2553/05/19

9 เรื่องต่อไปนี้ มีที่เมืองไทยเท่านั้น !

1. ประเทศไทย....ทำไมมีสีประจำวัน ?
ขอบอกว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ ไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ จนวันหนึ่งซึ่งเป็นวันศุกร์ ใส่เสื้อสีฟ้า ก็มีเพื่อนต่างชาติคนนึงถามว่าทำไมใส่เสื้อสีฟ้าล่ะ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร จริงๆ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่ใส่แล้วสวย (กล้าพูด) เลยตอบไปว่า ก็วันนี้เป็นวันศุกร์ไงล่ะ เพื่อนก็งงใหญ่ว่า แล้วทำไมล่ะ วันศุกร์เกี่ยวอะไรกับสีฟ้า สรุปคุยกันยาวววจนสรุปได้ว่า ที่ประเทศอื่นๆ เค้าไม่ค่อยมีสีประจำวันเหมือนบ้านเรา ที่วันจันทร์สีเหลือง วันอังคารสีชมพู เอ๊ะ แล้วใครเป็นคนคิดริเริ่มให้มีสีประจำวันนะ ?

2. ประเทศไทย....ทำไมดื่มน้ำอัดลม/
เบียร์ต้องใส่น้ำแข็ง

อันนี้หลายคนคงอาจจะเคยได้ยินมาจากเดี่ยว 8 แล้ว (ฮา
มาก)ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมต่างประเทศเค้าถึงดื่ม
น้ำอัดลมกันแบบไร้น้ำแข็งได้ ซึ่งในทางกลับกับ คนต่างชาติ
เค้าก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนไทยถึงต้องดื่มแบบใส่น้ำแข็ง
ด้วยล่ะ ก็แหม...ประเทศเราเมืองร้อนนี่คะ เอะอะอะไรก็ใส่น้ำ
แข็งไว้ก่อน 555+


3. ประเทศไทย .... ทำไมกินข้าว
โพดเป็นของหวาน ?

ประเทศแถบตะวันตกพวกยุโรป อเมริกา เค้าไม่ถือว่าข้าว
โพดเป็นของหวาน แต่ถือว่าเป็นของคาว น้อยคนมากๆ ที่จะ
เอามานั่งแทะกินเปล่าๆ หรือหากเอาไปใส่ไอศกรีมนี่ถือว่าเป็น
เรื่องแปลกมาก แต่คนไทยเราเอามานั่งแทะๆ กันจนฟันเหยินซะ
งั้นแทะไป ดูหนังไป เพลินจะตาย


4. ประเทศไทย .... ทำไมอะไรๆ ก็
ต้องใส่ซอส ?

ไม่ว่าจะกินอะไร ตั้งแต่ไข่เจียว แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่
ทอด คนไทยเราต้องมีซอสหรือมีน้ำจิ้มไว้เคียงคู่เสมอ แต่
สำหรับในบางประเทศเค้าถือว่าเป็นเรื่องไม่สุภาพ เพราะ
คนทำอาจจะน้อยใจได้ว่า เอ๊ะ ทำไมต้องใส่น้ำจิ้มอีกล่ะ
ที่ฉันทำไปมันไม่อร่อยเหรอ? โดยเฉพาะในร้านอาหารใหญ่ๆ
เช่น ถ้าสั่งพิซซ่ามาแล้วดันไปขอซอสเพิ่ม พ่อครัวอาจจะค้อน
ใส่ได้นะ


5. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทย
เก่งเลขจัง ?

เพราะคนไทยชอบจั่ว ... เอ๊ย ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยิน
มาหนาหูมากๆ ว่า ถ้าเทียบกับพวกฝรั่งแล้ว คนไทยถือว่าเก่ง
เลขมากๆ โดยเฉพาะน้องๆ นักเรียนแลกเปลี่ยนชอบมาเล่าให้
พี่เป้ ฟังว่า 'เลข ม.ปลายที่นั่นง่ายประมาณ ม.1ของที่
ไทยเลยค่ะพี่ หนูชอบเรียนเลขเพราะมันง่ายมาก' เวลา
เพื่อนฝรั่งเห็นเราแก้สมการซับซ้อนได้ ทุกคนก็จะ โอ้โห อู้หู
amazing thailand จริงๆ !

6. ประเทศไทย .... ทำไมไม่คิดค่า
ถุงหิ้ว ?

เวลาที่เราไปซื้อของในหลายๆ ประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย
บางประเทศนั้น ตามร้านค้าต่างๆ เค้าคิดค่าถุงหิ้วกันด้วยนะคะ
เช่น ถ้าในยุโรปก็จะประมาณ 10 เซนต์ ในเกาหลีใต้ก็จะ 10
วอน อะไรทำนองนี้ค่ะ (อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด) แต่ทั้ง
นี้ทั้งนั้นก็เป็นไปเพื่อรณรงค์การลดโลกร้อนนั่นเอง

แต่! เพราะตั้งแต่เดือนหน้าวันที่ 6 มิถุนายนเป็นต้นไป
ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ จะเริ่มเก็บค่าถุงพลาสติกใบละ 1
บาท เพื่อเป็นการช่วยรณรงค์ลดโลกร้อน เพราะฉะนั้นใครไป
เที่ยวห้างก็อย่าลืมพกถุงผ้ากันไปด้วยนะคะ




7. ประเทศไทย .... ทำไมมีวิธีอาบ
น้ำสารพัด ?

อย่างที่รู้ๆ ว่าฝรั่งไฮโซอาบน้ำกันด้วยฝักบัว ไม่ก็รองน้ำใส่
อ่างแล้วลงไปแช่ แต่คนไทยไม่น้อยหน้าใคร นอกจากฝักบัว
หรืออ่างแล้ว เรายังมีขันไว้ตักอาบ มีตุ่มไว้ลงไปแช่อีกด้วย
5555+ เย็นสบาย !!.....

มีเพื่อนคนนึงอยู่ต่างจังหวัด เคยรับเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน
จากอเมริกามาที่บ้าน (สมมติว่าชื่อซูซี่) พอถึงเวลาอาบน้ำ
ก็พาซูซี่ไปหลังบ้านซึ่งมีตุ่มใส่น้ำและขันวางไว้ ซูซี่ก็บอก
OK I see Don't worry ไออาบน้ำได้เอง สบายมาก ยูไม่
ต้องห่วง จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ

ซักพัก 10 นาทีต่อมา เพื่อนก็เดินกลับไปตามซูซี่ ปรากฏ
ว่า !! ภาพที่เห็นคือน้องซูซี่เล่นลงไปในว่ายน้ำอยู่ในตุ่ม
ซะงั้น 55555 สรุปว่าตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีในเมืองไทย
ตุ่มนั้นก็ตกเป็นสมบัติของน้องซูซี่ไปโดยปริยาย




8. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยต่อราคากันเก่งจัง ?

เรื่องต่อราคานี่ต้องยกให้คนไทยเลยจริงๆ ต่อได้ต่อดี จาก 99 ต้องเป็น 90 .... จาก 49 ต้องเป็น 40 ....จาก 19 ก็ยังจะต่อให้ได้เป็น 2 อัน 35 ได้มั้ยพี่ ? จนฝรั่งหรือชาติอะไรต่ออะไรที่มาเที่ยวเมืองไทยก็เริ่มจะติดนิสัยนี้ไปด้วยแล้วล่ะค่ะ เผลอๆ เดี๋ยวนี้ฝรั่งต่อราคาเก่งกว่าคนไทยซะอีกแน่ะ ถือว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามคนไทยละกันนะ



9. ประเทศไทย..... ทำไมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันเปล่าๆ แบบไม่ต้ม ?

เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คงฟังกันมาแล้วจากเดี่ยว 8 .... ขอย้ำกันให้ชัดๆ เลยว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้มก็อร่อย กินเปล่าๆ ใส่พริกใส่น้ำมัน บีบให้แตกแล้วมาจกกินนี่ก็อร่อยสุดๆ เพราะบะหมี่ของเราเส้นเล็ก แต่บะหมี่ของพวกญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกงอะไรอย่างนี้เส้นมันจะใหญ่และหนามากๆ เอามากินเปล่าๆ ไม่ได้แน่นอน แถมยังมีจำกัดแค่ไม่กี่รส เช่น รสไก่ รสต้มยำ รสกิมจิ แต่ของเมืองไทยนี่มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ หมูสับ ต้มยำ เป็ดพะโล้ เย็นตาโฟ หมูน้ำตก สุกี้ ต้มโคล้ง พริกเผา โอ๊ยยย...สารพัด สามารถกินได้ไปเป็นเดือนๆ โดยไม่ซ้ำรส (ถ้าผมไม่ร่วงหมดหัวซะก่อน)

15 เรื่องน่าสนใจของญี่ปุ่น

1. ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน
หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน
คน ญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ
ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม
(เป็น ระเบียบสุดยอดเลย)



2. การให้บริการลูกค้าใน ญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก
หาก ไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปห้างสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ
ก็ จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ
หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส่งลูกค้าไปจนลับสายตา
เพราะ ถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงาน จะถือว่าเสียมารยาท



3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการ ฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือ
การกระโดดให้รถไฟทับตาย
แต่ รู้มั้ยว่าถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย
พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล
เพราะ ถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่ง
เพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟ และ ต้องสูญเสียรายได้
(จะตายทั้งที ก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะ
ทางที่ดีอย่าตายดีกว่า)


4.ห้ามฟังเพลงจากหูฟัง ในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน
เพราะ ทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลง ถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ



5. รวมถึงการซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อน ก็ห้ามซ้อน
เพราะตำรวจอาจเรียกได้เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้
แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก
(หนุ่ม สาว อดซ้อนสวีทกันเลยล่ะสิ)


6.ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมา จรจัด มีแต่แมวจรจัด ซึ่งก็มีน้อยมากๆ
เพราะ หมาจรจัด หรือที่ถูกทอดทิ้ง จะถูกเทศบาลจับไปหมด
ได้ ยินว่าถูกเอาไปฆ่าด้วย สงสารน้องหมาอ่ะ T^T






15 เรื่องน่าสนใจของญี่ปุ่น



7. ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย
สอง วันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม (หรือทางร้านจะเก็บ ไว้ให้)
เพราะ ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าไปญี่ปุ่นแล้ว เห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า
แขวนตามต้นไม้
เพราะ คนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับที่มีคนทำตก
เพื่อ ให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ (ที่ไทย สองวินาทีหายเรียบ 5555 )


8. ของแฮนด์เมดที่ ญี่ปุ่น ราคาแพงมากกกกกกกกกก
คน จะยกย่องและฮือฮามาก ถ้าคุณทำของแฮนด์เม ดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด



9. คนท้องจะมีแท็กจากโรง พยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
เพื่อ ที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้อง และจะได้บริการให้เป็นพิเศษ
เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน (เพราะบางคนก็อ้วนไง)



10. ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น จะไม่มีห้องหมายเลข 4
เพราะ ถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงพ้องกับคำที่แปลว่า ตาย



11. ร้านอาหารที่ญี่ปุ่น ไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมา
ทานในร้าน แม้ กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11


12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้อ อื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี (ดีจัง)



13. เวลาทิ้งขยะที่เป็น ขวดกล่องน้ำหรือนม
จะ ต้องล้างขวดหรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง
เพราะ หากทิ้งลงไปทั้งอย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น(สุดยอดๆ)



14. สามารถยืนอ่านหนังสือ โป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ
ไม่ มีใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาด (555555 จะดีเหรอ)


โอ้..... ไม่มียางอายกันแล้วท่าน



15. ผู้ชายญี่ปุ่นแทบทุก คน ชอบกันคิ้ว
เพราะผู้ชายที่นี่รักสวยรักงามไม่แพ้ผู้หญิง
ถ้า ไปทำผมในร้านเสริมสวย ช่างทำผมจะถามแน่นอน ว่าจะกันคิ้วเพิ่มด้วยมั้ย

2553/05/15

9 เคล็ดลับ ขจัดไขมันส่วนเกิน

1. ลดการทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง และรวมไปถึงสัตว์เนื้อแดง สัตว์ปีก และอาหารในชีวิตประจำวันบางอย่าง เช่น นม ครีม และเนย ถ้าคุณเลือกกินเนื้อ ให้เลือกเนื้อชิ้นที่มีมันน้อยที่สุด สัตว์ปีกและปลาสามารถทานได้

2. หาอ่านไอเดียใหม่ๆ จากคู่มืออาหารเพื่อสุขภาพบ่อยๆ

3. เพิ่มปริมาณอาหารจำพวกผักสดและผลไม้ ถ้าทานสดได้ก็จะดี

4. เปลี่ยนการปรุงอาหาร มาเป็นจำพวก ย่าง อบ นึ่ง หรือเคี่ยว แทนการทอด ผัด

5. ถ้าจำเป็นต้องทอดหรือผัดให้ใช้น้ำมันมะกอกดีกว่าการใช้เนยหรือน้ำมันพืชธรรมดามาปรุงอาหาร

6. เลือกกินสิ่งที่มีไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน เช่น พวกโยเกิร์ตที่ไม่มีไขมัน กินชีสหรือดื่มนมที่มีไขมันต่ำด้วย

7. งดกินหนังไก่ หรือเนื้อสัตว์ที่มีปริมาณไขมันมากๆ

8. ลดการกินถั่ว เนยถั่วหรือมะกอก เพราะสิ่งเหล่านี้มีไขมันสูง

9. ส่วนเรื่องของว่างก็ทานเป็นผลไม้สด มันฝรั่งก็ควรผ่านการอบ มากกว่าการทอด หรือไม่ก็ทานข้าวโพดคั่ว (Popcorn) ที่ใช้การอบ (Air popped)

8 วิธีผ่อนคลาย...ก่อนเข้านอน

1. ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนการเข้านอน
ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรไม่ควรดื่มมากกว่าวันละ 2 แก้ว

2. ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่เราใกล้จะหลับ

3. นอนที่ของเราควรจะเป็นที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้

4. เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอของเรา

5. อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้

6. แสงไฟก็มีส่วนสำคัญ ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตาเราปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนเราจะหลับสบายมากขึ้น

7. ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศบ้านเรา เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน

8. ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

4 โรคยอดฮิตคนรุ่นใหม่

โรคไม่ติดต่อ

1. โรคเบาหวาน เกิดจากพฤติกรรมการกินของหวาน น้ำหวาน และน้ำอัดลมจนร่างกายสะสมน้ำตาลไว้มากเกินไป ปัจจุบันพบว่า มีจำนวนผู้ป่วยขณะอายุน้อย เกินครึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกิน มากว่าพันธุกรรม

2. โรคความดันโลหิตสูง สาเหตุหลักเกิดจากการกินอาหารฟาสทฟู้ดและของทอด และขาดการออกกกำลังกาย ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมาก

3. โรคหัวใจ ผลพวงจากโรคความดันโลหิตสูว ส่งผลให้มีไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ

4. โรคเครียด เนื่องจากคนรุ่นใหม่เป็นวัยที่เข้ามาทำงานในเมืองและเจอความกดดันหลายด้าน ปัจจุบันจึงพบว่าคนวัยนี้มีความเครียดสูง ทำให้เสี่ยงต่อการหันไปพึ่งยาเสพติดหรือฆ่าตัวตายมากขึ้น โดยพบมากในเพศหญิง






โรคติดต่อ


1. โรคเอดส์
2. โรคตับอักเสบบีและซี
3. โรคคิดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น โรคเริม โรคหนองใน กามโรค
4. โรคระบาดใหม่และโรคระบาดตามฤดูกาล




ถ้าดูจากการกินอาหารของเราล่ะก็ โรคไม่ติดต่อทั้งหลายมีสิทธิ์เป็นได้หมด
ยังไงก็กินอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกายนะคะ

2553/05/14

10 คณะยอดฮิต แอดมิชชั่น 53

.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า แอดมิชชั่นกลาง ประจำปีการศึกษา 2553 พบว่าปีนี้มีผู้สมัคร และชำระเงิน 91,590 คน ลดจากปีที่ผ่านมา เกือบ 2 หมื่นคน


ในส่วนคณะ/สาขาวิชา ของมหาวิทยาลัยรัฐ 23 แห่ง ที่มีผู้สมัครมากที่สุด 10 อันดับ และส่วนการแข่งขัน ดังนี้

1. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3,409 คน ส่วนการแข่งขัน 9 ต่อ 1

2. คณะพยาบาลศาสตร์ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 2,740 คน ส่วน 23 ต่อ 1

3. คณะอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2,134 คน ส่วน 71 ต่อ 1

4. คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาบัญชี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2,121 คน ส่วน 14 ต่อ 1

5. คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 1,789 คน ส่วน 19 ต่อ 1

6. คณะสังคมศาสตร์ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 1,629 คน ส่วน 70 ต่อ 1

7. คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (พื้นฐานศิลปศาสตร์ รูปแบบ) มหาวิทยาลยศิลปากร 1,580 คน ส่วน 4 ต่อ 1

8. สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ (คอมพิวเตอร์ เคมี เครื่องกล ไฟฟ้า โยธา ยานยนต์ สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 1,569 คน ส่วน 2 ต่อ 1

9. คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น 1,558 คน ส่วน 37 ต่อ 1

10. คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 1,555 คน ส่วน 17 ต่อ 1

ศ.ดร.ประสาท กล่าวว่า การสมัครครั้งนี้ยังพบอีกว่ามีรหัส/สาขาวิชาที่มีผู้ไม่เลือกเลย ถึง 520 รหัส/สาขาวิชา ทั้งที่เป็นสาขายอดฮิต เช่น คณะรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นต้น ซึ่ง ทปอ.ไม่รู้ว่าสาเหตุที่เด็กไม่เลือกเพราะอะไร แต่เมื่อลงลึกพบว่าคณะดังกล่าวกำหนดให้ต้องสอบ PAT ภาษาต่างๆ ด้วย เช่น ภาษาเยอรมัน อาหรับ บาลี ฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามทปอ.จะต้องไปดูสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร

สรุปผล มหาวิทยาลัยที่เข้ายากที่สุดของแต่ละคณะใน Admission 2553

ทันตแพทยศาสตร์ จุฬา
เภสัชศาสตร์ มหิดล
วิทยาศาสตร์ มหิดล
นิติศาสตร์(พื้นฐานวิทย์) ธรรมศาสตร์
บัญชี จุฬา
วิศว ชีวการแพทย์ มหิดล
รัฐศาสตร์ IR จุฬา
Food เกษตร
เทคนิคการแพทย์ มหิดล
กายภาพบำบัด จุฬา
สัตวแพทยศาสตร์ เกษตร
สาธารณสุขศาสตร์ มหิดล
เศรษฐศาสตร์ จุฬา
วิทยาการคอมฯ/ICT ลาดกระบัง

2553/05/12

เเค่เเตกต่าง

"ทุกคนเป็นเหมือนผ้าสีขาว เเต่เป็นผ้าสีขาวคนละเนื้อ
เเต่ละคนซึมซับสีสันที่เราเเต่งเเต้มลงไปได้ไม่เหมือนกัน
เรียนรู้ได้ไม่เท่ากัน เก่งได้ไม่เท่ากัน ตามลักษณะของเนื้อผ้า
เเต่ทุกคน เป็นคนดีได้เท่ากัน"


ขอบคุณ อาจิกสำหรับเเรงบัลดาลใจที่ดี

2553/05/02

เคล็ดลับ 10 ข้อในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

1. ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้านักเรียนจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้นักเรียนจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น

2. เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้นักเรียนจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่

3.วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินตัวน้อยออกมาใช้ โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่เรียนอยู่ ภาพที่วาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต

4. แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่กำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น

5. สร้าง: ออกแบบสมุดศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วยหล่ะ

6. ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้จำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไปนะคะ

7. ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่กำลังเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้นักเรียนจำการออกเสียงของคำใหม่นั้นได้ง่ายขึ้น

8. เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่นักเรียนชอบหรือสนใจจะทำให้รู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้จำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !

9. ข้อจำกัด: มันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้นักเรียนรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้นักเรียนสมองตื้อแทน

10. สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ

2553/05/01

4 สิ่ง 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ' ในรัสเซีย

PLEASE DO ...

1. เช็คปฏิทินว่ามีงานหรือกิจกรรมรื่นเริงอะไรบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมและพฤษภาคมนั้น เป็นช่วงที่รัสเซียโดยเฉพาะเมืองมอสโคว์(เมืองหลวง) มีกิจกรรมและงานรื่นเริงต่างๆ เยอะมาก ทั้งขบวนพาเหรดและคอนเสิร์ตต่างๆ ดังนั้นไปเที่ยวรัสเซียทั้งที จึงไม่ควรพลาดที่จะเข้าร่วมงานเหล่านี้

2. หากถูกเชิญให้ไปบ้านของคนรัสเซีย ควรจะเตรียมไวน์ เค้ก ขนมลูกกวาดไปเป็นของฝากให้เจ้าของบ้านด้วย โดยเฉพาะถ้าของนั้นๆ เป็นยี่ห้อของรัสเซียล่ะก็ รับรองว่าจะถูกใจผู้รับมากๆๆๆ

3. การแต่งตัวไปเที่ยวยามค่ำคืนนั้น ควรพยายามแต่งให้ดูกลืนไปกับคนรัสเซีย โดยผู้หญิงจะนิยมใส่ส้นสูงและกระโปรงสั้น ส่วนผู้ชายใส่ดำทั้งชุด



4. ประเทศรัสเซียได้ชื่อว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นเตรียมใจได้เลยว่าการไปรัสเซียนั้นจะต้องเสียเงินเยอะมากๆๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าที่พักหรือค่าอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นคนต่างชาตินั้น ในการไปใช้บริการอะไรต่างๆ เช่น ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อาจจะต้องจ่ายแพงกว่าคนรัสเซียปกติถึง 10 เท่า



4 สิ่ง 'ควรทำ' และ 'ไม่ควรทำ' ในรัสเซีย





PLEASE DON'T...

1.อย่าตกใจถ้าถูกตำรวจรัสเซียเรียก เพราะตามท้องถนนมักจะมีตำรวจเดินไปเดินมาแล้วขอเรียกตรวจพาสปอร์ตและวีซ่าของนักท่องเที่ยว ซึ่งถ้าไม่ได้พกมา ตำรวจจะตามคุณกลับไปถึงที่พักเพื่อขอดูพาสปอร์ตและวีซ่าเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ต้องตกใจถ้าถูกตำรวจเรียก เป็นเรื่องปกติมากๆๆ (แต่สำหรับคนไทยสามารถเดินทางไปรัสเซียได้โดยไม่ต้องมีวีซ่าเป็นเวลา 30 วันนะ)

2. ห้ามนั่งบนมุมโต๊ะ เป็นความเชื่อของคนรัสเซียที่ว่าหากนั่งบนมุมโต๊ะแล้ว จะไม่ได้แต่งงาน !! จนกว่าจะถึงอีก 7 ปีข้างหน้า

3. อย่าวางขวดวอดก้าเปล่าๆ ที่ไม่มีวอดก้าอยู่ในขวดบนโต๊ะ เป็นความเชื่ออีกเหมือนกันว่าจะเกิดโชคร้าย คนรัสเซียจะวางขวดวอดก้าเปล่าๆ ลงบนพื้น ไม่วางบนโต๊ะ


4. อย่าลืมพกบัตรนักเรียน หรือ International Student Identity Card ติดตัวตลอดเวลา อย่างที่บอกไปว่ารัสเซียมีค่าครองชีพสูงมาก ดังนั้นบัตรนักเรียนอาจจะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้อย่างมากโข โดยเฉพาะค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งมีราคาแพงมาก