่ดีเสมอ

Tikehau – ดินแดนเฟรนช์ โพลินีเซีย

"Tikehau" เป็นเกาะปะการังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเกาะเล็กเกาะน้อยมากมายในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ห่างไปทางตอนเหนือของตาฮิติราว 340 ก.ม. แม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวชมมากนัก มิหนำซ้ำ ในบริเวณดังกล่าวยังมีโรงแรมเปิดให้บริการเพียงแห่งเดียว แต่การดั้นด้นเดินทางไปเยือนเพียงเพื่อดำน้ำก็ยังถือว่าสุดคุ้ม โดยเฉพาะการดำน้ำในจุดที่เรียกว่า "Shark Hole" ซึ่งนอกจากจะเป็นถิ่นอาศัยของปลาฉลามสีเทาหลายสิบตัวแล้ว ยังมีทุ่งปะการังที่สวยงามให้ชมอีกด้วย

Sharm El-Sheikh – สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
"ชาร์ม เอล-ชีค" เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงปลายสุดของแหลมไซไน ในประเทศอียิปต์ บางคนอาจแย้งว่าแหล่งดำน้ำดีที่สุดในในทะเลแดงอยู่ที่หมู่เกาะบราเธอร์ (อียิปต์) หรือไม่ก็ท้องทะเลที่ซูดาน แต่ที่ชาร์ม เอล-ชีค นักดำน้ำจะได้พบกับปะการังนานาชนิด และปลาหลากสายพันธุ์ชนิดที่เรียกว่าน้องๆ แนวปะการังใหญ่ของประเทศออสเตรเลียเลยทีเดียว

Zighy Bay – รัฐสุลต่านโอมาน
โปรแกรมดำน้ำทั้งหมดที่ Zighy Bay จะถูกจัดให้มีขึ้นในช่วงเช้า เนื่องจากบริเวณใต้น้ำเป็นพื้นที่ลาดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จึงถูกแสงอาทิตย์สาดส่องแบบเต็มๆ ทั้งบนบกและใต้น้ำ ที่นี่มีแหล่งดำน้ำให้เลือก 26 จุด รวมทั้งการดำตามกระแสน้ำและการดำน้ำในถ้ำ ส่วนที่พักในบริเวณ Zighy Bay (โรงแรมซิกซ์เซ้นส์เซส ไฮด์อะเวย์) ก็มีความสวยงาม แปลกตาและสร้างจากหิน ได้รับการออกแบบในสไตล์วิลเลจ รายล้อมด้วยภูเขาและสายน้ำ สามารถเข้าถึงได้ทั้งทางรถยนต์ 4×4, สปีดโบ๊ท และร่มร่อน (paraglide)

Yucatan Peninsula – แม็กซิโก

แหลม Yucatan เป็นบ้านของระบบนิเวศใต้น้ำที่มีความหนาแน่นและอุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับนักดำน้ำทั้งที่มีประสบการณ์และเพิ่งเริ่มต้น บริเวณแหล่งดำน้ำที่มีชื่อว่า "New Reef" เหมาะสำหรับนักดำน้ำฝึกหัดที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ แต่ถ้าอยากเห็นปลาตัวใหญ่ๆ และเป็นผู้ที่มีความชำนาญต้องไปดำน้ำบริเวณที่เรียกว่า " Turtle Plain" ที่มีเนินผาใต้น้ำและมีกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง จึงเหมาะสำหรับนักดำน้ำที่ชื่นชอบความท้าทาย และรางวัลที่ได้ก็คือการได้พบกับปลากระเบนนกในระยะประชิด
Wakaya – สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ

"Wakaya" ก็เหมือนแหล่งดำน้ำดีที่สุดในโลกส่วนใหญ่ ที่แนวปะการังมีความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ที่สำคัญยังมีการผสมผสานระหว่างปะการังแข็งและปะการังอ่อน และมีสัตว์น้ำชุกชุม

10 อันดับอาหารสิ้นคิดของคนไทย!

อันดับ 10 ผัดไทย
ร้านอาหารตามสั่งหลายๆ ร้าน คุณแม่ครัวเธอก็มีวิชาทำอาหารเป็นเลิศ
สั่งมาเถอะค่ะ...เจ๊ทำได้หมด อยากกินผัดไทยเจ๊ก็ทำได้
(แต่จะกินได้เปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง) หนุ่มสาวชาวเมืองหลายๆ
คนก็จึงนิยมสั่งผัดไทยมากิน
แม้จะรู้ว่ารสชาติอาจจะสู้ไปกินตามร้านที่ขายผัดไทยโดยเฉพาะไม่ได้ก็ตาม
แต่พวกเขาก็ให้เหตุผลว่า อยากลองสั่งมากินดูบ้างเพราะเบื่อเมนูอาหารแบบเดิมๆ
ที่ต้องกินทุกวัน

อันดับ 9 ราดหน้า-ผัดซีอิ๊ว
ก็บอกแล้วว่าร้านอาหารตามสั่งน่ะ เจ๊ทำได้หมด
ฉะนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจที่เจ๊แกก็สามารถทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหรือผัดซีอิ๊วให้กินได้
เมนูนี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่เบื่อข้าวแล้วอยากเปลี่ยนรสชาติมากินก๋วยเตี๋ยวบ้าง
แต่ก็ไม่ค่อยจะนิยมสั่งกันนัก เพราะถึงแม้ว่าเจ๊แกจะทำได้
แต่เรื่องของความอร่อยก็คงต้องบอกเจ๊แกว่า "พอแหลกล่าย"

อันดับ 8 สุกี้
อีกหนึ่งเมนูอาหารของคนเบื่อข้าว การสั่งสุกี้มากินก็ไม่เลวเหมือนกัน
แต่ช้าก่อน “สุกี้” ในที่นี้ กรุณาอย่าวาดภาพเลิศหรูอลังการประหนึ่ง
”สุกี้เอ็มเค” แต่มันเป็นเพียงสุกี้ที่เอาวุ้นเส้นมาต้มในน้ำซุป แล้วใส่ใข่
ใส่ผัก ใส่เนื้อ ใส่หมู กุ้ง หอย ปู ปลา อะไรก็ว่าไป รสชาติก็พอทานได้
แต่จะอร่อยมากอร่อยน้อยตรงนี้อยู่ที่น้ำจิ้มสุกี้ต้องแซ่บ ราดโครมลง
ไปในชามสุกี้เลย ถ้าถ้วยเดียวไม่แซ่บพอก็ขอเพิ่ม
แต่บางคนอาจจะชอบแบบสุกี้แห้งก็มีเหมือนกัน อันนี้ก็แล้วแต่สะดวกล่ะนะ

อันดับ 7 ผัดพริกสดราดข้าว
เมนูนี้บางร้านก็ใช้พริกชี้ฟ้าเม็ดใหญ่มาซอย บางร้านก็เป็นพริกหยวก
แต่ไม่ว่าจะยังไงทั้งสองอย่างต้องเป็นพริกสดๆ ไม่ใช่พริกแห้ง
ไม่งั้นผิดคอนเซปต์ จากนั้นก็เอาพริกสดมาผัดรวมกับหอมใหญ่ซอย และต้นหอม
ใส่เนื้อ หมู ไก่ หรือกุ้ง ตามใจชอบ เป็นอีกเมนูที่หลายๆ คนชอบสั่ง

อันดับ 6 ผัดพริกแกงราดข้าว
เมนูสิ้นคิดอีกอันที่เป็นที่นิยมอย่างสูง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ชอบกินอะไรเผ็ดๆ
เป็นประจำอยู่แล้ว กินไปซู้ดปากไป แต่ก็มีหลายๆ คนที่ไม่
ชอบกินเผ็ดมากนักจึงเลี่ยงที่จะสั่งมารับประทาน
เมนูนี้จึงได้รับความนิยมอยู่ในอันดับกลางๆ

อันดับ 5 ผัดผักราดข้าว
เมนูนี้มีตั้งแต่คะน้าหมูกรอบ กระเฉดหมูกรอบ ผักบุ้งหมูกรอบ
บางคนไม่กินหมูก็อาจจะเปลี่ยนเป็นไก่ได้ ผัดผักราดข้าว
เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในระดับต้นๆ เช่นกัน ค่าที่ว่ากินง่าย ถูกปาก
ได้สารอาหารครบถ้วนทั้งเนื้อ ทั้งผัก ทั้งข้าว

อันดับ 4 ข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทย
อันนี้เป็นเมนูสิ้นคิดที่สาวๆ มักชอบสั่ง
คิดว่าคงเป็นเพราะความอร่อยของเนื้อหมูที่เอามาทอดในซอสน้ำมันหอยคลุกกับพริกไทย
เสร็จแล้วเอามาโปะกับข้าวสวยร้อนๆ กินกับแตงกวา
ถ้าอยากเพิ่มความพิเศษให้กับเมนูอาจจะสั่งไข่ดาวมาเพิ่มได้
ถ้ากินกลางวันก็อิ่มไปถึงเย็นเลย

อันดับ 3 ข้าวไข่เจียว
สิ้นคิดเข้าไปเรื่อยๆ กับเมนูนี้ นึกอะไรไม่ออกก็เอาล่ะ
ข้าวไข่เจียวก็ได้ง่ายสุด ความเสี่ยงต่ำและประกันความไม่อร่อย
เพราะถ้าร้านอาหารตามสั่งร้านไหนทำไข่เจียวไม่อร่อยก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
อย่างอื่นก็อย่าไปกินมันเลย เป็นเมนูเพลย์เซฟอย่างดีสำหรับคนเมือง
แต่ก็สิ้นคิดจริงๆ

อันดับ 2 ข้าวผัด
ใครสั่งข้าวไข่เจียวว่าสิ้นคิดแล้วแต่คนสั่งข้าวผัดกับสิ้นคิดกว่า
เพราะมันเป็นอาหารสุดยอดแห่งความไม่ครีเอทเอาเสียเลย เอาข้าวมาผัดแล้วใส่ใข่
ใส่เนื้อสัตว์อะไรก็ว่าไปใส่ผักเขียวๆ ลงไปหน่อย
ผัดไปผัดมาสองสามทีก็เสร็จแล้ว แต่บางคนอาจจะชอบข้าวผัดเป็นชีวิตจิตใจ
ถ้าไปเจอร้านที่ผัดข้าวผัดได้อร่อยเหาะจริงๆ
ข้าวผัดที่อร่อยต้องเป็นข้าวที่ผัดออกมาแล้วไม่แฉะ เม็ดข้าวขาวนวล ผัดร้อนๆ
ยกเสิร์ฟบีบมะนาวใส่ แล้วราดด้วยพริกน้ำปลา...จบ

อันดับ 1 ข้าวกระเพราไก่+ไข่ดาว
งานนี้ได้อันดับหนึ่งมาอย่างเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นสมกับเป็นเมนูอาหารสิ้นคิดจริงๆ
แล้วทำไมต้องเป็นกระเพราไก่ไข่ดาว???
อันนี้คาดว่าเป็นอาหารที่ถูกปากคนไทยที่สุด ด้วยที่ว่ารสชาติออกแนว Hot & Spicy
ถือเป็นเมนูพื้นฐานที่ทุกร้านอาหารตามสั่งต้องมี
และแม่ครัวจะฝีมือชั่วแค่ไหนก็ต้องทำได้อร่อย
ส่วนใหญ่จะนิยมสั่งกระเพราไก่และบ่อยครั้งที่คนสั่งมักจะ ควบไข่ดาวเป็น
”กระเพราไก่ไข่ดาว” นัยว่าเป็นคำคล้องจองกันดี เช่น ”ป้าๆ กระเพราไก่ไข่ดาว
จานนึง” อะไรประมาณนี้

2553/04/13

ต้นกำเนิดวันสงกรานต์ไทย

ประเพณีสงกรานต์
ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนไทยมาช้านาน

การย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น

ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์
กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ

นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร
เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า

1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง

ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก

ฮาเดส หรือ เฮดีส (Hades)

ฮาเดสฮาเดส หรือ เฮดีส (Hades) ในที่ชาวโรมันเรียกว่า พลูโต (Pluto) เทพเจ้าผู้ปกครองนรกและโลกหลังความตาย ในตำนานถือว่ามีศักดิ์เป็นพระเชษฐาของ ซุส ราชาแห่งเหล่าเทพ และยังถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งทรัพย์เพราะเทพฮาเดสมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างภายใต้พื้นพิภพ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดีส (Dis) ซึ่งแปลตรงตัวว่า ทรัพย์สิน
ฮาเดส แท้ที่จริงแล้วเป็นเทพที่มีความยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งเช่นเดียวกับซุส หรือ โพไซดอน เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน แต่ทว่าความที่ฮาเดสเป็นผู้ปกครองนรกซึ่งเป็นโลกใต้ดินซึ่งมีแต่ความมืดมิดและน่ากลัว จึงไม่ใคร่ขึ้นไปยังเขาโอลิมปัส อีกทั้งเทพองค์อื่น ๆ ก็ไม่ใคร่ที่จะต้อนรับฮาเดสด้วย ดังนั้น ฮาเดสจึงไม่มีชื่อเป็นหนึ่งในเทพโอลิมปัสเฉกเช่นองค์อื่น ๆ

ฮาเดส ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีความเที่ยงธรรมอย่างมาก ตัดสินความดีชอบของคนตายโดยปราศจากอคติใด ๆ ทั้งสิ้น กล่าวกันว่า พระองค์มีหมวกวิเศษอยู่ใบหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้สวมหายตัวได้ และพระองค์มีเทพผู้ช่วยในการตัดสินความดีชั่วในยมโลกอีก 3 องค์คือ ราดาแมนทีส, ไมนอส, ไออาคอส ที่เรียกว่า สามเทพสุภา และยังมีฮิปนอส เทพแห่งการหลับไหล และ ทานาทอส เทพแห่งความตายคอยช่วยอีก

ฮาเดส มีชายาองค์หนึ่งชื่อ เพอร์ซิโฟเน (Persephone) ซึ่งเป็นพระธิดาองค์เดียวของ ดีมิเทอร์ (Demeter) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเกษตร จากความงดงามของนางเพอร์ซิโฟเน ทำให้ฮาเดสลืมเลือนไปหมดสิ้นว่า นางที่แท้จริงคือหลานสาวแท้ ๆ ของตน เพราะว่า ดีมิเทอร์มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของพระองค์เอง เมื่ฮาเดสได้ฉุดนางไปเป็นเทพีแห่งนรกคู่กัน ทำให้เกิดเป็นกรณีพิพาทขึ้นระหว่างทวยเทพแห่งโอลิมปัส ซุสซึ่งเป็นองค์ประธานได้ตัดสินให้ฮาเดสต้องคืนเพอร์ซิโฟเนแก่ดิมิเทอร์ ฮาเดสก็ใช้อุบายลวงให้นางต้องมาหาตนปีละ 3 เดือนทุกปีไป ดังนั้นในปึหนึ่ง ๆ ฮาเดสจึงต้องประทับอยู่อย่างเดียวดายนานอยู่ถึง 9 เดือน แต่ทั้งที่ต้องประทับอยู่อย่างเดียวดายนานถึงปีละ 9 เดือน ฮาเดสก็พิสูจน์องค์เองว่าเป็นพระสวามีที่ซื่อสัตย์

ชาวกรีกโบราณจะถวายการสักการะแด่ฮาเดสด้วยแกะดำ และเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับสืบมาที่ได้ค่อนข้างยาก แต่ก็สืบทอดกันมาว่า หากจะบูชาเทพแห่งความตายหรือเทพอันใดที่เป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวหรือชั่วร้าย ต้องบูชายัญด้วยแพะหรือแกะดำ


ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
ฮาเดส ในวัฒนธรรมสมัยนิยมมักถูกสร้างให้เป็นตัวละครฝ่ายร้าย เช่น การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง เซนต์เซย่า ฮาเดสเป็นเทพเจ้าที่หวังยึดครองโลกมาแต่ครั้งเทพนิยาย ภาคสุดท้ายของการ์ตูนชุดนี้เป็นเรื่องของเหล่าเซนต์ต่อสู้กับเหล่าสเป็คเตอร์ของฮาเดส ฮาเดสมีรูปร่างที่งดงามและหลงใหลรูปตัวเองมาก จึงซ่อนร่างที่แท้จริงไว้ในปราสาทที่เอเริเซี่ยน จึงอาศัยอันโดรเมด้า ชุนเป็นร่างสิงสถิตย์แทน

หรือ ภาพยนตร์การ์ตูนของวอลต์ ดีสนีย์ เรื่อง Hercules ในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ฮาเดสก็เป็นตัวโกงในเรื่องด้วย


เทพซุส (Zeus) ราชาแห่งทวยเทพ

เทพซุส (Zeus) เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และ เทพแห่งท้องฟ้า ฟ้าร้อง ของตำนานเทพปกรณัมกรีก มี อสนีบาต (Thunder bolt) เป็นอาวุธประจำกาย

ทรงเกราะทองประกายวาววับ ซึ่งเกราะทองนี้มนุษย์ทั่วไปจะไม่สามารถทนมองดูได้ แม้แต่ทวยเทพด้วยกันเอง หากไปเพ่งมองแสงเจิดจ้า ของเกราะทองเข้า ก็ย่ำแย่เช่นกัน เทพซุสมีพญานกอินทรีเป็นบริวาร ต้นโอ๊คเป็นต้นไม้ประจำองค์ มีมหาวิหาร และศูนย์กลางศรัทธา อยู่ที่เมืองโอลิมเปีย สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก

พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของ ไททันโครนัส (Cronus) และ ไททันรีอา (Rhea) ในหลายๆ ตำนานกล่าว ว่า พระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่า คู่สมรส ของเทพซุสแท้จริงแล้วคือ เทพีไดโอเน่ (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่า เทพซุส เป็นพระบิดา ของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซุส มักมีชื่อเสียง ในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึง ความสัมพันธ์ กับเด็กหนุ่มนามกานีเมดี้ (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์ และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอนีซุส (Dionysus) วีรบุรุษเพอร์ซีอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Hellen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสาย ที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรง ได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟาเอสตัส (Hephaestus)

นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือ เทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)

ในวัยเยาว์ของพระองค์โดนพ่อบังเกิดเกล้าเรียกเอาไปกิน หวังไม่ให้เยาวเทพเติบโตขึ้นมาวัดรอยเท้า เคราะห์ดีที่แม่ของท่านไหวตัวทันเอาไปฝากแพะเลี้ยงเอาไว้ จนกระทั่งเติบโตจึงได้มาทวงบัลลังก์กับพ่อ ต้องรบราฆ่าฟันพี่น้อง รวมทั้งพ่อของตัวเองด้วย หลังจากยึดอำนาจได้เบ็ดเสร็จแล้ว ซุสก็ขึ้นครองบัลลังก์ รั้งอำนาจเต็มตลอด 3 ภพ คือ สวรรค์ พิภพ และ บาดาล แต่ซุสก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองทั้ง 3 ภพ และ ทะเลให้ทั่วถึงมิใช่เรื่องง่าย หาใช่ภาระเล็กน้อยไม่ เพื่อป้องกันการแก่งแย่ง และกระด้างกระเดื่อง จึงจัดสรรอำนาจ ยอมยกให้เทพต่างๆ มีเอกสิทธิในการปกครองอาณาเขตดังนี้

เนปจูน หรือ โปเซดอน ได้ครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง
พลูโต หรือ ฮาเดส เป็นเจ้าแห่งตรุทาร์ทะรัส และ แดนบาดาลทั้งหมด อันรัศมีของแสงอาทิตย์ ไม่เคยส่องลอดไปถึงเลย
ยูปิเตอร์ หรือ ซุสเองปกครองทั้งสวรรค์ และพิภพ แต่ก็มีอำนาจที่จะสอดส่องดูแล กิจการทั่วไปในเขตแดน ของเทพภราดรทั้งสองได้บ้าง
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ความสงบก็บังเกิดขึ้น

หากกล่าว ถึงบทบาทของเทพซุสแล้ว ต้องยอมรับว่า มีบทบาทขัดแย้งในองค์เองมากที่สุดในบรรดาเทพด้วยกัน เนื่องจากทรงเป็นมหาเทพผู้ทรงอำนาจสูงสุด และมีผู้เคารพนับถือโดยทั่วไปเป็นที่ยำเกรงของสามโลก ทรงไว้ซึ่งฤทธิ์อำนาจ ล้นฟ้าล้นแผ่นดิน แต่กลับทรงมีอุปนิสัยเหมือนบุรุษหนุ่มธรรมดา ๆ นั่นคือ ความเกรงใจ ที่มอบให้แก่มหาเทวี ฮีร่า ชายาของเทพซุสเอง เป็นอย่างมาก ซึ่งก็คืออาการ "กลัวเมีย" และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ความเจ้าชู้ที่มีอยู่ในตัวมหาเทพซุสนั่นเอง

ความขัดแย้งอีกประการหนึ่งที่มีอยู่ในตัวมหาเทพองค์นี้ คือ แม้ว่าเทพซุสจะมีอำนาจสูงสุดทั่วสามภพ แต่ไม่อาจใช้อำนาจของตน ไปแตะต้องเทพองค์หนึ่งได้ ทั้ง ๆ ที่เทพองค์นั้นก็เป็นเพียงเทวะชั้นรอง และไม่สามารถมาประชันขันแข่งกับซุสได้ เทพองค์นั้นมีนามว่า ชะตาเทพ (Fate) ซึ่งบ่งบอกให้เราทราบว่าไม่มีผู้ใดเลย หรือ แม้แต่เหล่าทวยเทพ จะหาญสู้หลีกเลี่ยง หรือก้าวก่ายกับชะตาชีวิตได้

ด้วยเหตุนี้ การที่มหาเทพซุสมีอะไรแย้ง ๆ กันในองค์เอง อาจเป็นเพราะชาวกรีกโบราณที่สร้าง เหล่าทวยเทพ ขึ้นนับถือมีความเป็นนักปรัชญาอยู่เต็มตัว เขาจึงสร้างทวยเทพของเขาให้ละม้ายคล้ายกับมนุษย์ปุถุชน มีทั้งข้อดี และจุดบกพร่อง คุณงามความดีอันสำคัญของมหาเทพซุสเป็นอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า ผู้ที่เคารพนับถือเป็นนักปราชญ์มากกว่านักสงคราม ก็คือ ซุสทรงรักสัจจะ และความเป็นธรรมอย่างที่สุด ทรงเกลียดชังคนโกง และคนโกหกอย่างที่สุด การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเพื่อถวายแด่พระองค์ นักกีฬาจึงต้องแข่งกันอย่างตรงไปตรงมา แต่ในยามโกรธเกรี้ยว และต้องลงทัณฑ์ต่อความผิด เทพซุสก็โหดเช่นกัน เช่น ตอนโพรเมธุสขโมยไฟจากสวรรค์มาให้มนุษย์ พระองค์ตามล่าจนได้ตัวแล้วนำโพรเมธุสฝังเข้าไปในหิน 30,000 ปี และยังได้ส่งนกอินทรีย์ มากินตับโพรเมธุสทุกวันอีกด้วย

ความเจ้าชู้ดูเหมือนจะกลายเป็นภารกิจหลักของมหาเทพ แต่ก็ใช่ว่าซุส จะประสบความสำเร็จทุกครั้ง คนที่พ้นมือไปได้ก็ยังพอมีอยู่ เช่นนางอัปสร (Nymph) ที่มีนามว่าแอสทีเรีย เธอแปลงเป็นนกกระทาบินหนีไป หรือ เทย์กีต ลูกสาวของแอตลาสก็เกือบไป เพราะ เทพีอาร์เทมีส มาพบเข้าพอดี แล้วช่วยแปลงนางเป็นกวาง จนนางวิ่งเร็วกว่าซุสหายไปในป่า

ในที่สุดเทพซุสเอง ก็ถูกบีบให้เข้าสู่การแต่งงานครั้งสุดท้าย นั่นคือตอนไปพบกับเฮรา ราชินีแห่งท้องฟ้า เฮราปฏิเสธที่จะมีสัมพันธ์กับพระองค์ ซุสแปลงตัวเป็นนกดุเหว่าร่วงลงมาต่อหน้าเฮรา แกล้งทำเป็นโดนความหนาว จนตัวแข็ง เฮราหลงกลพานกดุเหว่าเข้าไปกอดในห้องนอนของนาง แต่พอนางรู้สึกตัวว่าอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายเข้าแล้ว นางกลับไม่ยอม จนในที่สุดซุสต้องยอมเอ่ยคำปฏิญาณจะแต่งงานด้วย ไม่ช้าไม่นาน ซุสก็พบว่าความงามของเฮรา กลับตรงกันข้ามกับนิสัยของนาง เพราะเฮราขึ้นขื่อดังทั่วสวรรค์ว่าเป็น "มเหสีขี้หึง"

อย่าเพิ่งนึกว่าซุสได้มเหสีที่แสนจะขี้หึง และไล่ตามราวีพระองค์อย่างนั้นแล้ว พระองค์จะยอมหยุดความเจ้าชู้ลงได้ วิถีความรักของพระองค์ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซุสโปรดเหล่านางพรายป่าเป็นพิเศษ เพราะปราบปลื้มในการที่ได้ลบเอาความโกรธเกรี้ยว ที่จะมีสัมพันธ์กับผู้ชายของ นางอัปสรเหล่านี้ให้หมดไป ประวัติของซุสตอนที่มาเกี่ยวกับผู้หญิง ที่เป็นมนุษย์กล่าวไว้มากพอควร แต่ล้วนเป็นเล่ห์อุบายของซุสที่จะเข้าอภิรมย์กับมนุษย์ผู้หญิง พระองค์นี่จัดว่าเป็นนักรักที่มีความพยายามสูงสุด ไม่ว่าจะมีการปกป้องหญิงงามนางนั้น อย่างแข็งขันเพียงไรก็ไม่มีทางพ้นมือไปได้เลย เช่น ตอนที่ไปชอบ ดานาอี ลูกสาวของกษัตริย์อครีซีอุส กษัตริย์อครีซีอุสอุตส่าห์จับลูกสาวขังไว้ในหอคอยบรอนซ์ ซุสก็ยังอุตส่าห์แปลงร่างเป็นฝนทอง แทรกตัวลงไปตามรอยแตกของหลังคาลงไปได้

หรืออย่างตอนที่เข้าหานางลีดา (Leda) มเหสีของ ทินเดริอุส ซึ่งกำลังเปลือยกายอาบน้ำอยู่ในสระ ก็แปลงตัวเป็นหงส์ขาวแสนสวย ค่อยๆ ลอยเข้าหาจนนางอดเรียก มากอดไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างก็สายไป จนนางตั้งครรภ์ และคลอดออกมาเป็นไข่ ครั้นไข่แตกออก แทนที่จะเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งหงส์โผล่ออกมา อย่างตำนานทั่วไป กลับกลายเป็นฝาแฝดชายคู่หนึ่ง ได้แก่ คัสเตอร์ (Castor) กับ โพลิดียูซิส (Polydeuses) หรือ พอลลักซ์ (Pallux) ในภาษา โรมัน สิ่งที่ทำให้ทารกคู่นี้เป็นพยานความสัมพันธ์ระหว่างเทพกับมนุษย์ คือ คนหนึ่งมีกายเป็นอมตะดั่งเทพ แต่อีกคนหนึ่งตายได้ อย่างมนุษย์สามัญธรรมดา นอกจาก ฝาแฝดชายคู่นี้แล้ว ลีดายังมีแฝดหญิงอีกคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักที่สุด ในตำนานกรีกโบราณ หนึ่งนั้นนามว่า เฮเลน หญิงงาม ต้นเหตุของ มหาสงครามกรุงทรอย อีกหนึ่งคือ ไคลเตมเนสตร้า (Clytemnestra) ซึ่งต่อมาได้เป็นมเหสีของ อกาเมมนอน แห่งไมซีนี่ (ความสัมพันธ์สวาท ของนางลีดากับพญาหงส์ปลอม ที่มหาเทพซุสทรงจำแลงมานั้น เป็นไปอย่างซ่อนเร้น เพราะลีดา เป็นมเหสีของท้าว ทินดาริอุส (Tindarius) แห่งสปาร์ต้า เมื่อลีดาให้กำเนิดเฮเลน และ ไคลเตมเนสตร้า ทินดาริอุสก็นึก ว่าเป็นธิดาของพระองค์)
อีกครั้งสำคัญ ก็ตอนที่ลักพา นางยูโรปา ตอนนั้นพระองค์แปลงเป็นวัวขาว ที่งดงาม และดูนุ่มนวล จนนางยูโรปาอดจับต้องไม่ได้ เมื่อเห็นว่า มันเชื่องกับมือนาง นางก็ทำช่อดอกไม้ คล้องเขาของมัน แล้วขึ้นขี่หลัง มหาเทพก็พานางเหาะข้ามทะเลพายูโรปา ไปถึงครีต แสดงร่างที่แท้จริง และได้นางยูโรปาที่ใต้ต้นไม้ตรงนั้นเอง ยังมีเรื่องพิศวาสระหว่างซุสกับเหล่าสตรีอื่น ๆ อีกมาก อาทิสัมพันธ์รัก กับนางไอโอ ที่เป็นยายของ วีรบุรุษ เฮอร์คิวลิส รักกับไดโอนี และมีธิดา นามว่า อโฟรไดท์ พิสมัยกับ ไมอา และมีโอรสนามว่า เฮอร์มิส ฯลฯ