2553/09/29

“The Judgment of Paris : คำตัดสินของปารีส” ต้นเหตุสงครามกรุงทรอย

เหตุการณ์กรณีพิพาท “แอปเปิ้ลทองคำ” อันเป็นสาเหตุหนึ่งทีก่อให้เกิดมหาสงครามกรุงทรอยขึ้น ตามเรื่องเล่าใน มหากาพย์อีเลียด ที่ว่าด้วยสงครามกรุงทรอยนั้นยืดยาวและเต็มไปด้วยพล็อตย่อยต่างๆ มากมาย และนี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เรื่องยุ่งๆ ของเทพเจ้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องของมนุษย์ จนเกิดหายนะขึ้น

ในงานสมรสของกษัตริย์เพเลอุส (Peleus) เจ้านครเมอร์ไมดอนส์ (Myrmidons) กับเทพีแห่งท้องทะเล เธตีส (Thetis) บรรดาเจ้านคร รวมไปถึงเหล่าทวยเทพได้รับเชิญมากันอย่างพร้อมหน้า ขาดแต่เพียง เทพีเอรีส (Iris) เทพีแห่งความขัดแย้ง ที่ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวด้วย เธอไม่พอใจอย่างมากที่ถูกมองข้ามไปเช่นนี้ จึงออกอุบายสร้างความวุ่นวายภายในงานเลี้ยง โดยโยนผลแอปเอิ้ลทองคำลงมากลางงานผลหนึ่ง

ลำพังเพียงแอปเปิ้ลทองคำคงไม่มีผู้ใดใส่ใจนัก หากแต่มันไม่สลักข้อความไว้ว่า “สำหรับสตรีที่งามที่สุดในปฐพี” แน่นอนว่าบรรดาสาวงามในที่นั้นทั้งมนุษย์และทวยเทพต่างหมายจะเป็น “สตรีที่งามที่สุด” แต่สุดท้ายก็คงเหลือเพียงเทพีชั้นสูงเพียงสามนางที่เข้ารอบสุดท้ายในการช่วงชิงตำแหน่ง นั่นคือ เทพีเฮรา (Hera) สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งเขาโอลิมปัส มเหสีของมหาเทพเซอุส (Zeus), เทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite หรือ วีนัส Venus) เทพีแห่งความรัก และ เทพีอเธน่า (Athena) เทพีแห่งปัญญา ทั้งสามทูลขอให้มหาเทพเซอุสเป็นผู้ตัดสิน เทพคณบดีรู้สึกอิหลักอิเหลื่อเป็นยิ่งนัก เกรงว่าคำตัดสินจะสร้างความไม่พอใจให้ผู้พ่ายแพ้ คิดได้ดังนั้นจึงโยนเผือกร้อนไปให้ ปารีส (Paris) เจ้าชายตกยากแห่งเมืองทรอย ให้เป็นผู้ชี้ขาด

ไม่ว่ามนุษย์เดินดินหรือเทพเดินอากาศต่างก็ยังไม่หมดซึ่งกิเลส บรรดาเทพีทั้งสามต่างติดสินบนปารีสเพื่อตัดสินให้ตนเป็นผู้ชนะ เทพเฮราสัญญาว่าจะให้ปารีสเป็นยอดขุนศึกมีชัยเหนือกองทัพกรีก เทพีอเธน่าสัญญาว่า จะช่วยให้ปารีสได้ครอบครองดินแดนทั้งเอเชียและยุโรป (ในสมัยนั้นก็คือเกือบครึ่งโลก) ทางฝ่ายเทพีอโฟรไดต์ อ้างว่าตนเป็นเพียงเทพแห่งความรัก ไม่มีอำนาจจะบันดาลความยิ่งใหญ่ใดๆ ให้ได้ หากแต่ถ้าปารีสตัดสินให้นางเป็นผู้ชนะแล้วไซร้ นางสัญญาว่าจะให้ปารีสได้ครอบครองสตรีผู้เลอโฉมที่สุดแห่งยุค แน่นอนว่าปารีสหน้าหม้อติดสินให้เทพีอโฟรไดต์เป็นผู้ชนะ
นี่เองจึงเป็นที่มาของการเข้าข้างของฝ่ายทวยเทพในการสงครามแห่งกรุงทรอย โดยเทพีอโฟรไดต์พร้อมด้วยสวามี เทพมาร์ส (Mars) ถือหางข้างทรอย ส่วนเทพีผู้พ่ายแพ้ทั้งสองก็หันมาช่วยฝ่ายกรีก สงครามเริ่มบานปลายจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวของทวยเทพ จนที่สุดมหาเทพเซอุสจึงมีประกาศิตห้ามเหล่าเทพยื่นมือเข้าไปยุ่งกับสงครามของพวกมนุษย์ และผลของสงครามลงเอยเช่นไรคงจะทราบกันดี

ต่อเนื่องมาจากเรื่องก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับ ปารีส เจ้าชายตกอับ ที่ไปตัดสินกรณีพิพาทผลแอปเปิ้ลทองคำ แล้วก็เลือกให้เทพอโฟรไดต์เป็นผู้ชนะ นางจึงทำตามสัญญา นั่นคือพาปารีสไปพบกับสตรีผู้เลอโฉมที่สุดในยุคนั้น คือ เฮเลน (Helen)

หลังจากที่เทพีอโฟรไดต์ช่วยเหลือให้ปารีสกลับคืนสู่สถานะเจ้าชายแห่งทรอยแล้ว เธอก็ชี้นำให้ปารีสได้พบกับเฮเลน แล้วทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันทันที ซึ่งบ้างก็ว่าเป็นเพราะผลแห่งศรของคิวปิด (Cupid) ผู้บุตรแห่งนางนั่นเอง ลำพังหนุ่มสาวจะรักกันชอบกันมันก็ไม่ใช้เรื่องผิดปรกติวิสัย แต่มันน่าลำบากใจตรงที่เฮเลนไม่ใช่สาวโสดซิงๆ นางมีผู้ผัวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แถมยังดุเสียด้วย นั่นคือ เมเนเลอัส (Meneleus) แห่งสปาร์ต้า ด้วยไฟรักสุมอก ปารีส ลอบลักพานางมาอยู่กินกันที่กรุงทรอย ทำเอาเมเนเลอัสโกรธเกรี้ยวที่เสียเมียรักและเสมือนถูกฉีกหน้าอย่างแรง จึงชักชวนพี่ชาย อกาเมมนอน (Agamemnon) ผู้ครองกรีก ยาตราทัพบุกกรุงทรอย ให้ราบคาบ

การที่กรีฑาทัพนับแสนหวังจะชิงเอาสาวงามเพียงคนเดียวมันก็ออกจะดูเกินไปเสียหน่อย ว่ากันไปแล้วอันที่จริงการชิงนางเฮเลนนั้นเป็นเพียงเป้าหมายรองเสียมากกว่า เป้าใหญ่แท้ๆ นั่นน่าจะเป็นการยึดเอากรุงทรอยที่แสนจะอุดมสมบูรณ์ด้วยผลผลิตทางการเกษตร อีกทั้งยังเป็นมหานครที่มั่งคั่งมากในยุคนั้น เป็นเสมือนเมืองท่าพักจอดสำเภาในการค้าขาย เรียกได้ว่าใครได้ครองทรอยก็เหมือนได้เป็นเจ้าสัวใหญ่ดีๆ นี่เอง อีกทั้งพวกสปาร์ตันกับกรีก ก็หมั่นไส้พวกทรอยมาแต่เดิมอยู่แล้ว พอปารีสมาทำงามหน้าเช่นนี้เข้าให้ พวกสปาร์ตันและกรีกจึงอ้างความชอบธรรมในการขยี้ทรอยทันที

5 ประเทศที่''อากาศดีที่สุดในโลก''

ก่อนอื่นต้องบอกว่า “10 ประเทศอากาศดีที่สุดในโลก” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงประเทศที่มีอากาศบริสุทธิ์หรือเป็นแหล่งโอโซน แต่เป็นประเทศที่มีสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการอพยพย้ายถิ่นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณ หรือเมื่อต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง เป็นต้น
ทั้ง 10 ประเทศที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ มีสภาพอากาศโดยรวมที่ไม่แปรปรวน ไม่ร้อนหรือหนาวจัดจนเกินไป และไม่ใช่ประเทศที่อยู่ในเขตมรสุมที่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี (แม้ว่าภายในประเทศนั้นๆ จะมีบางพื้นที่ ที่หนาวจัด ร้อนจัด หรือฝนตกชุก แต่ก็สามารถเลือกอยู่ในเมืองที่มีอากาศดีกว่าได้)
บทความนี้จัดทำขึ้นโดย “อินเตอร์ เนชั่นแนล ลีฟวิ่ง” ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านการใช้ชีวิตวัยเกษียณในต่างแดน ซึ่งได้ทำการสำรวจและนำมาเผยแพร่ให้สมาชิก ตลอดจนผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศได้นำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา

สำหรับบางท่าน “มอลตา” อาจเป็นประเทศที่ไม่ค่อยคุ้นเคยหรือแทบไม่เคยนึกถึงซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะแม้แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็แทบไม่เคยได้ยินหรือรู้จักประเทศมอลตาเลย (ที่นั่นมีคนไทยอาศัยอยู่ และมีร้านอาหารไทย 2 ร้าน – ข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศ)

สภาพอากาศที่มอลตาถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป กล่าวคือ มีอุณหภูมิเฉลี่ย 21 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน มีแสงแดดเฉลี่ยวันละ 5.2 ช.ม. ไม่เว้นแม้กระทั่งในเดือนธันวาคม (ขณะที่หลายประเทศในแถบยุโรปกำลังมีหิมะตก หนักและต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ แต่มอลตากลับแทบไม่เคยได้สัมผัสหิมะเลย) อย่างไรก็ตาม มอลตาอาจมีฝนตกหนักบ้างบางช่วง แต่มักเกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
น่าเสียดายที่เกาะมอลตามีหาดทรายไม่กี่แห่ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะบนเกาะมอลตามีกิจกรรมให้ทำมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนซึ่งจะมีงานรื่นเริงให้ร่วมเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน และมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการดำน้ำและล่องเรือใบ มอลตาจะเป็นสวรรค์สำหรับคุณ แต่ถ้าใครไม่ค่อยปลื้มกีฬาทางน้ำก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย อาทิ ตีกอล์ฟ ขี่ม้า แข่งวิ่ง ฯลฯ หรือถ้าชอบดูหนัง ฟังเพลงคลาสสิก ท่ามกลางบรรยากาศเก่าๆ แบบย้อนยุค ในเมืองหลวงของมอลต้าที่มีชื่อว่า “วัลเลตตา” ยังเป็นที่ตั้งของโรงภาพยนตร์เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป ซึ่งที่นั่นจะมีการแสดงโอเปร่า ละครเวที ฉายภาพยนตร์ รวมถึงการแสดงดนตรี และบัลเล่ต์ ให้ชมกันอย่างจุใจตลอดช่วงเดือนตุลาคม-พฤษภาคม

2. สาธารณรัฐเอกวาดอร์
เอกวาดอร์ อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ โดยตั้งอยู่ในบริเวณเส้นศูนย์สูตร พรมแดนทางตอนเหนือจรดโคลัมเบีย ทางตะวันออกและทางใต้ติดกับประเทศเปรู และมีชายฝั่งทางตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิก
ด้วยความที่ตั้งอยู่บริเวณเส้น ศูนย์สูตร เอกวาดอร์ (ทั้งประเทศ) จึงได้รับแสงแดดแบบเต็มๆ ถึง 12 ช.ม. ต่อวัน และ 365 วันต่อปี แต่เนื่องจากเอกวาดอร์มีสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกัน 3 ลักษณะ กล่าวคือประกอบด้วย พื้นที่ๆ เป็นภูเขา ป่าฝน และพื้นที่แถบชายฝั่งทะเลแปซิฟิก ดังนั้นในแต่ละพื้นที่จึงมีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่น เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ที่มีชื่อว่า “กิโต้” ซึ่งตั้งอยู่ในเซ็นทรัล วัลเล่ย์ และถูกโอบล้อมโดยแนวเขาแอนเดรีย (บนเทือกเขาแอนดีส) ทั้งทางทิศตะวันออกและตะวันตก โดยมีเส้นศูนย์สูตรพาดผ่านห่างไปทางตอนเหนือของเมืองเพียง 20 ไมล์ (32 ก.ม.) ทั้งยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 9,350 ฟุต (2,849 เมตร) [เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก] ทำให้กิโต้มีสภาพอากาศเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน และ 10-13 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางคืน
อากาศที่เมืองกิโต้นั้นค่อนข้างแห้ง และไม่มียุง โดยปกติในช่วงเวลากลางวันคุณสามารถออกไปเดินเล่นข้างนอกโดยสวมเพียงเสื้อยืด กางเกงขาสั้น แต่บางวันอาจถึงกับต้องสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ หากมีเมฆหนาปกคลุมจนบดบังแสงอาทิตย์ไปทั่วทั้งเมือง (อย่าลืมว่ากิโต้เป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะใช้ชีวิตบนความสูงระดับเดียวกับเมฆ) ดังนั้น หากใครชื่นชอบสภาพอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่น ก็ต้องไปอาศัยอยู่ในเมืองแถบชายฝั่งทะเล

3. สาธารณรัฐเม็กซิโก
เม็กซิโกตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ทิศเหนือติดสหรัฐฯ ทิศใต้ติดกัวเตมาลาและเบลิซ ทิศตะวันออกติดอ่าวเม็กซิโกและทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกและอ่าวแคลิฟอร์เนีย
ประเทศเม็กซิโกมีสภาพอากาศที่หลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสูงของพื้นที่ ตลอดจนกระแสลมและน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก… พื้นที่ บริเวณชายฝั่งของประเทศเม็กซิโกจะมีสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณแหลมยูกาตังและพื้นที่ลุ่มต่ำทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนพื้นที่ๆ อยู่บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 900 เมตรขึ้นไปจะมีสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็น
ปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของเม็กซิโกจะอยู่ที่ประมาณ 40 นิ้ว และในบางช่วงของปีพื้นที่บริเวณอ่าวเม็กซิโก รวมถึงบริเวณชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและแปซิฟิกอาจมีพายุเฮอร์ริเคนเกิดขึ้น ได้ ส่วนในบางพื้นที่แถบบาฮา และทางตอนเหนือของประเทศกลับแทบไม่มีฝนตกเลยตลอดทั้งปี

4. สาธารณรัฐโคลัมเบีย
โคลัมเบีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ทิศเหนือติดทะเลแคริบเบียน ทิศตะวันออกติดเวเนซุเอลาและบราซิล ทิศใต้ติดเปรูและเอกวาดอร์ ทิศตะวันตกติดมหาสมุทรแปซิฟิกและปานามา
เนื่องจากประเทศโคลัมเบีย ตั้งอยู่ ใกล้เส้นศูนย์สูตร สภาพอากาศโดยทั่วไปจึงมีลักษณะร้อนชื้นและมีอุณหภูมิคงที่ตลอดทั้งปี หากจะมีอุณหภูมิแตกต่างไปจากเดิมบ้าง (เพียงเล็กน้อย) ก็มีสาเหตุอันเนื่องมาจากฝนตกนั่นเอง

5. ประเทศออสเตรเลีย
ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่ประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย เกาะแทสเมเนีย รวมถึงเกาะอื่นๆ ในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ประเทศนี้มีสภาพอากาศที่หลากหลาย แต่เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งและทุรกันดาร (มีขนาดทะเลทรายรวมกันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกา – วิกิพีเดีย) พื้นที่ราว 40% จึงถูกปกคลุมด้วยเนินทราย

คงมีเพียงดินแดนทางตอนใต้ด้านตะวันออกและตะวันตก (มุมล่างขวามือสีฟ้าของแผนที่ประเทศ ) เท่านั้นที่อากาศเย็นและมีผืนดินที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ส่วนทางตอนบนของประเทศมีสภาพอากาศแบบเขตร้อน (สีเขียว) บางพื้นที่เป็นป่าฝน ขณะที่บางส่วนมีอากาศร้อนชื้นแบบศูนย์สูตร (สีน้ำตาล) นอกนั้นเป็นเขตทุ่งหญ้า (สีเหลือง) และทะเลทราย (สีส้ม) อันกว้างใหญ่ไพศาล

ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณ ชายฝั่งทางด้านตะวันออกซึ่งมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็น และอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของออสเตรเลียมีแดดออกโดยเฉลี่ยมากกว่า 3,000 ช.ม./ปี โดยในช่วงฤดูร้อน (ธ.ค.-มี.ค.) ที่นั่นจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 29 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงฤดูหนาว (มิ.ย.-ส.ค.) จะมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยที่ 13 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ จะพบว่าออสเตรเลียเป็นทวีปที่แห้งแล้งมาก พื้นที่กว่า 80% ของประเทศมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 600 ม.ม.ต่อปี คงมีเพียงทวีปแอนตาร์กติกาเท่านั้น ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่าทวีปออสเตรเลีย จึงเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่ชื่นชอบอากาศเย็น และไม่ชอบความเปียกชื้นเฉอะแฉะของฤดูฝน

ประวัติฮิตเลอร์

เกิด 20 เม.ย. ปีค.ศ.1889 ที่เมืองเบราเนา ประเทศออสเตรีย ติดชายแดนเยอรมนี ทั้งพ่อ-อาลัวส์ และแม่คาร่า มาจากครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน แต่พ่อเป็นคนฉลาดและทะเยอทะยาน จึงก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าหน้าที่ภาษี ช่วงที่มาแต่งงานกับแม่ อายุห่างกันถึง 23 ปี และมีลูกติดมา 2 คน ทำให้ฮิตเลอร์มีพี่น้องถึง 5 คน แต่โตขึ้นมาเหลือรอดอยู่ 2 คน คือฮิตเลอร์และน้องสาว

พ่อฮิตเลอร์ เป็นคนที่เข้มงวดมาก และนิยมใช้ความรุนแรงลงโทษหากลูกไม่เชื่อฟัง ฮิตเลอร์จึงเป็นเด็กเรียนดีในตอนต้น เพื่อนๆ ยกย่องให้เป็นผู้นำ ทั้งยังเคร่งศาสนา จนใครๆ คิดว่าโตขึ้นมาจะเป็นนักบวช

แต่พอขึ้น เรียนชั้นสูงขึ้น วิชาต่างๆ ก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสอบไม่ได้ที่ 1 พ่อเริ่มเกรี้ยวกราด เพราะกลัวลูกจะเข้ารับราชการไม่ได้ ส่วนเพื่อนๆ ก็เริ่มไม่ปลื้มให้เป็นหัวหน้า ความกดดันต่างๆ ทำให้ฮิตเลอร์เบี่ยงไปสนใจการต่อสู้

ครูชั้นมัธยมฯ คนเดียวที่ฮิตเลอร์ชื่นชอบ คือลีโอโพลด์ พอตช์ ซึ่งเป็นคนนิยมความสำเร็จของเยอรมนี จึงมักเล่าถึงชัยชนะต่างๆ ของเยอรมันเหนือฝรั่งเศส ในศึกปีค.ศ.1870-1871 และต่อว่าออสเตรียว่าไม่ยอมเข้าร่วมกับเยอรมนี ฮิตเลอร์พานชอบเยอรมันไปด้วย โดยมีออตโต วอน บิสมาร์ก นายกรัฐมนตรีของอาณาจักรเยอรมนี เป็นฮีโร่ในดวงใจ

สำหรับ วิชาที่ฮิตเลอร์สนใจมากอีกวิชาคือศิลปะ ซึ่งทำให้ทะเลาะรุนแรงกับพ่อ เพราะไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้ลูกเป็นศิลปิน ศึกพ่อลูกสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1903 เมื่อพ่อฮิตเลอร์เสียชีวิต ตอนนั้นครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากทางการเงิน แต่ฮิตเลอร์ยังคงไม่รักเรียนเช่นเดิม จนแม่ยอมให้ออกจากโรงเรียน

ต่อ มาในช่วงอายุ 18 ปี ฮิตเลอร์ได้รับมรดกของพ่อ และใช้เงินเดินทางไปกรุงเวียนนา หวังว่าจะไปเรียนวิชาศิลปะที่นั่น ฮิตเลอร์คิดว่าตนเองมีความสามารถทางศิลปะที่เหนือชั้น แต่พอไปถึงจริงกลับถูกสถาบันวิชาการศิลปะเวียนนาปฏิเสธใบสมัคร จากนั้นจึงย้ายไปสมัครที่โรงเรียนสถาปัตยกรรม แต่ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใบรับรองจากโรงเรียนเก่า

ฮิตเลอร์อับอายมากที่ล้มเหลวเช่น นี้ จนไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นอยู่ในเวียนนาต่อไปว่าตนเองเป็นนักเรียนศิลปะ

หลังจากฮิต เลอร์ย้ายจากเมืองเบราเนาไปกรุงเวียนนา และเข้าเรียนศิลปะอย่างที่ใจหวังไม่ได้ ก็ไม่กล้าบอกแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แสร้งทำเป็นว่าเป็นนักเรียนศิลปะอยู่ที่กรุงเวียนนาอย่างนั้น โดยใช้เงินบำนาญมรดกของพ่อดำรงชีวิตในเมืองหลวงอย่างสบาย วันๆ ก็นอนเล่นอ่านหนังสือ ตกบ่ายไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จนกระทั่งปีค.ศ.1907 แม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

การเสียชีวิตของแม่ทำให้ฮิตเลอร์เสียใจ สุดซึ้ง เพราะรักแม่มากและมากกว่าพ่อ ตามประวัติศาสตร์ฮิตเลอร์ถือรูปแม่ไปทุกที่แม้กระทั่งวาระสุดท้ายรูปก็ยัง อยู่ในมือ

ในปีค.ศ.1909 ซึ่งเป็นปีที่ควรเกณฑ์ทหาร ฮิตเลอร์กลับไม่ยอมรับใช้กองทัพออสเตรียของตัวเอง เพราะแค้นอยู่ลึกๆ ที่สถาบันการศึกษาออสเตรียไม่เปิดโอกาสให้เรียน นอกจากนี้ยังชื่นชมอาณาจักรเยอรมนีที่เหนือกว่าออสเตรียมาตั้งแต่เด็ก จึงไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมนี ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารกล้าตาย สู้เลือดเดือด

ช่วงเวลานี้ชีวิตของฮิตเลอร์มีทั้งขึ้นและลง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ฮิตเลอร์ ย้ายไปอยู่มิวนิกและเริ่มชีวิตทางการเมือง ซึ่งล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนกระทั่งปีค.ศ.1921 ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคนาซี มีนโยบายต่อต้านชาวยิวและผู้นิยมลัทธิสังคมนิยม

ในปี 1933 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและหนึ่งปีถัดจากนั้นตั้งตนเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ สร้างกองทัพยึดคืนแคว้นไรน์ และในปี 1936 ร่วมมือกับเผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีบุกยึดออสเตรีย ชาติเกิดของตนเอง ตามด้วยเชโกสโลวะเกีย

สำหรับเชโกฯ นั้นบุกยากกว่าออสเตรีย เพราะมีฝรั่งเศสเป็นพันธมิตร ทางด้านอังกฤษจึงเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแบ่งพื้นที่บางส่วนของเชโกฯ ให้เยอรมัน แต่ภายหลังถูกฮิตเลอร์หักหลังเข้ายึดทั้งประเทศ ทำให้อังกฤษอับอายมาก


ด้วยความที่ได้คืบจะเอาศอก ฮิตเลอร์ลุยต่อไปที่โปแลนด์ คราวนี้อังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ยอมอีกแล้ว วันที่ 3 ก.ย.1939 จึงประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 กับเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรและอักษะสู้รบกันอยู่นานถึงปี 1945 ฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายพร้อมหญิงคนรัก อีวา วันที่ 30 เม.ย. ปีค.ศ.1945

ตำนานเรือ เดอะ ฟลายอิ้งดัตชแมน เรือปีศาจ

ท่ามกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล มีเรื่องน่าสะพรึงกลัว และอันตรายต่างๆ มากมาย เช่น ภัยพิบัติจากพายุ หรือ คลื่นลมบ้าคลั่ง ซึ่งพร้อมจะโหมซัดให้เรือของพวกเขาอัปปางลง แต่สำหรับนักเดินเรือบางคน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ ยังไม่น่าหวั่นเกรงเท่าการเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับ อย่างเช่น เรือปีศาจ...

ตำนานเรือปีศาจซึ่งถูกกล่าวขานมากที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ ตำนานของฟลายอิงดัตช์แมน (Flying Dutchman) กัปตันเรือผู้ถูกสาปให้ต้องเร่ร่อนอยู่ในท้องทะเลจนกว่าจะถึงวันแห่งการพิพากษา

...เล่ากันว่า เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 17 เมื่อปีค.ศ. 1641 กัปตันเฮนดริก แวน เดอ เด็คเคน (Hendrick Van der Decken) กัปตันตันเรือสินค้าลำหนึ่งของฮอลันดา คิดจะนำเรือเดินทางอ้อมแหลมกูดโฮป ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา ขณะใกล้ถึงจุดหมาย บังเอิญมีลมพายุที่รุนแรงขวางเส้นทางเดินเรือของเขาไว้ แทนที่เขาจะเลิกล้มความตั้งใจ หรือ หันเหเรือไปยังเส้นทางอื่น กัปตันเรือผู้ดื้อรั้นกลับนำเรือของเขาแล่นฝ่าพายุต่อไป ทำให้ลูกเรือซึ่งตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่วมมือกันเข้ายึดอำนาจการควบคุมเรือจากกัปตัน ด้วยความโมโหผสมกับความมึนเมาจากฤทธิ์ของสุรา ทำให้กัปตันเรือคลุ้มคลั่ง จนใช้ปืนยิงหัวหน้ากลุ่มขบถ แล้วโยนร่างของเขาทิ้งลงทะเลไป ทันใดนั้นเอง มีเมฆลึกลับสีดำปรากฏขึ้น พร้อมกับมีเสียงตำหนิกัปตันเรือ ในความดื้อรั้นของเขา กัปตันเรือจึงโต้เถียงออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แล้วยกปืนขึ้นเล็งไปยังเมฆประหลาดนั้น แต่เมื่อเขาลั่นกระสุนออกไป ลูกปืนกลับระเบิดใส่มือของเขาเอง จากนั้น เสียงลึกลับจากเมฆสีดำก็สาปให้เขา “ ต้องแล่นอยู่ในท้องทะเลไปชั่วกัลปาวสาน โดยต้องดื่มน้ำดีรสขมแทนน้ำ และกินเหล็กที่ร้อนแดงเป็นอาหาร แล้วยังสาปให้เรือปีศาจลำนี้นำความตายมาสู่ใครก็ตามที่พบเห็นมัน!”

หลังจากนั้น กัปตันและเรือปีศาจของเขา ก็มักออกมาหลอกหลอนนักเดินเรืออยู่เสมอตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในรายที่โชคดีหน่อยก็อาจจะเพียงแค่ถูกหลอกให้กลัวเท่านั้น เช่น เห็นเรือปีศาจที่น่ากลัวปรากฏขึ้น แล้วหายวับไป แต่ในรายที่โชคร้ายก็อาจถูกเรือปีศาจล่อหลอกให้แล่นเรือหลงทางไปชนกับหินโสโครกใต้น้ำ จนต้องอัปปางลง
ในปีค.ศ. 1835 ลูกเรือของอังกฤษลำหนึ่ง มีโอกาสเผชิญหน้ากับเรือปีศาจ พวกเขาบันทึกไว้ว่า เรือปีศาจปรากฏขึ้นท่ามกลางลมพายุอันน่ากลัว แล้วแล่นตรงเข้ามาหาเรือของพวกเขา จนน่ากลัวว่าเรือทั้งสองลำจะพุ่งเข้าชนกัน แต่ในวินาทีนั้นเอง มันก็หายวับไป
การเผชิญหน้ากับเรือปีศาจครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง ถูกบันทึกไว้โดยมกุฎราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ายอร์ชที่ 5 พระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า เมื่อในวันที่ 11กรกฎาคม ค.ศ. 1881 ขณะที่เรือซึ่งพระองค์ทรงประจำการอยู่แล่นผ่านแหลมกูดโฮป ลูกเรือคนหนึ่งมองเห็นเรือปีศาจปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกโดยมีแสงสีแดงประหลาดสว่างเรืองออกมาจากทั่วลำเรือและอยู่ห่างไปในระยะ 200 หลา ต่อมาไม่นาน ลูกเรือคนนั้นก็ต้องคำสาปของเรือปีศาจ

ประสบอุบัติเหตุจากเสากระโดงเรือจนเสียชีวิต


ในเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1939 มีผู้คนนับสิบที่ชายฝั่งแอฟริกาใต้มองเห็นเรือปีศาจลำนี้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่พวกเขาต่างอธิบายรายละเอียดของเรือได้ถูกต้องตรงกัน ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นเรือสินค้าในสมัยศตวรรษที่ 17 มาก่อน

สำหรับการปรากฏขึ้นครั้งล่าสุด มีการบันทึกไว้ในปีค.ศ. 1942 โดยมีผู้อ้างว่าเห็นเรือปีศาจลำนี้หายไปต่อหน้าต่อตาคนถึง 4 คน แม้กระทั่งทุกวันนี้ เมื่อใดที่มีพายุก่อตัวขึ้นที่แหลมกูดโฮป ก็ยังมีผู้กล่าวว่า หากเพ่งมองเข้าไปที่ใจกลางพายุ ก็อาจจะเห็นเรือปีศาจลำนี้

2553/09/22

อดีต ปัจจุบัน อนาคต

อดีต มันผ่านไปแล้วต้องปล่อยมันไป อย่าหวนคืนอีก
ปัจจุบัน นี่ไงล่ะ ชีวิตที่เป็นอยู่ ทำมันให้ดี เพื่อตัวเองและครอบครัว
อนาคต มันยังมาไม่ถึง อย่าได้กลัวมัน และอย่าได้หนีมัน

"จงยืนให้มั่นคง ด้วยสติปัญญา ทิ้งอดีตที่ไม่ดี และรอพบกับอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา"

ไอสไตน์กับพระพุทธศาสนา

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ..กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

"ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้
....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพัทธภาพ

คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี

10 อันดับราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก....

นิตยสารฟอร์บ เสนอบทความราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา ฟอร์บระบุว่า การประเมินทรัพย์สินของราชวงศ์นั้นต้องใช้ทั้ง ศาสตร์และศิลป์ประกอบกันไป เนื่องด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของบุคคลกับรัฐนั้นมีลักษณะเฉพาะของแตกต่างกันไป จากรายงาน ของฟอร์บส์นั้น พบว่าพระมหากษัตริย์หลายพระองค์มีพระราชทรัพย์ลดลง เนื่องจากผลกระทบที่ต่างๆ กันไป
ฟอร์บระบุว่า ได้ติดตามสถานะของราชวงศ์ระดับแนวหน้าจำนวนหนึ่งมาหลายปี แต่การนำเสนอผ่าน บทความดังกล่าวเป็นเพียงครั้งที่ 2 ที่เผยแพร่ทำเนียบราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดอย่างละเอียด แต่สถาบัน กษัตริย์ของประเทศอย่างสเปนและญี่ปุ่นกลับพลาดที่จะเข้าร่วมการจัดอันดับไปอย่างน่าเสียดาย

ลำดับที่ 10.
Sultan Qaboos bin said of Oman
มีพระราชทรัพย์สุทธิ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สุลต่านกาบุส ทรงขึ้นครองราชเมื่อปี1970 หลังสิ้นสุดอำนาจของผู้เป็นพ่อ สุลต่านกาบุสได้ ทรัพย์สินจากการส่งออกน้ำมัน ปัจจุบันพระองค์ได้หันมาทำธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ


ลำดับที่ 9.
Princes Albert II of Monaco
เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ยังไม่อภิเษกสมรส และถูกร่ำลือว่าทรงส่งแฟนสาวของพระองค์เข้าเรียน คอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส พระองค์มีพระราชทรัพย์ประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญฯ ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นส่วนกิจการ คาสิโนในโมนาโก พร้อมทั้งทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ (ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก) โดยการสร้างเขต ปกครองใหม่ในทะเลซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา โครงการดังกล่าวนี้สร้างความวิตกกังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร

ลำดับที่ 8.
King Mohammed VI of Morocco
กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯเนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชะลออยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้มาจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟต, เกษตรกรรมและทรงร่วมหุ้นกับบริษัทMorocco's largest public company, ONA.

ลำดับที่ 7.
Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani of Qatar
ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี่ มีทรัพย์สินโดยประมาณรวม 3พันล้านเหรียญสหรัฐฯ



ลำดับที่ 6.
Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein of Liechtenstein
เจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์
มีพระราชทรัพย์ทรัพย์ประมาณการ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดยที่ LGT Bank ซึ่งเป็นแหล่งทุนหลักของพระองค์
(บริหารโดยราชวงศ์มากว่า 70 ปี) ตกเป็นเป้าในคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่า ช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน”ทรัพย์สินจากการสืบสวนของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ พบว่าพระอนุชาของพระองค์ (เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้องในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT


ลำดับที่ 5.
Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum of Dubai
ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ ทรงมีพระราชทรัพย์สุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding ซึ่งมีการลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท เช่น โซนี่ และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้ได้ใช้เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York และทรง เข้ามาซื้อหุ้นใหญ่สุดของสโมสรในอังกฤษอีกด้วย

ลำดับที่ 4.
Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei
สุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์จากเอเชียจากสองประเทศที่เข้าทำเนียบราชวงศ์ที่รำรวยของฟอร์บ ราชทรัพย์ของสุลต่านแห่งบรูไน(ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ) ลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากต้องลดอัตราการผลิตน้ำมันเนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศบรูไนลดลง โดยฟอร์บระว่า กิจการน้ำมันนั้นเป็นมรดกตกทอดของราชวงศ์บรูไนซึ่งเป็นราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี

ลำดับที่ 3.
King Abdullah bin Abdul Aziz of Saudi Arabia
กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิซ แห่งซาอุฯ
ทรงมีทรัพย์สินประมาณการที่ 21.5 พันล้านเหรียญฯ รายได้มหาศาลของพระองค์ได้มาจากอุตสาหกรรมน้ำมันที่ซาอุดีอาระเบีย มีส่วนการผลิตถึง 25 % ของแหล่งน้ำมันทั่วโลก และธุรกิจการบินของสายการบินซาอุดี อาระเบียนส์ แอร์ไลน์ แต่อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่าแหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย จะหมดลงในปีค.ศ.2040 หรืออีกใน 32 ปี ข้างหน้านี้

ลำดับที่ 2.
Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan of the United Arab Emirates
ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี
(สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีพระราชทรัพย์ประมาณ 23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความมั่งคั่งของพระองค์เกิดจากการที่เมืองอาบูดาบี เป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมันสำรองคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนั้น อาบูดาบียังมีชื่อเสียง เนื่องมาจากการลงทุนระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของนั่นคือเงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท Citibank และมาถึงลำดับที่1 ซึ่งเป็นอีก 1ราชวงศ์จากเอเชีย นั่นก็คือ....

ลำดับที่ 1.
King Bhumibol Adulyadej of Thailand
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุดของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้ โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้านเหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท: 34 ดอลลาร์) โดย พระราชทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องจากความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั่นเอง

10 อันดับภาษาที่เรียนรู้ยากที่สุด !!

อันดับที่ 10 Swahili
ภาษา สวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก-กินชาซา โซมาเลีย คอโมโรส (รวมมายอต) โมซัมบิก และมาลาวี ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป็นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่า การเรียนภาษาสวาฮิลีเป็นสิ่งท้าทายที่สุด

อันดับที่ 9 English
ภาษา อังกฤษ เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่อง จากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากโดยรวมเนื่องจาก เป็นภาษาที่ใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน

อันดับที่ 8 Korean
ภาษา เกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ใน จังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ภาษาตระกูลอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) แม้ว่าภาษาเกาหลีจะมีตัวอักษร กับสระเพียงไม่กี่ตัวที่ต้องจำ(อักษร 19 + สระ 21) หากแต่ว่าไวยากรณ์ของเกาหลียากมาก ต้องจำกฎสารพัด กว่าจะเข้าใจและสามารถเขียนและอ่านได้

อันดับที่ 7 German
ภาษาเยอรมัน หรือด๊อยช์ เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนใน ฝรั่งเศส นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล ภาษาเยอรมัน จะว่ายาก..มันก็ยาก เพราะมีการแบ่งเพศในคำนามสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้ 3 เพศ เช่น เวลา หรือ นาฬิกา นั้นเป็นเพศหญิง เครื่องดื่มที่เป็นแอลกฮอลล์ทุกชนิด ยกเว้นเบียร์ ถือว่าเป็นเพศกลาง เป็นต้น(มันคิดได้ไงว่ะเนี้ย) นอกจากนี้ยังยากตรงไวยากรณ์ เพราะมีข้อยกเว้นมาก และยากที่จะพูดให้คล่องโดยถูกหลักไวยากรณ์ เพราะคำกริยาบางทีก็อยู่ข้างหลังประโยค นอกจากนี้คำกริยาและคุณศัพท์ยังต้องผันตามเพศของคำนามอีก

อันดับที่ 6 Russian
ภาษา รัสเซีย เป็นภาษากลุ่มสลาวิกที่ใช้เป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียจัดอยู่ในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤต ภาษากรีก และภาษาละติน รวมไปถึงภาษาในกลุ่มเจอร์เมนิก โรมานซ์ และเคลติก (หรือเซลติก) ยุคใหม่ ตัวอย่างของภาษาทั้งสามกลุ่มนี้ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาไอริชตามลำดับ ส่วนภาษาเขียนนั้นมีหลักฐานยืนยันปรากฏอยู่เริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10ในปัจจุบัน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีการใช้นอกประเทศรัสเซียด้วย มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซีย รวมทั้งความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางการเมืองในยุคที่สหภาพโซเวียตเรือง อำนาจและยังเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ สับสน วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเขียนหรือการอ่านออกเสียง

อันดับที่ 5 Japanese
ภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ สาเหตุที่ภาษานี้มีความยากจนเรียกได้ว่าถึงขั้นพิสดารอันเนื่องมาจากคน ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีพิธีรีตองมาก ดังนั้นคำภาษาญี่ปุ่นจึงอักษรถึง3แบบ แบ่งคำศัพท์สำหรับใช้กับเพื่อน คนในครอบครัว อาจารย์เป็นต้น บางตัวไม่สามารถอธิบายได้ต้องจำเอาเอง ถือว่าเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นอักษรคันจิยิ่งไปใหญ่ ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็แทบแย่เหมือนกัน

อันดับที่ 4 Polish
ภาษาโปแลนด์ คือภาษาทางการของประเทศโปแลนด์ มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ของโปแลนด์ ในปัจจุบันจากภาษาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะที่พูดใน Greater Poland และ Lesser Poland ภาษาโปแลนด์เคยเป็นภาษากลาง ในพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการทหารของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในปัจจุบันภาษาโปแลนด์ไม่ได้ใช้กันกว้างขวางเช่นนี้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังมีคนพูดหรือเข้าใจภาษาโปแลนด์ในพื้นที่ชายแดนทางตะวันตกของยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย เป็นภาษาที่สองและคนอพยพจากประเทศโปแลนด์ที่อาศัยในพื้นที่ในประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล บราซิล แคนาดา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนความยากนักคงเป็นที่ตัวอักษรที่ยากต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ที่ยุ่ง ยากพอสมควร

อันดับที่ 3 Chinese
แน่นอนว่าภาษาจีน เป็นอีกภาษาที่ยากที่สุดในโลก หากแต่กระนั้นมันมีความสำคัญต่อโลกเหมือนกันเพราะประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด (สำเนียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน)และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) แน่นอนความยากของภาษาจีนนั้นก็คือออกเสียงยาก เขียนยากอีกทั้งมันมีหลายแบบ หลายสำเนียง เช่น จีนกลาง, จีนกวางตุ้ง แถมอักษรยังมีสองแบบคืออักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ

อันดับที่ 2 Hungarian
ภาษาฮังการี เป็นภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกที่พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อน บ้านคือ โรมาเนีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย ออสเตรีย และสโลวีเนีย (ทั้งหมดเป็นประเทศที่ฮังการีได้สูญเสียดินแดนให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) มีคนพูดภาษาฮังการีประมาณ 14.5 ล้านคน มี 10 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฮังการี และมีชนพื้นเมืองฮังการี ประมาณ 1,434,377 คนที่อาศัยอยู่ในโรมาเนีย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุดในพื้นที่ทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย

อันดับที่ 1 Basque
ภาษาบาสก์ เป็นภาษาที่พูดโดยชาวบาสก์ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาพีเรนีสในตอนกลาง ของภาคเหนือของประเทศสเปน รวมทั้งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่มีอาณาเขตติดต่อกัน หรือลึกลงไปกว่านั้นคือ ชาวบาสก์ได้ครอบครองแคว้นปกครองตนเองที่มีชื่อว่าแคว้นปกครองตนเองบาสก์ (Basque Country autonomous community) ซึ่งมีวัฒนธรรมและอิสระในการปกครองตนเองทางการเมือง นอกจากนี้ก็ยังมีชาวบาสก์ที่อยู่ในเขตนอร์เทิร์นบาสก์ในฝรั่งเศสและแคว้น ปกครองตนเองนาวาร์ในสเปนอีกด้วย ชื่อเรียกภาษาบาสก์อย่างเป็นทางการ (ในภาษาตนเอง) คือ เออุสการา (euskara) ส่วนในรูปภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ เออุสเกรา (euskera) เอสกูอารา (eskuara) และ อุสการา (üskara) แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกล้อมรอบด้วยภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน แต่ภาษาบาสก์กลับจัดเป็นภาษาโดดเดี่ยว (language isolate) ไม่ใช่ภาษาในตระกูลดังกล่าว

“หมากฝรั่ง” มีประวัติอย่างไร ???

เฮนรี่ ต้องออกตัวก่อนครับว่า "ประวัติศาสตร์ หมากฝรั่ง" มันมีหลายที่มาจริงๆค้าบ อันนี้คือเป็นแบบมาตรฐานสากล เพราะผมได้เชคจาก WIKIPEDIA
สมัยหนึ่งการเคี้ยวหมากของคนไทยรุ่นย่ารุ่นยายกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป เพราะถือว่าการที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเทียบกับอารยชนชาติตะวันตกได้นั้น ประชาชนคนไทยต้องกระทำตนให้ทันสมัยตามไปด้วย และสิ่งหนึ่งก็คือ ต้องไม่กินหมากแต่อารยชนชาติตะวันตกก็เคี้ยวหมากเหมือนกัน เพียงแต่เป็นหมากคนละชนิดกัน
ฝรั่งถือว่าการเคี้ยวหมาก (ฝรั่ง) เป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อกราม ช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผ่อนคลายร่างกาย เพราะบ้านเมืองเขาเป็นเมืองหนาวร่างกายส่วนอื่น ๆ ยังหาอะไรให้ความอบอุ่นได้ แต่บริเวณใบหน้านี่ต้องทนเอา

หมากฝรั่งเป็นที่นิยมในหมู่ทหารอเมริกันมาก พวกเขาบริโภคหมากฝรั่งเป็น ๕ เท่าของอัตราเฉลี่ยของคนอื่น นอกจากนี้การเคี้ยวหมากฝรั่งก็ยังมีที่มาจากทหารด้วย

ทหารผู้นั้นมียศเป็น นายพลชื่อ อันโตนิโอ โลเปซ เอก ซานตาอันนา แห่งกองทัพเม็กซิโก เมื่อเข้ามาอยู่ในอเมริกาเขานำยางของต้นไม้จากป่าในเม็กซิโกมาด้วย ยางชนิดนี้รู้จักกันในหมู่พวกอาซเท็กว่า ชิคลิ (Chicli) นายพลซานตา อันนา ชอบเคี้ยวยางไม้ไร้รสนี้มาก ต่อมาโทมัส อดัมส์ นักถ่ายภาพและนักประดิษฐ์ก็ได้รู้จักยางไม้นี้จากนายพลชานตา และได้สั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก โทมัสพยายามเปลี่ยนยางไม้ให้เป็นยางเทียม แต่ก็ล้มเหลวเสียหลายครั้ง เมื่อหวนคิดว่าหลานของเขาและนายพลชานตาชอบเคี้ยวยางไม้นี้จึงเกิดความคิดที่จะเปิดตลาดด้านนี้แทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ

หมากฝรั่งยุคแรก ๆ ของโทมัส อดัมส์ ทำเป็นเม็ดกลมเล็ก ๆ ยังไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็นรัฐนิวเจอร์ซี่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๗๑ โดยขายราคาเม็ดละ ๑ เพนนี ต่อมาจึงได้ดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบน ๆ


บุคคลแรกที่เติมรสชาติให้หมากฝรั่งคือ เภสัชกรจากหลุยส์วิล รัฐเคนตักกี้ ชื่อ จอห์น คอลแกน ในราวปี ค.ศ. ๑๘๗๕ เขาไม่ได้เติมรสแบบลูกอมรสเชอร์รี่ รสเปปเปอร์มินต์ หรืออื่น ๆ อย่างในสมัยนี้ รสชาติที่เขาเติมให้หมากฝรั่งคือตัวยาทางการแพทย์ เป็นขี้ผึ้งหอมทูโล ทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ รสชาติคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คอลแกนเรียกหมากฝรั่งของเขาว่า แทฟฟี-ทูโล เป็นหมากฝรั่งที่ประสบความสำเร็จกว่าหมากฝรั่งอื่น ๆ ที่เติมรสชาติแล้วในสมัยนั้น

ต่อมาโทมัส อดัมส์ ใช้รสชะเอมเติมในหมากฝรั่ง เรียกชื่อสินค้าของเขาว่า แบลคแจค ซึ่งเป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาด (ของอเมริกา) ส่วนรสเปปเปอร์มินต์ซึ่งเป็นรสยอดนิยมเริ่มมีในปี ค.ศ. ๑๘๘๐

หมากฝรั่งที่วางขายอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ยางไม้ที่ทำเลียนแบบทอฟฟี่อย่างหมากฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่ม ๆ ซึ่งโดยตัวมันเองแล้วไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ชื่อก็ไม่ชวนกิน แต่คนอเมริกันก็เคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้กันถึงปีละ ๑๐ ล้านปอนด์

สำหรับหมากฝรั่งที่ใช้เป่าเป็นลูกโป่งได้ ผู้คิดค้นคือ สองพี่น้อง แฟรงค์ และ เฮนรี ฟลีเออร์ แต่คุณภาพของหมากฝรั่งที่แฟรงค์ผลิตให้เป่าได้ในตอนนั้นยังมีปัญหา คือไม่ยืดหยุ่นพอลูกโป่งยังไม่ทันโตก็แตก และเมื่อแตกแล้วจะติดแก้มติดจมูก จนปีค.ศ. ๑๙๒๘ แฟรงค์ก็สามารถผลิตหมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่งได้ขนาดโตเป็น ๒ เท่าของที่ทำได้ในช่วงแรก ๆ

หมากฝรั่งไม่ได้แพร่หลายเฉพาะแต่ในอเมริกาเท่านั้น ในหมู่ชาวเอสกิโมก็เคี้ยวหมากของฝรั่งแทน 'หมาก' จากไขปลาวาฬ ซึ่งใช้เคี้ยวมานานหลายศตวรรษ โดย จี.ไอ. สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นผู้นำไปเผยแพร่... ผลงานของทหารอีกนั่นแหละ
เฮนรี่ขอสอดแทรกด้วย ประโยชน์ของ "หมากฝรั่ง"

หมากฝรั่ง ช่วยลดอาการเสียดท้อง ถ้าเคี้ยวหมากฝรั่งหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จะช่วยลดกรดไหลย้อนกลับได้ หมากฝรั่งช่วยให้สุขภาพฟันดูสดใส แต่จะต้องเป็นแบบซูการ์ฟรีเท่านั้น !

การเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นประจำ จะช่วยลดอาการฟันผุได้ เพราะหมากฝรั่งช่วยลดกรดในช่องปาก และความเหนียวของหมากฝรั่ง จะช่วยทำให้ฟันสะอาดดีด้วย เพราะหมากฝรั่งจะช่วยเข้าไปทำให้อาหารหลุดออกมาได้

เคี้ยวหมากฝรั่งแล้ว ก่อนเข้านอนก็อย่าลืมแปรงฟัน ไม่อย่างนั้นอาจจะฝันผุได้

2553/09/11

จำอังกฤษโดยไม่ต้องท่อง

ในบทนี้เราก็ใช้เทคนิกคือการอ่านครับ เพื่อนบางคนคิดว่าภาษาอังกฤษจะอ่านให้รู้เรื่องยังไง เรามีวิธีการดังนี้

1.เตรียม Dictionary ไว้

2.เริ่มอ่านได้

3.เมื่ออ่านไปเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้ให้เปิด Dictionary ดู

4.อ่านต่อไป

5.เมื่อเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้อีกก็เปิด Dictionary อีก

6.เมื่ออ่านจบแล้วเราก็อ่านอีกครับ ที่เหลือก็ทำตามขั้นตอนที่กล่าวมา

เมื่อทำอ่านนี้เป็นการทำให้เราชินกับภาษาครับและจะทำให้เราจำได้ง่ายขึ้นครับโดยไม่ต้องท่องศัพท์ให้เหนื่อย

และเพื่อนๆควรพก Dictionary ติดตัวเสมอครับเล่มไม่ต้องใหญ่มาหรอกครับเพราะเมื่อเวลาเราเจอคำศัพท์ทันทีเราก็สามารถเปิดดูได้เลย และก็สามารถทำให้จำได้ดีเช่นกัน
นอกจากวิธีข้างต้นที่ผมให้มาแล้วภาษาอังกฤษยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นอีกโดยจะมีดังนี้1.ต้องใช้บ่อยๆ
2.เชื่อมโยงกับสิ่งที่เห็นเป็นประจำ
3.ใช้มันให้เหมือนภาษาไทย
4.เวลาพูดจะต้องออกเสียงดัง(พอประมาณ) เพื่อให้ชินกับสำเนียงและช่วยให้จำได้ง่าย วิธีการนี้จะใกล้เคียงกับการท่องจำแต่ต่างกันที่เราจะใช้มันไปเรื่อยๆเหมือนพูดภาษาไทย
5.ต้องเขียนคำศัพท์และประโยคบ่อยๆ ถ้าจะดีควรหาโจทย์มาทำเพื่อทำสอบความรู้และสร้างความเคยชินกับภาษา

ทำไมเรียกอเมริกาว่า เมืองลุงแซม

บ่อยครั้งที่ได้ยินคนใช้คําว่า "ลุงแซม" แทนคําว่าสหรัฐอเมริกา เช่น เมืองลุงแซม มีใครเคยสงสัยไหมว่า "ลุงแซม" น่ะมีตัวตนจริงหรือเปล่า

ความจริงแล้วเรื่องมันมีที่มาว่า ระหว่างการสงครามเมื่อปี 1812 นายแซมวล วิลสัน แห่งเมืองทรอย นิวยอร์ค เป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้บรรจุเนื้อเค็มลงถังส่งไปให้ทหารแนวหน้า ซึ่งก่อนที่จะส่งไปนั้น วิลสัน จําเป็นจะต้องตรวจสอบให้เรียบร้อย ดังนั้น เพื่อแสดงว่าเขาได้ตรวจสอบเนื้อเค็มแล้ว วิลสันได้ประทับอักษร "U.S." ลงบนแผ่นเนื้อ เพื่อระบุว่ามันเป็นของรัฐบาล แต่เพื่อนบ้านของวิลสันผู้ชอบเรียกเขาว่า "ลุงแซม" กลับไปตีความหมายว่าเป็นชื่อย่อของ "Uncle Sam Wilson"

หลายปีผ่านไป หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งสร้างรูปการ์ตูนชื่อ "ลุงแซม" เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาลอเมริกัน และภาพนั้นก็แพร่หลายยิ่งขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยโชว์รูป "ลุงแซม" ไว้ในดาวและแถบของธงสหรัฐ การ์ตูน ลุงแซมที่ดังมากคือ รูปนิ้วชี้แล้วพูดว่า "ผมต้องการคุณเพื่อนกองทัพบกสหรัฐ" เรื่องก็เป็นเช่นนี้นั่นเอง

"ชิคุนกุนยา"โรคร้ายสายพันธ์ใหม่ที่มากับหน้าฝน

ระบาดอีกแล้ว!!! โรคที่มาพร้อมกับยุง.... เมื่อบอกอย่างนี้หลายคนคงนึกถึงโรคไข้เลือดออก ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ไข้มาเลเรีย ที่มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค แต่ที่น่าตกใจเพราะตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้นแต่กลับมีโรคที่มีชื่อแปลกๆ ว่า "ชิคุนกุยา" มาทำความรำคาญและแพร่ระบาดหนักอยู่ในภาคใต้ของประเทศเราอยู่

สถานการณ์ล่าสุด!!! หลังจากพบผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนติดเชื้อไวรัสชิคุกุนยา ใน 2 จังหวัดภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาสและปัตตานี ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค เร่งส่งเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งทีมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่และเฝ้าระวังโรคดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อหาทางยุติการแพร่ระบาดของโรคนี้

... เชื่อได้เลยว่าหลายคนยังคงไม่คุ้นหูกับโรคชิคุนกุนยา ไม่รู้ว่ามันเป็นโรคอะไร???? บ้างก็แตกตื่นคิดว่าเป็นโรคสายพันธ์ใหม่ แต่จริงๆ แล้วโรคนี้มีมานานแล้ว โดยถิ่นกำเนิดแรกของมันอยู่ที่ทวีปอาฟริกา และแพร่ระบาดไปหลายประเทศๆ ทั่วโลก หนึ่งในนั้นก็รวมประเทศไทยของเราด้วย ซึ่งตรวจพบโรคชิคุนกุนยาครั้งแรกพร้อมกับที่มีไข้เลือดออกระบาดและเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย

น.พ.หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ออกมาบอกถึงโรคดังกล่าวว่า "ชิคุนกุนยา" เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ส่วนใหญ่แล้วในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ซึ่งอาการที่เด่นชัดในผู้ใหญ่คืออาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ อาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก ที่อาจพบ tourniquet test ให้ผลบวก และจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้

สาเหตุการติดต่อ!! โรคนี้ติดต่อกันได้โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุงและเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลายเมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัดทำให้คนนั้นเกิดอาการของโรคได้

ระยะการฟักตัว!!! โดยทั่วไปจะมีการฟักตัวประมาณ 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยประมาณ 2-3 วัน ระยะติดต่อคือระยะไข้สูงประมาณวันที่ 2-4 ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก สำหรับอาการและอาการแสดง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน ร่วมกับอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา หรือมีเลือดออกตามผิวหนัง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดง แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว

แม้อาการนำของโรคชิคุนกุนยา จะคล้ายโรคไข้เลือดออกหรือหัดเยอรมัน แต่ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อก หรือเลือดออกมาก โรคชิคุนกุนยาพบมากในฤดูฝน และทุกกลุ่มอายุ ซึ่งต่างจากโรคไข้เลือดออกและหัดเยอรมันที่มักพบในผู้อายุน้อยกว่า 15 ปี

ดูแล้วเหมือนมันอาจจะไม่ค่อยรุนแรงเหมือนโรคไข้เลือดออกสักเท่าไหร่ แต่ถึงแม้มันจะไม่สามารถคร่าชีวิตคนเราไปได้ แต่เราก็ควรที่จะระมัดระวังเอาไว้ โดยเฉพาะลูกเด็กเล็กแดงที่อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ง่าย อีกทั้งช่วงนี้ฝนตกบ่อยทำให้มีน้ำขัง เหมาะแก่การเจริญเติบโตของยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคอีกด้วย

ส่วนวิธีป้องกันนั้น!!! ถึงแม้ทุกวันนี้ยังไม่ยาหรือวัคซีนตัวใดที่ใช้รักษาได้โดยตรงทั้งโรคไข้เลือดออกและโรคชิคุนกุนยา ดังนั้นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ถ้ามีไข้สูง ก็ให้ยาลดไข้ หรือลดอาการปวดข้อ และพักผ่อนให้เพียงพอก็สามารถบรรเทาอาการไปได้ แต่อย่างไรก็ตามการป้องกันการแพร่พันธุ์ของยุงเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ต้องหมั่นตรวจดูที่เก็บกักน้ำ ไม่ว่าจะเป็น บ่อ กะละมัง เพราะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่ จึงจำเป็นต้องมีฝาปิด ที่ใดที่จำเป็นต้องมีน้ำขังอยู่ก็ให้ใส่ทรายอะเบทลงไปเพื่อป้องกันการวางไข่ และควรเลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เพราะปลาจะกินลูกน้ำเป็นอาหาร

แต่นอกเหนือจากการป้องกันการแพร่พันธ์ของยุงแล้ว ตัวเราเองก็ต้องป้องกันตัวเราไม่ให้ถูกยุงกัดด้วย ควรติดมุ้งลวดในบ้าน หรือทายากันยุงขณะทำงานและออกนอกบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงกัดตอนกลางวัน และที่สำคัญต้องเฝ้าสังเกตคนในบ้านว่ามีไข้และอาการคล้ายกับโรคชิคุนกุนยาหรือไม่ หากมีก็ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน

ถึงแม้ว่าวันนี้ โรคชิคุนกุนยาจะเป็นโรคใหม่ที่มีชื่อไม่คุ้นหูนัก แต่หากปล่อยให้แพร่ระบาดไปสู่วงกว้างอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจได้ ... วันนี้เพียงป้องกันยุงลาย นอกจากจะป้องกันไข้เลือดออกแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคชิคุนกุนยาได้ด้วยนะค่ะ

เรื่องโดย : ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th

รู้เรื่อง....โรคชิคุนกุนยา


ลักษณะโรค



โรคชิคุนกุนยา เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีอาการคล้ายไข้เดงกี แต่ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงมีการช็อก


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) ซึ่งเป็น RNA Virus จัดอยู่ใน genus alphavirus และ family Togaviridae มียุงลาย Aedes aegypti, Ae. albopictus เป็นพาหะนำโรค

วิธีการติดต่อ

ติดต่อกันได้โดยมียุงลาย Aedes aegypti เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นเกิดอาการของโรคได้

ระยะฟักตัว

โดยทั่วไปประมาณ 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยประมาณ 2-3 วัน

ระยะติดต่อ

ระยะไข้สูงประมาณวันที่ 2-4 เป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก

อาการและอาการแสดง

ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดง (conjunctival injection) แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว ส่วนใหญ่แล้วในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคืออาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ อาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก อาจพบ tourniquet test ให้ผลบวก และจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้

ความแตกต่างระหว่างDF/DHF กับการติดเชื้อ chikungunya

1. ใน chikungunya มีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันกว่าใน DF/DHF คนไข้จึงมาโรงพยาบาลเร็วกว่า

2. ระยะของไข้สั้นกว่าในเดงกี ผู้ป่วยที่มีระยะไข้สั้นเพียง 2 วัน พบใน chikungunya ได้บ่อยกว่าใน DF/DHF โดยส่วนใหญ่ไข้ลงใน 4 วัน

3. ถึงแม้จะพบจุดเลือดได้ที่ผิวหนัง และการทดสอบทูนิเกต์ให้ผลบวกได้ แต่ส่วนใหญ่จะพบจำนวนทั้งที่เกิดเองและจากทดสอบน้อยกว่าใน DF/DHF

4. ไม่พบ convalescent petechial rash ที่มีลักษณะวงขาวๆใน chikungunya

5. พบผื่นได้แบบ maculopapular rash และ conjunctival infection ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี

6. พบ myalgia / arthralgia ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี

7. ใน chikungunya เนื่องจากไข้สูงฉับพลัน พบการชักร่วมกับไข้สูงได้ถึง 15% ซึ่งสูงกว่าในเดงกีถึง 3 เท่า

ระบาดวิทยาของโรค

การติดเชื้อ Chikungunya virus เดิมมีรกรากอยู่ในทวีปอาฟริกา ในประเทศไทยมีการตรวจพบครั้งแรกพร้อมกับที่มีไข้เลือดออกระบาดและเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย เมื่อ พ.ศ. 2501 โดย Prof.W McD Hamnon แยกเชื้อชิคุนกุนยา ได้จากผู้ป่วยโรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพมหานคร

ในทวีปอาฟริกามีหลายประเทศพบเชื้อชิคุนกุนยา มีการแพร่เชื้อ 2 วงจรคือ primate cycle (rural type) (คน-ยุง-ลิง) ซึ่งมี Cercopithicus monkeys หรือ Barboon เป็น amplifyer host และอาจทำให้มีผู้ป่วยจากเชื้อนี้ประปราย หรืออาจมีการระบาดเล็กๆ (miniepidemics) ได้เป็นครั้งคราว เมื่อมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อนี้อยู่ และคนอาจนำมาสู่ชุมชนเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุมมาก ทำให้เกิด urban cycle (คน-ยุง) จากคนไปคน โดยยุง Aedes aegypti และ Mansonia aficanus เป็นพาหะ

ในทวีปเอเซีย การแพร่เชื้อต่างจากในอาฟริกา การเกิดโรคเป็น urban cycle จากคนไปคน โดยมี Ae. aegypti เป็นพาหะที่สำคัญ ระบาดวิทยาของโรคมีรูปแบบคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อที่นำโดย Ae. aegypti อื่นๆ ซึ่งอุบัติการของโรคเป็นไปตามการแพร่กระจายและความชุกชุมของยุงลาย หลังจากที่ตรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย ก็มีรายงานจากประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ เขมร เวียตนาม พม่า ศรีลังกา อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

โรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เมื่อประชากรยุงเพิ่มขึ้นและมีการติดเชื้อในยุงลายมากขึ้น พบโรคนี้ได้ในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งต่างจากไข้เลือดออกและหัดเยอรมันที่ส่วนมากพบในผู้อายุน้อยกว่า 15 ปี ในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา 6 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2531 ที่จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. 2534 ที่จังหวัดขอนแก่นและปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2536 มีการระบาด 3 ครั้งที่จังหวัดเลย นครศรีธรรมราช และหนองคาย

การรักษา

ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง (specific treatment) การรักษาเป็นการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เช่นให้ยาลดอาการไข้ ปวดข้อ และการพักผ่อน

ที่มา : สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข


ทรายอะเบท กำจัดยุงลาย


ทรายอะเบทเป็นชื่อทางการค้าซึ่งความจริงแล้วทรายอะเบทเป็นเม็ดทรายที่ถูกเคลือบด้วยสารเคมี ในปัจจุบันเราจะใช้คำว่าทรายกำจัดลูกน้ำยุงลายหรือทรายเคมีฟอส แทนคำว่า ทรายอะเบท สารเคมีฟอสเป็นสารเคมีสังเคราะห์โดยมีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบสำคัญ สารเคมีฟอสออกพิษรุนแรงแรงต่อลูกน้ำของยุง หรือแมลงหวี่ เพราะฉะนั้นเราจึงใช้คุณสมบัติด้านนี้ของสารเคมีฟอสในการกำจัดลูกน้ำยุงลาย สารนี้มีการผลิตได้หลายรูปแบบ เช่น ผลิตในรูปแบบน้ำ ผงหรือเป็นเม็ด

แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือการนำสารเคมีฟอสมาเคลือบเม็ดทรายที่เรียกว่าทรายทรายเคมีฟอส หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ทรายอะเบท ซึ่งส่วนใหญ่เม็ดทรายที่เคลือบมีสารออกฤทธิ์ 1% หรือ 2% เวลาใช้จะต้องนำไปใส่ในน้ำ อัตราส่วนการใช้ คือ ทรายอะเบท 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร โดยการคำนวณเปอร์เซ็นต์แยกต่างหาก ซึ่งส่วนการใช้ทรายอะเบทจะมีส่วนปรากฏอยู่ในแต่ละซอง

ที่มา: พ.ญ.มนทิรา ทองสาริ นายแพทย์ 9 วช.ด้านเวชกรรมป้องกัน รักษาการผู้อำนวยการกองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร

2553/09/07

สะพานทาวเวอร์บริดจ์ ( Tower Bridge )

A visit to Tower Bridge Exhibition clearly explains how the Bridge works and describes its fascinating history. The information below provides a backdrop to help make the most of your visit.

-The Need for a New Bridge
London Bridge was originally the only crossing for the Thames. As London grew, so more bridges were added, although these were all built to the west of London Bridge, since the area east of London Bridge had become a busy port. In the 19th century, the East End of London became so densely populated that public need mounted for a new bridge to the east of London Bridge, as journeys for pedestrians and vehicles were being delayed by hours. Finally in 1876, the City of London Corporation, responsible for that part of the Thames, decided the problem could be delayed no longer.

The view today from the high level Walkways has changed dramatically, although there are still signs of the area's amazing history. With the aid of photographs and interactive kiosks, visitors to Tower Bridge Exhibition can gain a greater understanding of how life would have been when the idea of a new bridge was originally conceived.

-How a Design was Chosen
A huge challenge faced the City of London Corporation - how to build a bridge downstream from London Bridge without disrupting river traffic activities. To generate ideas, the "Special Bridge or Subway Committee" was formed in 1876, and opened the design for the new crossing to public competition.

Over 50 designs were submitted for consideration, some of which are on display at Tower Bridge Exhibition. It wasn't until October 1884 however, that Horace Jones, the City Architect, in collaboration with John Wolfe Barry, offered the chosen design for Tower Bridge as a solution.


-The Building of the Bridge
It took 8 years, 5 major contractors and the relentless labour of 432 construction workers to build Tower Bridge.
Two massive piers were sunk into the river bed to support the construction and over 11,000 tons of steel provided the framework for the Towers and Walkways. This framework was clad in Cornish granite and Portland stone to protect the underlying steelwork and to give the Bridge a more pleasing appearance.

To learn more about the building of Tower Bridge, the people involved in its construction and why it was needed, visit The Tower Bridge Exhibition where video screenings explain the entire project, including the difficulties faced.

-How it Works - Then and Now
When it was built, Tower Bridge was the largest and most sophisticated bascule bridge ever completed ("bascule" comes from the French for "see-saw"). These bascules were operated by hydraulics, using steam to power the enormous pumping engines. The energy created was stored in six massive accumulators, as soon as power was required to lift the Bridge, it was always readily available. The accumulators fed the driving engines, which drove the bascules up and down. Despite the complexity of the system, the bascules only took about a minute to raise to their maximum angle of 86 degrees.

Today, the bascules are still operated by hydraulic power, but since 1976 they have been driven by oil and electricity rather than steam. The original pumping engines, accumulators and boilers are now exhibits within the Tower Bridge Exhibition.


Visit the Tower Bridge Exhibition to experience the stunning panoramic views from the walkways. See the original Victorian steam engines used to raise the bridge and have fun with the interactive exhibits to learn more about the world's most famous bridge!



-Opening Hours
Summer Opening Hours
April - September 10:00 - 18:30
(last admission 17:30)

Winter Opening Hours
October - March 09:30 - 18:00
(last admission 17:00)

Tower Bridge Exhibition is closed 24 - 26 December


Tower Bridge Exhibition - A History

In 1910 the high level Walkways were closed to the public due to lack of use. People arriving on the bridge preferred to wait at street level for it to close rather then heading up the stairs carrying their heavy loads. In 1982, as part of the new Tower Bridge Exhibition, visitors to the bridge could once again enter the walkways, now fully covered, and experience the amazing panoramic views. Although Tower Bridge is now powered by oil and electricity, the original steam engines maintained by a dedicated team of technical officers remain in their original location for all to see. This area is known as the Victorian Engine Rooms, the second section of Tower Bridge Exhibition. Over the past 26 years, the exhibition has been developed to keep pace with modern day needs without losing its Victorian essence. Through interactive kiosks and video walls along with knowledgeable Guides, visitors can learn about key events in the Bridge's history, ranging from Royal visits to dare devil stunts.