2554/01/31

8 สัตว์ในเทพนิยาย-ตำนาน ต่างๆ

1. Banshee (แบนชี)

ตามตำนานชาวไอร์แลนด์ (Irish) แบนชีเป็นวิญญาณผู้หญิงที่จะร้องเสียงโหยหวนเมื่อได้สัมผัสกลิ่นแห่งความตาย เธอจะติดตามบางครอบครัวเป็นพิเศษ และร้องเสียงโหยหวนเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวใกล้จะตาย แบนชีมีผมพลิ้วไหวและดวงตาสีแดงจากการร่ำไห้ บางตำนานบอกว่าเธอมีช่องจมูกรูเดียว

2. Bunyips (บันยิป)

กล่าวกันว่าบันยิปมีบ้านเกิดอยู่ที่ทางน้ำในออสเตรเลีย มันมักจะถูกบอกเล่าว่ามีหางเหมือนจระเข้ และส่วนอื่นเหมือนกับจิ้งจอก นกอีมู หรือคน พวกมันสามารถมีแผงคอหรือศีรษะที่เต็มไปด้วยวัชพืช และเท้าของมันหันกลับด้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกตำนานเชื่อเหมือนกัน คือ เสียงร้องไห้ของบันยิปจะดังสนั่นหวั่นไหวอย่างน่ากลัว เมื่อไรที่คุณได้ยินเสียงดังจากหนองน้ำ...นั่นแหละบันยิปล่ะ อ้อ! ระวังอย่าเข้าใกล้มันเชียว เพราะบันยิปกิน (จริง ๆ คือ กลืน) คน และชอบกินผู้หญิงกับเด็กเป็นพิเศษด้วย


3. Chimera (คิเมร่า)

ตัวนี้น่าจะคุ้นกันดี คิเมร่าเป็นสัตว์ที่มีหัวเป็นสิงโต ตัวเป็นแพะ และหางเป็นงู ลมหายใจของมันก่อให้เกิดเพลิงร้อนแรงถึงตายได้เชียวนะ



4. Cyclopes (ไซคลอป)

ไซคลอปคือยักษ์ที่มีตาเดียวอยู่กลางใบหน้า กล่าวกันว่าไซคลอปตัว (?) แรกเป็นบุตรของไกอา พระแม่ธรณี กับยูเรนัส สวรรค์ชั้นฟ้า (Uranus, the Heavenly Sky)


5. Djinn (จิน)

อาจไม่คุ้นหูกัน แต่ถ้าบอกว่าเขียนได้อีกหลายคำ ทั้ง Genie, Jinni, Djinni และDjin จริง ๆ แล้วตัวนี้คือ ยักษ์จินนี่ ที่เราคุ้นตาในอะลาดินนั่นแหละ มันมาจากตำนานของชาวอาหรับและทางตะวันออก จินเป็นวิญญาณที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์สูง พวกมันอาจจะใจดีหรือมุ่งร้ายต่อมนุษย์ก็ได้ ผู้วิเศษสามารถร่ายมนตร์เพื่อบังคับให้วิญญาณเหล่านี้ทำตามคำสั่งได้ จินมักจะถูกผูกมัดกับแหวนหรือเครื่องประดับ (หัวสูงนิ..) แต่ก็เป็นไปได้ที่จะอยู่ในสิ่งอื่น เช่น ตะเกียงอะลาดิน เป็นต้น


6. Dragons (ดรากอน - มังกร)

ตัวนี้น่าจะรู้จักกันดียิ่งกว่าห้าตัวแรก คำอ่าน ดรากอน นั้นหมายถึงสำเนียงคนไทย (ถ้าให้อ่านตามจริง จะประมาณ ดรา-เกิน หรือ แดร-เกิน) มังกรพบเจอได้บ่อย ๆ ในเทพนิยายและตำนานต่าง ๆ สำหรับตำนานของชาวบาบิลอน (Babylonian Myth) ‘Tiamat (เทียแมท)’ เป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ต่อสู้กับพระเจ้า Marduk และในนิทานของอังกฤษ นักบุญจอร์จได้ฆ่ามังกรเพื่อปกป้องสาวพรหมจรรย์

7. Golem (โกเลม)

ว่ากันว่าพระชาวยิวในเมืองปราก (Prague) เมืองหลวงของเชโกสโลวะเกีย เป็นคนสร้างโกเลมขึ้น ในตอนนั้นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสลัมของปรากกำลังถูกข่มเหง โกเลมจึงเกิดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง (Protection) โกเลมถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียว และจะมีชีวิตเมื่อพระเขียนคำว่า shem (“ชื่อ”) บนกระดาษหนังแล้วใส่เข้าไปในปากของมัน นอกจากนั้นพระยังเขียนคำว่า emet (“สัจธรรม” Truth) บนหน้าผากของมัน
โกเลมมีร่างกายที่แข็งแกร่งและคอยปกป้องชาวยิวตลอดมา อย่างไรก็ตาม ผู้คนในเมืองเริ่มเกรงกลัวสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น พระจึงได้ทำลายโกเลมด้วยการเปลี่ยนคำว่า emet เป็น met ซึ่งหมายถึง “ความตาย”




8. Harpies (ฮาร์ปี)

ฮาร์ปีมักถูกวาดภาพเป็นสัตว์ที่มีศีรษะและหน้าอกเหมือนผู้หญิง แต่ร่างกายเป็นนก (คล้าย ๆ กินรีที่เรารู้จักกันนั่นแหละ) มันเป็นที่รู้จักในเรื่องกลิ่นอันเหม็นอย่างร้ายกาจ ซึ่งจะทำลายทุกอย่างที่เข้าใกล้

10 สุดยอดคำสาปของโลก

พจนานุกรมได้นิยาม "คําสาป" ไว้ว่า คือ "คำแช่งให้เป็นไป ต่างๆ ของผู้มีฤทธิ์ อำนาจ เช่น เทวดา ฤาษี แม่มด" ดังนั้น คำสาปจึงเป็นสิ่งที่น่าหวั่นไหวมิใช่น้อย และได้มีผู้จัดอันดับ คำสาปที่น่ากลัวที่สุดของโลกไว้ 10 อันดับ ซึ่งมีดังนี้

อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)

เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมย มาจากพระนลาฏ (หน้าผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ. 1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!

และก็จริงตาม คําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้ จากนายทราวิเนียร์ พระองค์และ พระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮ นรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์ ฮาร์รี ย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวมใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน

ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึงมอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน

อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา

โปรตุเกส วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คนครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!

ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก แต่ได้ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของ เธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต เธอได้สาป ให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจนปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิค ก็นับเป็นคําสาปที่ขลังยิ่ง

อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์

ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไปหากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบท แม็คเบ็ธ

ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที

และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบท แม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา


อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์

สกอตแลนด์ ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่าง โดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่นในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา ขมังในเรื่องเวทมนตร์และเลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้ เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว

ก่อนตาย ครอว์ลีย์ ได้สาปทิ้งท้ายไว้กับยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า "ปล่องไฟ ปีศาจ" และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่าเมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย

"ปล่องไฟปีศาจ" ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001 ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!

อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์, สหรัฐฯ

แม่มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของวูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการจัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ เริ่มจากเคาะ 3 ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม ข้ามหลุมศพ 3 หน แล้วเปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ (ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร)

ไม่เชื่อก็เดินทางร่วม ทัวร์ไปพิสูจน์ได้
อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน, อียิปต์

เรื่องนี้เราคงเคยได้ฟังกันมาแล้ว จึงขอสรุปสั้นๆ แค่ว่า ทั้ง โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์องค์ นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น

อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาทลอนดอน (Tower of London)

ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูก ใช้เป็นที่คุมขังและประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!
เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ราวศตวรรษที่ 17 ด้วย ไม่ใช่ เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็น เรื่องจริงจัง อย่างเคร่งครัด

เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มา ทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน


อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ

ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์ ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่ แผ่นตะกั่วนี้เรียกกันว่า คา ตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับวิญญาณ ผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอกจากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรสกว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน

อันดับ 2 คําสาป วัฏจักรมรณกรรม ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นี่ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้ง ในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่ มรณกรรมในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ผู้คับแค้น จากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อนที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813

ปธน.คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ลิน-คอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920) รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)

เพิ่งมีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด


อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)

นับเป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ก็อดทรงเสกอาดัม มนุษย์ผู้ชายขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกเว้นผลไม้จากต้นแห่ง ความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่งูตัวแสบ มันยุยงอีฟให้หมํ่า แอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องขึ้น โดยงูจอมแสบ โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการใช้ท้องไถไป อีฟโดนสาปให้คลอดลูก ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหาเลี้ยงท้องอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่ง คําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึงพวกเราทุกคนกระทั่งทุกวันนี้

2554/01/17

แบลส ปาสกาล รูปสามเหลี่ยมปาสกาล

แบลส ปาสกาล (ฝรั่งเศส: Blaise Pascal) เกิดเมื่อ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2166 (ค.ศ. 1623) ที่เมือง Clermont (ปัจจุบันคือเมือง Clermont - Ferrand) ประเทศฝรั่งเศส เสียชีวิตเมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2205 ค.ศ. 1662 ที่เมือง ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
แบลส ปาสกาล คือนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักปรัชญาผู้เคร่งครัดในศาสนา ปาสกาลเป็นเด็กที่มหัศจรรย์มีความรู้เหนือเด็กทั่ว ๆ ไปโดยได้ศึกษาเล่าเรียนจากพ่อของเขาเอง ปาสกาลจะตื่นทำงานแต่เช้าตรู่ท่ามกลางธรรมชาติโดยมักเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ที่ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเครื่องคิดเลขและการศึกษาเกี่ยวกับของเหลว ทำให้เขาเข้าใจความหมายของความดันและสุญญากาศด้วยการอธิบายของ อีวันเกลิสตา ตอร์ริเชลลี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของกาลิเลโอ
ปาสกาลเป็นหนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่โด่งดังที่สุดในวงการคณิตศาสตร์ เขาสร้างสองสาขาวิชาใหม่ในการทำรายงาน เขาเขียนหนังสือที่สำคัญบนหัวข้อผู้ออกแบบเรขาคณิตเมื่ออายุเพียง 16 ปีและยังติดต่อกับ ปิแยร์ เดอ แฟร์มาต์ ในปี พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) เกี่ยวกับทฤษฎีความน่าจะเป็น ความมั่นคง อิทธิพลของการพัฒนาของเศรฐกิจสมัยใหม่และวิทยาศาสตร์สังคม ประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์ในปี พ.ศ. 2197 (ค.ศ. 1654) ปาสกาลออกจากวงการคณิตศาสตร์และฟิสิกส์โดยอุทิศตัวเพื่องานเขียนเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา สองงานของเขามีชื่อเสียงมากในช่วงเวลานั้นคือLettres provinciales และ Pens?es อย่างไรก็ตามเขาได้รับโรคร้ายเข้าสู่ร่างกาย และได้เสียชีวิตหลังจากงานวันเกิดครบรอบอายุ 39 ปีเพียงสองเดือน
สามเหลี่ยมของปาสกาล (Pascal's triangle)
รูปสามเหลี่ยมของจำนวนเต็มที่จัดเรียงเป็นแถวจำนวน แต่ละแถวแทนสัมประสิทธิ์ของตัวแปร x, y และผลคูณของ xy กำลังต่าง ๆ ที่ได้จากการกระจาย (x + y)n เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ..., n

วิธีกินเหยื่อ ของเผ่ามนุษย์กินคนที่ปาปัวนิวกินี ,, สยอง !!!+

เผ่ากินคน
นำเหยื่อลงไปต้มในหมอทั้งตัวจริงหรือ ?
เผ่ากินคนที่ ปาปัวนิวกินี มีวิธีกินที่น่าสยดสยองคือ
เวลามีใครตายขึ้นไม่ว่าจะเป็นญาติของตน หรือคนต่างเผ่าที่ตกอยู่ในครอบครองของตน
เขาจะไม่นำศพไปฝังหรือเผา แต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว
ปล่อยให้ศพอยู่ในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองเยิ้มไปทั้งตัวดีแล้ว
ก็จะเข้าป่าหาใบไม้ที่เป็นเครื่องเทศ เอามาพับเป็นกระทงเล็กๆ
(คงอย่างที่เตรียมใบชะพลูจะกินกับเมี่ยง) เหมาะที่จะมีขนาดกินคำเดียว
แล้วก็เชิญ พรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรงศพนั้นนำ
เอาไม้ปลายแหลมแทงศพให้เป็นรู ให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมา
นำกระทงใบไม้ที่เตรียมรองรับน้ำเหลืองนั้น
พอได้มากดีแล้วก็กินทั้งน้ำเหลืองและใบไม้ กินกันจนไม่มีน้ำเหลือง
แล้วก็นำศพนี้ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กินกันต่อไป
แต่ถ้าเผ่ากินมนุษย์ที่สะใจที่สุดต้องยกให้ชนเผ่า โดโบดูรัส นิยมจับเหยื่อที่ล่ามาได้มากินแบบเป็นๆ นั้นคือต้องทรมานเหยื่อจนใกล้จะตายแต่ไม่ให้
ถึงตาย จากนั้นก็เจาะกะโหลกให้เป็นรูลึกๆ เสียก่อน แล้วค่อยสอดไม้เล็กๆ ที่มีปลายแบบช้อนเข้าไปตักสมองออกมากิน เหยื่อก็ดิ้นไปดิ้นมา ดูแล้วสยดสยองอย่างยิ่ง

แต่เดี๋ยวนี้ คงไม่มีแล้วแหละนะ
เผ่ามนุษย์กินคน

เบนจามิน แฟรงคลิน Benjamin Franklin

เบนจามิน แฟรงคลิน (อังกฤษ: Benjamin Franklin) (17 มกราคม ค.ศ. 1706 [O.S. 6 มกราคม ค.ศ. 1705]– 17 เมษายน ค.ศ. 1790) เป็นหนึ่งในแกนนำผู้ก่อตั้ง (Founding Fathers) ของสหรัฐอเมริกา เบนจามิน แฟรงคลิน เป็น ช่างพิมพ์ คนเรียงพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักปฏิรูป และนักการทูต คนสำคัญในยุคแสงสว่างของสหรัฐอเมริกา

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เขามีผลงานหลายอย่างในด้านฟิสิกส์ ผลงานที่สำคัญคือคิดค้นสายล่อฟ้า และผลงานอื่นเช่นแว่นไบโฟคอล เตาแฟรงคลิน และฮาร์โมนิกาแก้ว เขาเป็นผู้เริ่มก่อตั้งห้องสมุดแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา และก่อตั้งสถานีดับเพลิงแห่งแรกในรัฐเพนซิลเวเนีย ผลงานในฐานะนักการเมืองเขาเป็นนักเขียนและผู้นำการเคลื่อนไหวคนสำคัญไปสู่การแยกตัวออกจากอาณานิคมและร่วมก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกา ในฐานะนักการทูต เขาได้เป็นทูตคนสำคัญในช่วงปฏิวัติอเมริกาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนำไปสู่การแยกตัวของประเทศจากอาณานิคมของอังกฤษในที่สุด

แฟรงคลินเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นนักเรียงพิมพ์ในฟิลาเดลเฟีย ซึ่งสร้างความมั่งคั่งจากหนังสือ Poor Richard's Almanack และหนังสือพิมพ์เพนน์ซิลเวเนียแกเซตต์ (Pennsylvania Gazette) แฟรงคลินมีความสนใจในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกคนหนึ่ง นอกจากนี้เขาได้เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย และวิทยาลัยแฟรงคลินแอนด์มาร์แชลล์ เขายังได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสมาคมปรัชญาอเมริกา

จากผลงานของแฟรงคลินทั้งในด้านวิทยาสาสตร์และการเมือง เขาได้ถูกยกย่องและกล่าวถึงในหลายด้าน เขาปรากฏในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา (100 ดอลลาร์) ชื่อของเขายังปรากฏเป็นชื่อ เมือง เคาน์ตี สถานศึกษา และผลงานอีกหลายด้านยังมีการกล่าวถึงตราบจนปัจจุบัน

ประวัติวัยเยาว์

บ้านเกิดแฟรงคลินในบอสตันเบนจามิน แฟรงคลินเกิดที่เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1706ที่บ้านตรงถนนมิลค์ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และได้รับการแบปติสต์ที่โอลด์เซาธ์มีตตีงเฮาส์ เบนเป็นลูกคนที่ 15 ของบ้านจาก 17 คน พ่อของเบนชื่อ โยซีอาห์ แฟรงคลิน (Josiah Franklin) พ่อค้าขายเทียนและสบู่ในเมืองบอสตัน แม่ของเขาชื่อ อาบีอาห์ โฟรเยอร์ (Abiah Folger) ภรรยาคนที่สองของบ้าน เขาได้รับการศึกษาในเมืองที่โรงเรียนบอสตันลาติน แต่เนื่องจากสภาวะการเงินของทางบ้านไม่ดี จึงได้ออกจากโรงเรียนและมาช่วยกิจการที่บ้านเมื่ออายุได้ 10 ปี สองปีต่อมาเขาได้เข้าฝึกงานกับพี่ชายในฐานะช่างพิมพ์ จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 15 ปี เขาได้พยายามส่งงานเขียนของเขาไปที่สำนักพิมพ์หลายแห่ง แต่ได้ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งเขาได้เขียนงานและใช้นามแฝงในชื่อ นางไซเลนซ์ ดูกู๊ด (Mrs. Silence Dogood) ซึ่งงานเขียนของเขาได้เป็นที่รู้จักและถูกกล่าวขานทั่วเมือง แต่ในที่สุดก็โดนจับได้จากพี่ชาย ส่งผลให้เบ็นได้ออกจากบ้านที่บอสตัน และเดินทางมายังฟิลาเดลเฟีย

2554/01/10

แม่น้ำเปลี่ยนสี แม่น้ำโกลด์สตรีม กลายเป็น แม่น้ำสีเขียว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้คนที่ท่องเที่ยวอยู่ในอุทยานโกลด์สตรีม โพรวินเชียล เมืองวิคตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ต่างต้องพากันตกใจสุดขีดที่จู่ ๆ แม่น้ำโกลด์สตรีมเปลี่ยนเป็นสีเขียวสะท้อนแสงอย่างเหลือเชื่อ

โดยแม่น้ำโกลด์สตรีมที่ไหลผ่านระยะทาง 500 เมตร ได้กลายเป็นสีเขียว ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ไหลลงสู่บริเวณปากแม่น้ำ จากนั้นในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง น้ำก็กลับมาเป็นสีดังเดิม ซึ่งภาพที่เห็นนี้ได้สร้างความงงงวย และแตกตื่นกับผู้ที่พบเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำโกลด์สตรีมแห่งนี้

และหลังจากเกิดเรื่องแปลกนี้ขึ้น เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมรีบเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุโดยทันที โดยเก็บตัวอย่างน้ำมาวิเคราะห์ ซึ่งทางกระทรวงสิ่งแวดล้อมของแคนาดา คาดว่าที่แม่น้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียวสะท้อนแสงนี้ เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่ใส่สารอะไรลงไปในแม่น้ำ ทำให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพราะไม่พบสัตว์ใด ๆ ที่อาศัยอยู่ในน้ำตาย

ขณะที่หลายคนสันนิษฐานว่า น้ำเปลี่ยนสี เพราะเกิดการสะสมของสารสีเขียวที่ใช้สำหรับตรวจหาร่องรอยสิ่งปนเปื้อนในระบบ ระบายน้ำ ซึ่งจากเหตุการณ์น้ำเปลี่ยนสีนี้ ก็ทำให้บรรดานักสิ่งแวดล้อมออกมาแสดงความเป็นห่วงว่า พวกสารเคมีต่าง ๆ ที่อยู่ในแม่น้ำ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว

2554/01/06

มุมการมองของ 4 นักคิดชื่อดัง

ตะไคร้หอมได้รวบรวมคัดลอกบทสัมภาษณ์บางส่วนเกี่ยวกับมุมมองในการคิดของบุคคลต่าง ๆ เอามาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้ลองอ่านกันนะคะ ต้องขอบคุณเรื่องราวดีดีแบบนี้จากนิตยสารเดอะซีเคร็ทด้วยนะคะ

สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง
ประวัติโดยย่อของสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง

ได้รับการยกย่องจากนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันว่าเขาคือนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกซี่งยังมีชีวิตอยู่ เทียบได้กับ แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จากผลงานการอธิบายสภาวะของ “หลุมดำ” และ “การกำเนิดของจักรวาล” ซึ่งถือเป็นการเปิดศักราชให้แก่วิชา “จักรวาลวิทยา” ซึ่งเป็นฟิสิกส์กระแสหลักของโลกปัจจุบัน
สตีเฟ่นเรียนจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่หลังจากเริ่มเรียนได้ไม่นานนัก เขาก็ได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต หมอวินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นโรคกลไกประสาทเสื่อม( Motor Neurone Disease) ซึ่งประสาทส่วนกลางจะค่อยๆ สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายทุกส่วนจะเป็นอัมพาต เว้นแต่เพียงสมองเท่านั้น และหมอยังคงบอกว่าโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา เขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 2-3 ปีเท่านั้น คำวินิจฉัยดังกล่าวทำให้สตีเฟ่นซ็อกไปช่วงหนึ่ง แต่เขาก็ตั้งตัวได้ในเวลาต่อมา สตีเฟ่นกล่าวว่า “โรคร้ายทำให้ผมเข้าใจความหมายของชีวิตเป็นครั้งแรกเมื่อก่อนผมรู้สึกว่าชีวิตของผมช่างน่าเบื่อหน่ายจนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร จนเมื่อความตายมารออยู่ตรงหน้า ผมจึงมองเห็นความฝันของตัวเองชัดขึ้น ผมรู้แล้วว่าผมสามารถสร้างผลงานอันมีคุณค่าได้มากมายมหาศาล ถ้าเพียงผมไม่ตายเท่านั้น” คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ช่วยเรียกขวัญและกำลังใจของสตีเฟ่นให้กลับคืนมาได้ก็คือ เจนไวลด์ แฟนสาวที่ตกลงหมั้นหมายกับเขาเกือบจะทันทีที่ได้รู้ข่าวนี้

ตัวช่วยที่ทำให้สตีเฟ่นทำงานได้ราวกับคนปกติก็คือคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมสำหรับเลือกคำและเรียบเรียงประโยค กับโปรแกรมสำหรับแปลงตัวหนังสือให้เป็นเสียง ซึ่งเขาสามารถสั่งการได้ด้วยนิ้วเพียงสองนิ้วเท่านั้น

การใช้ชีวิตของสตีเฟ่นหลังจากเกิดปัญหาโรคร้าย

แม้ว่าผมต้องรับมือกับโรคกลไกประสาทเสื่อมมาตลอดช่วงวัยผู้ใหญ่ของผม แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการมีชีวิตครอบครัวที่น่ารักหรือการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่อย่างใด นี่เป็นเพราะผมได้รับความช่วยเหลือจากเจน ลูกๆ ทั้งสาม และผู้คนจำนวนมากตลอดจนหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่อาการของโรคทรุดลงช้ากว่าปกติมาก ซึ่งก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คนเราไม่ควรสิ้นหวัง”



ทันตแพทย์สม สุจีรา

ถ้าให้นิยามตัวเอง คุณหมอคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนคะ
ผมเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจสูง ผมว่าสำคัญนะ เพราะชีวิตคนเราจะประสบความสำเร็จได้มันขึ้นอยู่กับสามแรง คือ แรงจูงใจ แรงขับ และแรงบันดาลใจ แต่แรงขับมันจะเป็นทุกข์ คนที่จะพยายามจะไปข้างหน้าด้วยแรงขับจะเกิดทุกขเวทนาสูง ส่วนแรงจูงใจจะทำให้เกิดความโลภ อย่างนักกีฬาที่ซ้อมเพื่อเงินรางวัลจะต่างกับนักกีฬาที่ซ้อมด้วยแรงบันดาลใจ เขาจะมีแรงจากภายในขึ้นมาช่วยอย่างมหาศาล เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจจึงสำคัญมากๆ

เวลามีความทุกข์คุณหมอคิดอย่างไรคะ
ไม่ว่ามีคนชมหรือมีคนว่า ผมจะรู้สึกเฉยๆ คือ ถ้าเวลาสุข เรามีสติเฝ้าดู จะเห็นว่าความสุขมันก็แค่นี้ เวลามีทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าเราฝึกดึงสุขออกจากใจเราได้ ความทุกข์ก็ดึงได้เหมือนกัน ฝึกไปเถอะ ตอนสุขดึงง่ายกว่าตอนทุกข์ ดีใจมากๆ ปุ๊บ ตั้งสติ เราจะดีใจไปทำไม นั่งดูไปเลยว่า ความดีใจเป็นอย่างนี้นะ พอฝึกได้ถึงจุดหนึ่ง วันที่เราเสียใจ เราก็นั่งดูได้เหมือนกัน ผมก็เลยรู้สึกเฉยๆ



โอปอล์ ปาณิสรา พิมพ์ปรุ
คำนิยามตัวเอง
ปอล์รักใครแล้วรักมาก ให้ได้ทุกอย่าง และเชื่อเสมอว่า ถ้าเราอยากให้ใครดีกับเรา เราก็ต้องดีกับเขา ใครอาจจะมองว่าปอล์เป็นคนที่ดูเปรี้ยว ดูแรง แต่คนที่ใกล้ชิดจะรู้ว่าปอล์ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน เพิ่งมาเที่ยวบ้างก็ช่วงหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากให้พอแม่เป็นห่วง และอยากทำให้เป้าหมายในชีวิตให้สำเร็จด้วยการเป็นลูกที่ “เอาดี”ให้พ่อแม่ให้ได้

มุมมองเวลาเจอความทุกข์
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่อจะสอนตลอดว่า สิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ ให้มองเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ใครก็พานพบ วันนี้ยิ้มได้ อีกวันก็ร้องไห้ได้ เป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวทุกย่างก็จะผ่านไป ที่สำคัญ เมื่อมีความทุกข์ เราจะรู้ว่ายามสุขนั้นดีแค่นไหน ท่านจะสอนให้เรารู้จักปล่อยวางแล้วคิดเสียว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่ายึดติด

จำได้ว่าช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ปัญหาหนี้สินรุมเร้าอย่างหนักถึงขนาดโดนยึดบ้าน เป็นคนอื่นอาจจะเครียดหนัก แต่พ่อปอล์ทำใจได้ ท่านบอกว่า “ถ้าเขาจะยึดก็ให้ยึดไปลูก อย่าไปทุกข์เลย” ยิ่งไปกว่านั้นพ่อกับแม่ยังเป็นคนใจบุญทั้งคู่ ช่วงไหนที่เราพอมีกินมีใช้ พ่อก็จะให้ลูกๆ นำเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว ยาสีฟัน ขนม ฯลฯ แพ็คใส่ถุงไว้หลายๆ ถุงแล้วนำไปไว้ในรถ เพื่อไว้แจกคนขายพวงมาลัยที่เรร่อน บางครั้งท่านก็ทำแซนด์วิชแฮม ไข่ดาว ไว้เป็นสิบๆ ชิ้นเพื่อไว้แจกคนที่มาเช็ดกระจก หรือวันไหนไปกินอาหารฟาสต์ฟู้ด ถ้ามีเด็กมาเกาะกระจกมอง พ่อก็จะเรียกให้มากินเลย สิ่งนี้ทำให้ปอล์เรียนรู้เรื่องการเป็นผู้ให้มาตั้งแต่เด็ก โดยไม่ต้องมีใครมาสอน ทุกวันนี้ถ้าปอล์ทำงานได้เงินมาก้อนหนึ่งจะเก็บส่วนหนึ่งไว้ทำบุญทุกครั้ง ถ้าไม่ทำบุญกับพุทธศาสนาก็จะบริจาคให้เด็กๆ ที่ติดเชื้อเอชไอวี หรือบริจาคช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย


แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์

เวลามีความทุกข์ คุณหมอมีวิธีการจัดการอย่างไรคะ

หมอจะถามตัวเองว่าความทุกข์นั้นคืออะไร เราจะยังอยากทุกข์อีกไหม ถ้าไม่อยากทุกข์อีกแล้วจะทำอย่างไร ก็คือต้อง นิพพาน หมอไม่อยากเกิดอีก เพราะเมื่อเกิดแล้วย่อมมีความทุกข์ พอหมออายุมากขึ้น เมื่อไรที่อารมณ์ไม่ค่อยดี มีความทุกข์อะไรก็ตามแต่ หมอจะเตือนตัวเองว่า ไม่เอา ทิ้งไป ไม่ใช่ทิ้งไว้ให้ตกตะกอนนะ แต่ต้องทิ้งไปเลย ยกตัวอย่างสิ่งที่หมอได้เจอมาในระยะหลัง หนึ่งคือ ความอิจฉาริษยา ซึ่งแรงมาก มาจากทุกด้านทุกกลุ่ม หมอจะรู้สึกว่าน่าเบื่อ สอง คือ ถูกกล่าวร้าย ทั้งๆ ที่หมอไม่ได้ทำ ตอนแรกที่หมอเข้าไปอ่านกระทู้ที่อินเตอร์นเน็ต แล้วร้องไห้เลย โอ้โฮ โดนด่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง เขาว่าหมอคนอื่นก็เก่ง หมอนิติเวชไม่ได้มีคนเดียว ทำไมหมอพรทิพย์เรื่องมาก ถ้าหมอจะคิดให้ทุกข์ก็ทุกข์ คิดไม่ทุกข์มันก็ไม่ทุกข์ หมอเริ่มเรียนรู้และเข้าใจว่า เราต้องดูแลอัตตาของเราให้ดี ถ้าโตมาก พองมาก เราจะเจ็บ เพราะฉะนั้นเวลาไปอ่านที่เขาโพสต์แล้วเอาอัตตาของเราไปรับ เราจะเจ็บ แต่พอเราเริ่มฝึก คิดว่าช่างมันเถอะ หัดลดขนาดของอัตตาเราลง ก็จะรู้สึกว่ามันหายโกรธไปได้

ความสำเร็จในงานของคุณหมอขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้างคะ

ความสำเร็จอยู่ที่ หนึ่ง ความบริสุทธิ์ของจิตที่มีความตั้งใจในการทำงาน สอง ขึ้นอยู่กับเราให้ใจ มีความตั้งใจ และจริงใจกับงานแค่ไหน ซึ่งหมอคิดว่าเป็นแก่นของการทำงาน ความบริสุทธิ์ของจิตต้องถูกต้องในทางธรรมแล้วเราจะมีพลังแก่กล้า เรื่องนี้พิสูจน์ได้จากภารกิจที่สามจังหวัดชายแดนใต้ หมอลงไปทำงานมาเกือบเจ็ดปี แล้ววันหนึ่งเริ่มสัมฤทธิ์ผลทีละนิดก็เริ่มรู้สึกมหัศจรรย์ เพราะว่าหมอได้รับโอกาสไปช่วยทำงานไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ อีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นการทำงานของตำรวจ ทำไมสิบเปอร์เซ็นต์ของหมอถึงสัมฤทธิ์ผล ไม่ใช่เพราะหมอเก่งแต่เป็นเพราะพลังของความบริสุทธิ์กับพลังแห่งความตั้งใจอยากให้ดินแดนภาคใต้สงบสุข

สูตรลับ เฮาส์แบรนด์ ดาวรุ่งยุคเศรษฐกิจตก

เศรษฐกิจโลกดิ่ง แต่ House Brand รุ่งทั่วโลก รวมถึงในไทย ที่ทุกรายพูดเหมือนกันว่า นี่คือโอกาสทองของ House Brand ที่ไม่ควรปล่อยให้หลุดลอย แต่จะขายได้ ขายของเก่ากินด้วยภาพลักษณ์แบบเดิมๆ มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพและดีไซน์เป็นหนทางสู่จุดขายใหม่กับ Premium House Brand ที่ดูดี แต่ยังคงจุดแข็งเรื่องราคา ตอกย้ำความ Exclusive ให้กับไฮเปอร์มาร์เก็ตของตัวเองได้เป็นอย่างดี

และนั่นหมายถึงความยั่งยืนของธุรกิจค้าปลีกอย่างแท้จริง เพราะเมื่อสินค้ามีคุณภาพตอบสนองทั้งฟังก์ชันและแฟชั่น ขณะที่ House Brand ที่ฉาบฉวยมุ่งเน้นแต่การแข่งขันด้านราคาย่อมนำพาธุรกิจไปสู่ความตกต่ำในที่สุด

กลยุทธ์หนึ่งที่เห็นได้เด่นชัด คือ Mimic หรือลอกเลียนแบรนด์เนมทั้งในแง่ของแพ็กเกจจิ้ง รูปทรง ฉลาก มิหนำซ้ำยังจัดวางเคียงอยู่บนเชลฟ์ ซึ่งทำให้ House Brand ในยุคก่อน หรือกระทั่งยังหลงเหลือให้เห็นไม่น้อยถูกมองว่า “ไร้ความคิดสร้างสรรค์” และเป็น “จอมก๊อบปี้” โดยเฉพาะกับสินค้าประเภท Consumer Product

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Sam's Choice ที่ตั้งชื่อเครื่องดื่ม 2 แบรนด์ ใกล้เคียงกับแบรนด์ดังว่า Dr. Thunder คล้ายกับ Dr. Pepper และ Moutain Lighting คล้ายกับ Moutain Dew เป็นต้น




บิ๊กซี...ดีไซน์ห้าง ราคาเอื้อมถึง

พื้นที่กว่า 1 ใน 4 ของบิ๊กซี ราชดำริ ถูกจัดสรรให้เป็นที่จัดจำหน่ายสินค้าแผนก Soft Line หรือเสื้อผ้าแฟชั่นโดยเฉพาะ สะท้อนถึงความสำคัญและความมุ่งมั่นในการลุยตลาด House Brand มานาน โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า Only@Big C ซึ่งจะเป็นสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดสินค้าคุณภาพ มีดีไซน์ ราคาประหยัด เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าบิ๊กซีโดยเฉพาะ บิ๊กซีได้พัฒนารูปแบบและดีไซน์สินค้าให้มีความหลากหลาย

สินค้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ สินค้าแผนกเสื้อผ้า (Soft Line) ซึ่งแยกย่อยเป็นกลุ่มเด็กอ่อน- Moda Bimbi กลุ่มเด็กผู้ชาย-Dondolio กลุ่มเด็กผู้หญิง-EMILY กลุ่มวัยรุ่นชายสไตล์ลำลอง-FF:WD กลุ่มวัยรุ่นหญิงสไตล์สดใน-C-ZONE กลุ่มสินค้าเดนิม แฟชั่นยีนส์-The Cove กลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน-D-Line และสินค้า Exclusive License-Disney kids, Pooh และ Mickey Minnie

ศุภลักษ์ มังกรเสถียร Product Development Senior Manager-Soft Line และ พรวลัย เลิศธารอนันต์ Senior Category Manager Soft Line 1 บริษัท บิ๊ก ซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า สินค้าแฟชั่นภายใต้ Umbrella Brand “Only@ Big C” นั้น ถือว่าครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ด้วยแนวคิด “Smart choice for smart family” มีเสื้อตัวละไม่ถึง 100 บาท จำหน่าย ซึ่ง Price Range เริ่มต้นที่ประมาณ 59 บาท จนถึง 200 กว่าบาท

ใน 1 ปีจะมี 2 คอลเลกชั่นหลัก คือ ซัมเมอร์กับวินเทอร์ และมีคอลเลกชั่นย่อยในแต่ละเดือนมาเติมเต็มสัปดาห์ละครั้ง ขณะที่ Basic Item จะถูกคงไว้ เนื่องจากมีผู้บริโภคส่วนหนึ่งนิยมและเป็นสินค้าขายดี

“ที่เมืองนอกแบบ Basic ราคาถูกเป็นพอ ไม่มีการโปรโมตอะไรมาก ก็ขายได้ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของคนที่นั่นไปแล้ว”

ยิ่งในยุคเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ เธอบอกว่าพบพฤติกรรมลูกค้าเริ่ม Trade down มายังสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 100 บาท มากขึ้น

“Item ที่ราคาต่ำกว่าร้อยนี่ขายดีมาก แสดงให้เห็นว่าความต้องการในเรื่องของสินค้าแฟชั่นยังคงมีอยู่ แต่เขามองหาอะไรที่สอดรับกับเม็ดเงินในกระเป๋ามากขึ้น”

ศุภลักษณ์และพรวลัย บอกว่า Positioning ของสินค้าแฟชั่น Only @ Big C จะอยู่ตรงกลางระหว่างแฟชั่นแบกะดินซึ่งราคาถูก ไม่มีไซส์ กับแฟชั่นในห้างสรรพสินค้า ที่มีไซส์ ดิสเพลย์สวย แต่ราคาสูง ขณะที่ของบิ๊กซีนั้นได้ดึงเอาจุดเด่นในแต่ละเซ็กเมนต์มาใส่ไว้ หรืออาจอธิบายได้ง่ายๆ ว่า “ดีไซน์ห้าง ราคาเอื้อมถึง”

“ทุกครั้งที่เขามาต้องเกิดความประหลาดใจ ดีไซน์ไม่ล้ำสมัยเหมือนแบรนด์ในห้างสรรพสินค้า แต่ก็ไม่ได้เอาต์จนใส่แล้วอายคนอื่น เมื่อเขามาเห็นแบบเสื้อผ้าของเรา เห็นดีไซน์ที่ Upscale ก็จะส่งผลทำให้เกิดพฤติกรรมแบบ Impluse ได้”

ทั้งนี้ในส่วนของการดีไซน์จะมีศุภลักษณ์เป็นคนคุมธีมรวม ก่อนที่จะแจกจ่ายไปให้กับฝ่าย Buyer ของแต่ละแบรนด์ เพื่อสั่งผลิตต่อไป ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น วินเทอร์นี้จะใช้ธีม Playful เป็นต้น

ในเมื่อต้องเอาดีไซน์เข้าสู้ สินค้า Only @ Big C สมัยนี้จึงต้องไล่กวดเทรนด์อย่างไม่ลดละ

“กลางวันไปเดินดูแฟชั่นที่โบ๊เบ๊ กลางคืนไปดูสีลม เป็นส่วนหนึ่งที่คนทำ House Brand ต้องทำเพื่อให้รู้ว่าเทรนด์ของแต่ละตลาดเป็นอย่างไร ไปดูว่าเขาฮิตอะไร ขายราคาเท่าไหร่ สมัยนี้คนแต่งตัวกันเยอะ มีอัตลักษณ์ มีความเป็นกลุ่มก้อน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเกาะติดเทรนด์แฟชั่นจากเมืองนอก ดูทั้งสีและรูปแบบ ทั้งจากยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลี รวมถึงย่านสยามสแควร์ ดูผู้คนบนท้องถนน วิเคราะห์แฟชั่น Street Wear ว่าเป็นอย่างไร ผ้าพันคอฮิตๆ ก็มีขายที่บิ๊กซี กระแสขาเดฟมาเมื่อปีเศษก็ไม่ยอมหลุดเทรนด์ รีบผลิตออกมาจำหน่ายทันที รวมถึงเทรนด์เกาหลีที่นิยมใส่เสื้อผ้ามี Layer ก็ต้องมีที่นี่ด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าดีไซน์จะโดดเด่นหรือก้าวล้ำเพียงใด สุดท้ายแล้วคู่หูจากบิ๊กซีบอกว่า “ยังไงความเด่นก็คือราคา ลูกค้าจดจำราคา ดังนั้นสินค้า House Brand จึงมีการปรับราคาขึ้นน้อยมาก”

ทั้งสองให้รายละเอียดในส่วนกลยุทธ์การตลาดว่า ต้องนำเสนอความคุ้มค่าคุ้มราคา ความหลากหลายของสินค้า และไม่ตกเทรนด์ มีการทำ Catalog ส่งลูกค้าประจำ กับลูกค้าที่มีความถี่ในการช้อปปิ้งสูง และใช้การทำ Fashion Advertorial ผ่านทางนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่นอย่าง สุดสัปดาห์ รวมถึงนิตยสารบันเทิงอย่าง ทีวีพูล เพื่อแนะนำสินค้าแต่ละแบรนด์ และแสดงให้เห็นถึงการ Mix & Match ของเสื้อผ้า

People
ศุภรักษ์ มังกรเสถียร ประสบการณ์ 10 กว่าปี ร่วมงานกับบิ๊กซีตั้งแต่ปี 2539 ซึ่งมีเพียง 8 สาขา ปัจจุบันมี 66 สาขา และรับผิดชอบดูแลแผนก Soft Line มาตั้งแต่ต้น และด้วยไลฟ์สไตล์ที่ชอบช้อปปิ้งทำให้เขาสนุกกับงานนี้มาก ด้วยการคลุกคลีอยู่ในวงการแฟชั่น House Brand มานาน ดังนั้นแบรนด์ที่เขาชื่นชอบคือ H&M แบรนด์ดังสัญชาติสวีเดน เนื่องจากสามารถสร้างอาณาจักรแฟชั่นได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

พรวลัย เลิศธารอนันต์ เป็นลูกหม้ออีกคนของบิ๊กซีที่มีไลฟ์สไตล์ไม่ต่างจากศุภรักษ์มากนัก การตะลุยสำรวจเทรนด์แฟชั่นทั้งตลาดบน ตลาดล่าง รวมถึงคู่แข่งทางตรงอย่างไฮเปอร์มาร์เก็ตด้วยกันเอง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจนแทบจะเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว





เทสโก้ดีไซน์เทียบชั้นห้างฯ

ผ้าม่านสีฟ้าลายกราฟิก ผ้าปูที่นอนสีขาวแซมดอกไม้เมืองหนาว หมอนอิงดูผาดๆ นึกว่าหลุดมาจากคอลเลกชั่นใหม่ของ Habitat เครื่องครัวสีเขียวสด กระทะเทฟรอนเนื้อดีประหนึ่ง Tefal เครื่องเขียนที่มี MUJI เป็น Benchmark

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของสินค้ากลุ่ม Hard Line ที่นำเสนอโดยเทสโก้ โลตัส ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้าง Premium House Brand ให้เทียบเคียงกับสินค้าขึ้นห้างสรรพสินค้าในแง่ของคุณภาพและดีไซน์ ขณะที่มีข้อได้เปรียบเรื่องราคาจาก Economy of scale ทำนองว่า “ของสวยแล้วแพงทำไม่เป็น”

นอกจากนี้แล้วยังพบปัจจัยเสริมสำคัญ คือ ผู้บริโภคระดับกลางถึงบนในยุคปัจจุบัน แม้จะยังเลือกซื้อสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมอยู่ แต่ก็มีไม่น้อยที่มีการเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อสินค้าจำพวก Living Product ที่เป็น House Brand แทน เพราะ “อยู่ที่บ้าน ไม่มีใครเห็น”

ปีที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปี 2552 นี้ เทสโก้รุกหนัก Premium House Brand ในแผนก Hard Line อย่างเด่นชัด และให้ความสำคัญกับ “ดีไซน์” เป็นอย่างมาก ต้นปีเปิดตัวในส่วนของ Living Product ที่โรงแรมเลอบัว สเตททาวเวอร์ ขณะที่ปลายปีเปิดตัว Kitchen Wear ในร้านอาหารหรูแถบสุขุมวิท เพื่อสะท้อนถึง Positioning ของ Premium House Brand ภายใต้แบรนด์ “เทสโก้” ที่ต้องการแตกต่างจากคู่แข่ง และสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดูดีมีคุณภาพไม่แพ้สินค้าของห้างสรรพสินค้า

ชมพูนุช ชินะโยธิน Design Manager- Hardline Home และ ปริญญา พ่วงเสือ Buying Manager-Hardline Home บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด จากเทสโก้ โลตัส เล่าเรื่องสนุกๆ กับ POSITIONING เกี่ยวกับ Premium House Brand “เทสโก้” ที่นอกเหนือจากราคาแล้วยังกระหน่ำสู้ด้วยดีไซน์

“ขายสินค้าฟังก์ชันเหมือนกัน ก็ต้องแข่งขันกันทำราคา แต่รายละเอียดของชิ้นงานจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าแต่ละที่ให้ความสำคัญเพียงใด ที่เทสโก้เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ ต้องรู้เลยว่าแบรนด์ดังๆ เขาใช้แหล่งวัตถุดิบที่ไหน เช่น ผ้า เราไปเลือกผ้าที่ปากีสถานกันเลย”

การเกาะติดเทรนด์สีจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้

“การออกคอลเลกชั่นแต่ละครั้งต้องคิดโจทย์เรื่องสีที่สอดคล้องกับ Global Trend การแบ่งกลุ่มสินค้าในไลน์ของ Living Product ออกเป็น 3 กลุ่มหลักตามกลุ่มเป้าหมาย คือ Floral จับกลุ่มผู้หญิงด้วยลวดลายของไม้ดอกนานาพรรณ เป็นกลุ่มแม่บ้านรุ่นใหม่ที่กินสัดส่วนถึง 40% Contemporary เจาะกลุ่มนักศึกษา วัยรุ่น วัยทำงานที่ต้องการความเรียบโก้ และ Luxury เจาะกลุ่มที่มองหาความหรูหราราคาสมเหตุสมผล

แม้จะเป็นสินค้า House Brand แต่ทั้ง 2 คนไม่ได้นั่งออกแบบอยู่ที่โต๊ะทำงานเท่านั้น หากแต่ยังต้องเดินทางไปแสวงหาแรงบันดาลใจจากทั่วโลกด้วย แทบไม่แตกต่างจากการการทำงานของแบรนด์เนมเลย

“เดินทางไปหลายเมืองทั้งเมลเบิร์น ลอนดอน โซล และจีน ไปดูชีวิตของคนที่นั่น เขาแต่งตัวกันยังไง ดิสเพลย์ตามห้างร้านต่างๆ เป็นแบบไหน ตึกรามบ้านช่อง เทรนด์สี ดูดอกไม้ตามถนนหนทาง ตามสวนสาธารณะดูสิว่ามันหน้าตาเป็นยังไง หรือแม้ลายกระดาษทิสชู กล่องของขวัญ ก็เก็บเกี่ยวมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกคอลเลกชั่นใหม่ๆ ได้ไม่น้อย”

ทั้งสองบอกว่าหลีกเลี่ยงในการที่จะใช้ Key Icon ในการออกแบบ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าจะซ้ำกับดีไซน์ของคู่แข่ง ดังนั้น ดอกไม้แปลกๆ หรือดอกหญ้าข้างถนนที่ลอนดอนในฤดูหนาวจะปรากฏในสินค้าของกลุ่ม Floral แทนดอกกุหลาบสีแดงที่คุ้นตา

การทำงานของ Premium House Brand ไม่ง่าย 7 เดือนคือระยะเวลาขั้นต่ำที่เขาและเธอต้องพัฒนาสินค้าล่วงหน้าก่อนออกวางจำหน่ายให้ทันแต่ละคอลเลกชั่น

นอกเหนือจากสีแล้ว “วัสดุ” ที่ใช้เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เพื่อความทนทานในการใช้งาน เพราะแม้ดีไซน์จะสวยงามเพียงใด หากด้อยคุณภาพแล้ว ผู้บริโภคย่อมโบกมือลา House Brand ไปแบบไม่หวนคืน

ขณะเดียวกันต้องประกบแบรนด์เนมในห้างสรรพสินค้าแบบเกาะติด สะท้อนผ่านทางการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพด้วย เช่น หมอนกันไรฝุ่น อีกทั้งยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าผ่านแพ็กเกจจิ้งด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ House Brand ส่วนใหญ่ไม่นิยมทำกันนัก

เทสโก้ หวังไกลถึงขั้นให้ลูกค้ามองเป็น Destination อันดับ 1 ในใจเลยทีเดียว โดยปัจจุบันสินค้าในกลุ่ม Furnishing Item มี 3,000 กว่ารายการ ผ้าปูที่นอนมีดีไซน์กว่า 50 แบบ และหมอนอีกกว่า 100 แบบ ซึ่งเซตผ้าปูที่นอนเริ่มต้นที่ราคา 499-1,190 บาท ถูกกว่าคู่แข่งอย่างต่ำ 30%

ด้านการจัดวางสินค้าจะใช้ Color Block เพื่อคุมสีแต่ละคอลเลกชั่นไม่ให้เกิน 3 สีหลัก แต่ก็มีการไล่เฉดสีกันไป ซึ่งเป็นการคุมกรอบของสีไม่ให้ไร้ทิศทางหรือดูเป็นสินค้าตลาดล่าง

เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มองหา Premium House Brand นั้น คำนึงถึงความคุ้มค่าบวกกับดีไซน์และคุณภาพ ดังนั้นสินค้าที่ขายดีสำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับสินค้าขายดีของห้างสรรพสินค้า เช่น ผ้าปูที่นอนสีพื้นจะมาแรง ขายดี เพราะให้ภาพลักษณ์ที่หรูหราเหมือนในโรงแรม 5 ดาว ดูดีมีสกุล เป็นต้น

“นอกจากนี้แล้วสีพื้นจะถูกแทรกซึมไปในทุกคอนเซ็ปต์ เพื่อเพิ่มความพรีเมียมให้กับสินค้า”

นับวันความต้องการของลูกค้ายิ่งยากที่จะตอบสนอง แต่เมื่อต้องการเม็ดเงินจากพวกเขาแล้วต้องสู้ไม่ถอยเพียงประการเดียว

Did you know?

เทสโก้มี House Brand มากกว่า 10 แบรนด์ที่อังกฤษ ทำกระบวนการทุกขั้นตอนประหนึ่งแบรนด์เด่นแบรนด์ดังทำกัน ที่อังกฤษออกแบรนด์ Greener Living รับกระแส “กรีน” เช่น หลอดไฟประหยัดพลังงาน ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.tesco.com/greenerliving

People

ชมพูนุช ชินะโยธิน สาวที่รัก D.I.Y เป็นชีวิตจิตใจ ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งเป็น Design Manager- Hardline Home เป็นทั้งดีไซเนอร์ จัดซื้อ และแบรนด์แมเนเจอร์ แม้จะจบการศึกษาด้านประชาสัมพันธ์มา ศึกษาต่อด้าน Applied Art ที่นิวซีแลนด์ ด้วยใจรักและใฝ่รู้ทำให้เธอสนุกที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับสินค้าที่คนทั่วไปเคยมองว่า “อะไร ยังไงก็ได้”

เธอบอกว่า การสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่อยากหาสินค้าดีๆ สวยๆ ในราคาที่เอื้อมถึงได้ เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก ขณะที่แบรนด์ที่ชื่นชอบคือ Habitat

ปริญญา พ่วงเสือ คร่ำหวอดอยู่ในวงการค้าปลีกมานับ 10 ปี จบการศึกษาปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยรังสิต ทำหน้าที่เป็นฝ่ายจัดซื้อและพัฒนาผลิตภัณฑ์ Hardline Home ของเทสโก้ โลตัส ด้วยความชื่นชอบส่วนตัวในการตกแต่งบ้าน ทำให้เขาจัดคอนโดมิเนียมของเขาใหม่ทุกเดือนด้วยความสนุก

ร้านกาแฟริมถนนพระอาทิตย์คือสถานที่หย่อนใจสุดโปรด รวมถึงร้านกาแฟสตาร์บัคส์ สาขาหลังสวน ขณะที่การเดินดูตลาดผ้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยมีแบรนด์ในดวงใจคือ Fendi




คาร์ฟูร์แบรนด์...ต้องเข้ม

เมื่อเดือนเมษายน ปี 2549 คาร์ฟูร์ได้รีแบรนด์สินค้าของตัวเองครั้งใหญ่นับจากมีการทำการตลาดมา สั่งรื้อสินค้า House Brand ของตัวเองออกจากชั้นวางทุกรายการ เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง โดยใช้เวลาราว 6 เดือนในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สินค้าได้มาตรฐานตามที่ต้องการ และนั่นเป็นผลทำให้ยอดขาย House Brand ภายใต้ชื่อ “คาร์ฟูร์ แบรนด์” มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10%

เหตุผลที่คาร์ฟูร์ลงทุนมากขนาดนี้ เพราะการแข่งขันของสินค้าเฮาส์แบรนด์แต่ละห้างเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ตลาดเริ่มขยายตัวขึ้น และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนไป มองหาสินค้าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และที่สำคัญต้องมี “คุณภาพ”

คุณภาพและราคาถูก จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าท้ายสำหรับคาร์ฟูร์ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ไม่แตกต่างจากคู่แข่งแต่อย่างใด

“สินค้า House Brand ของค้าปลีกแต่ละแห่ง รวมถึง Leading Brand ล้วนเป็นคู่แข่งสำคัญของสินค้าประเภทนี้ทั้งสิ้น เพราะเวลาผู้บริโภคเลือกซื้อของไม่ได้เทียบราคาสินค้า House Brand ของแต่ละห้าง แต่เปรียบเทียบกับสินค้า Leading Brand ที่อยู่บนชั้นวางตรงหน้าเขานั่นเอง” ประภาพรรณ พลอยแสงงาม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ห้างคาร์ฟูร์ ประเทศไทย บอก

คาร์ฟูร์ใส่ใจในขั้นตอนผลิตสินค้า House Brand อย่างเข้มข้นขึ้นหลังรีแบรนด์ครั้งใหญ่ โดยมีทั้งหมด16 ขั้นตอน จากอดีตไม่ค่อยมีขั้นตอนมากนัก โดยเริ่มวิเคราะห์จากพฤติกรรมของผู้บริโภค มีสินค้ากลุ่มไหนที่มีศักยภาพ ตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้บ้าง จากนั้นต้องนำสินค้ากลุ่มนั้นมา Blench Mark กับสินค้าแบรนด์อื่นในกลุ่มนั้นๆ เพื่อวาง Positioning ของตนเอง ซึ่งผลที่ได้คือ สินค้ามีคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ชั้นนำ พอได้สเป็กแล้วก็ตรวจสอบด้วย International Standard ของคาร์ฟูร์อีกครั้งหนึ่ง โดยต้องตรวจสอบตามมาตรฐานโรงงาน และ Consumer Test

ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้คาร์ฟูร์เป็นยักษ์ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต ด้วยจำนวนสาขาที่น้อยกว่าคู่แข่งอย่างเทสโก้และบิ๊กซี และกลยุทธ์การสร้าง House Brand แม้จะไม่ Aggressive เท่าคู่แข่ง แต่หากพูดถึงเรื่อง “อาหาร” แล้ว คาร์ฟูร์ไม่เป็นรองใคร โดยเฉพาะความพรีเมียมส่งตรงมาจากฝรั่งเศส โดยเฉพาะในสาขาใหญ่ทำเงินอย่างพระราม 4 ซึ่งเป็นจุดขายที่เด่นชัดของคาร์ฟูร์

3-Segment แบรนด์คาร์ฟูร์

ปัจจุบันสินค้าคาร์ฟูร์แบรนด์มีทั้งหมด 4, 000 รายการ 30% เป็นอาหารส่วน 70% เป็นสินค้าอุปโภค มี Position ของสินค้าต้องถูกกว่าราคาของสินค้า Leading Brand ประมาณ 20% เป็นมาตรฐานกันทั่วโลก

สินค้าของคาร์ฟูร์ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม แต่แบ่งแยกตามคุณภาพและราคา คือ 1.คาร์ฟูร์บิ๊กเซฟเวอร์ เน้นที่ราคาถูกคุณภาพพอประมาณหรือยอมรับได้ Acceptable เป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 2.สินค้าตราคาร์ฟูร์ เป็นโหมดหลัก เน้นคุณภาพและราคาเปรียบเทียบกับแบรนด์ชั้นนำ เพิ่ม Value ด้วยการออกแบบแพ็กเกจจิ้งที่โมเดิร์น โดยให้เอเยนซี่ที่ทำให้แบรนด์ชั้นนำหลายๆ แบรนด์ และมีการเติมคอลลาเจนเข้าไป หรือไม่ใส่ผงชูรส อาหารสัตว์ไม่มีส่วนผสมของจีเอ็มโอ 3.คาร์ฟูร์พรีเมียม เพิ่มคุณสมบัติพิเศษเข้าไปเช่นกระดาษทิสชูมีส่วนผสมพิเศษเข้าไป น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ให้ความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น และส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า

People

ประภาพรรณ พลอยแสงงาม หอบปริญญาตรี บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) มาร่วมงานที่คาร์ฟูร์เป็นระยะเวลา 13 ปีติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายดูแลระบบการจัดการหลังร้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำออร์เดอร์ หรือแม้กระทั่งผู้จัดการสาขา จนกระทั่งก้าวสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเมื่อปีที่ผ่านมา

เธอเป็นคนเรียบง่าย Low Profile ชอบอ่านพ็อกเกตบุ๊กเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ และหนังสือเกี่ยวกับการตลาดเป็นประจำ รักการท่องเที่ยวต่างประเทศและดูงานตามสาขาต่างๆ วันทำงานเริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ส่วนวันหยุดเดินเที่ยวห้างต่างๆ เพื่อหาความรู้ ชอบศึกษาแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละเหตุการณ์เช่น กรณีเอไอเอส น้องอุ่นใจ เป็นต้น

ขณะที่เป้าหมายในการทำงาน คือ ต้องการให้คาร์ฟูร์เป็นห้างอันดับ 1 ในใจของลูกค้า และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกค้าในพื้นที่พอใจมากที่สุด ถึงแม้ไม่ได้มีสาขาเยอะเหมือนห้างอื่นก็ตาม

ถอดรหัส 9 เทรนด์ผู้บริโภค ยุคเศรษฐกิจถดถอย

พฤติกรรมหลักๆ ของผู้บริโภคซึ่งรวบรวมและคัดสรรมาจากทั้งมายด์แชร์และโอกิลวี่ที่จะเห็นได้เด่นชัดในปี 2009 เพื่อที่นักการตลาดจะได้ปรับตัวอย่างทันท่วงที คือ

1. คนจะอยู่บ้านมากขึ้น
เป็นผลมาจากการปรับตัวเนื่องจากรายได้ลดลง ทำให้คนมีเวลาดูรายการโทรทัศน์มากขึ้น จะทำให้ทั้งฟรีทีวีตลอดจนเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมเติบโตดี อีกทั้งการใช้อินเทอร์เน็ตจะพุ่งสูงขึ้น นั่นหมายความว่าฟรีทีวีจะยังไม่ตาย และจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง Screen ต่างๆ จะยังคงไปได้สวย โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ขณะที่จอขนาดยักษ์และบิลบอร์ดซึ่งเป็นสื่อนอกบ้านจะเติบโตน้อยลง โดยผลสำรวจของมายด์แชร์รายงานว่า 90% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 1,000 คน จะใช้โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางในการออนไลน์เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ ซึ่งมีการใช้งานผ่าน Mobile Internet Website ถึงวันละ 5 ครั้งเลยทีเดียว เมื่อจำแนกแยกย่อยพฤติกรรมของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือพบว่า
ต้องการใช้โทรศัพท์มือถือออนไลน์เพื่อพูดคุย 82.06%
เพื่อความบันเทิง เช่น เล่นเกม 5.83%
หาข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าว 5.38%
เพื่อการศึกษา เช่น ดิกชันนารี วิกิพีเดีย 3.14%
อีเมล 2.91%
ทำธุรกรรม เช่น จองตั๋ว 0.67%
นอกจากนี้ ยังพบว่า 60% ของผู้เข้าใช้งาน Social Network Site มาจากช่องทางโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น Mobile Internet จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้บริโภคคนไทยอีกต่อไป และทำให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็น Screen ที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้
นอกจากนี้ ธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากการที่คนอยู่บ้านมากขึ้นนั้น ยังรวมถึง DIY ต่างๆ การรับประทานอาหารในบ้านเพิ่มสูงขึ้นแต่ไม่ใช่ในลักษณะของการปรุงอาหารเอง จึงเป็นโอกาสทองของอาหารประเภท Ready-to-eat และบริการ Delivery เพราะอย่างไรก็ตาม “เวลา” ก็ยังมีค่ามากสำหรับผู้บริโภคในยุคนี้

2. Accessories ของ Luxury Brand จะเติบโตดี
เพราะคนเลือกที่จะซื้อของชิ้นเล็กลงซึ่งมีราคาถูกกว่า แทนของชิ้นใหญ่ แต่ยังคงสะท้อนถึงความเป็นแบรนด์หรูและไลฟ์สไตล์อันพิถีพิถันอยู่เช่นเดิม โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่บรรดา Luxury Brand ที่ปรับตัวด้วยการขยาย Product Line มาสู่กลุ่ม Accessories มากขึ้น เช่น LV มีไลน์ของที่ห้อยโทรศัพท์ในราคาไม่ถึงหมื่นบาท เป็นต้น อย่างไรก็ตาม Consumer Perception เกี่ยวกับคำว่า Luxury หรือของหรูหรา ฟุ่มเฟือย สำหรับนิยามของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เช่น สเตฟานีบอกว่าช็อกโกแลตราคาแพงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเธอ แต่คนอื่นอาจมองว่าเป็นสิ่งสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เป็นต้น ขณะที่การใช้เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ที่มีราคาสูงจะลดน้อยลง หรือเกิดการ Trade Down ลงมาสู่ Masstige มากขึ้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยในสถานการณ์เศรษฐกิจปกติ

3. กำเนิด Entreperneur ใหม่
เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใดจะเห็นการเลย์ออฟของบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก เช่น มาธาร์ สจ๊วต และวอร์เรน บัฟเฟ่ต์ ก็เคยถูกเลย์ออฟมาก่อน แต่ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกได้ แต่ในปีนี้พรรณีบอกว่า อาจไม่ได้เห็นคนเปิดท้ายขายของเหมือนตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่จะเห็นคนกระโจนเข้าสู่ธุรกิจ e-Commerce มากขึ้น เพราะลงทุนน้อยและสะดวก ต้องรอดูกันว่าเราจะได้เห็นเถ้าแก่ไอทีในปี 2009 นี้มากน้อยเพียงใด

4. Social Networking แรงไม่ถอย
โดยทางมายด์แชร์คาดว่า Facebook จะมาแรงแซงโค้ง hi5 หลังจากเปิดบริการภาษาไทยและกลุ่มเป้าหมายชัดเจนไม่สะเปะสะปะเหมือน hi5 โดยกลุ่มเป้าหมาย Facebook จะเป็นกลุ่มคนวัยทำงานเริ่มต้นที่มีการศึกษาและมีไลฟ์สไตล์กลุ่มก้อนที่ชัดเจน
ผู้คนอาจจะหายไปจากท้องถนน หายไปจากศูนย์การค้า แต่พวกเขายังคงชุมนุมกันอย่างหนาแน่นใน Social Networking
ที่สำคัญนักการตลาดต้องอาศัยเครื่องใหม่ที่เรียกว่า Social Bookmarking Web Service เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด Store-Organize-Search-Manage ที่มาแรงคือ http://www.delicious.com และ http://www.zickr.com
โดย delicious.com เป็นเว็บที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถ Add เว็บไซต์ที่ชื่นชอบไว้ใน Personal Collection ได้ และสามารถจัด Category เว็บไซต์เหล่านั้นได้ด้วยคีย์เวิร์ด อีกทั้งยังเลือกที่จะเก็บไว้ส่วนตัวหรือแชร์คอลเลกชั่นดังกล่าวได้กับคนทั่วโลกหรือเฉพาะเพื่อนก็ได้ เครื่องมือนี้จะทำให้นักการตลาดสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ เพราะยิ่งมีคน Add เว็บไซต์นั้นไว้ใน Account ของพวกเขามากเท่าไหร่ เว็บไซต์นั้นก็จะยิ่งกลายเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมเร็วเท่านั้น และยังช่วยทำให้เว็บไซต์ได้อันดับสืบค้นที่สูงขึ้นใน Search Engine ด้วย การ Bookmark เว็บไซต์เท่ากับว่า เว็บไซต์นั้นๆ เป็นเว็บไซต์โปรดของเขา และมีความถี่ในการใช้งานบ่อย ทำให้การติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของผู้บริโภคผ่าน delicious.com เป็นไปได้ง่ายมากขึ้นเหมือน One Stop Service

5. Point of View หรือ POV ป๊อปสุดๆ
เพราะผู้บริโภคยุคใหม่มีหลายช่องทางให้ติดต่อสื่อสาร การมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น มุมมอง ทัศนะของตนเองต่อรายการนั้นๆ หรือต่อประเด็นร้อนในสังคม จะเห็นมากในรายการข่าวสำหรับวัยทำงาน และรายการบันเทิง รายการเพลง สำหรับวัยรุ่น เป็นต้น
พวกเขาใช้ “พื้นที่” สังคมทั้งในสื่อหลักและสื่อดิจิตอลอย่างเข้มข้นขึ้น เพื่อแบ่งปันและบอกเล่าความเป็นตัวตนของตัวเองให้คนอื่นในสังคมได้รับรู้ “ลำปางหนาวมาก” คือตัวอย่างที่ชัดเจนและได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังรวมถึงการแสดความคิดเห็นผ่าน Blog, Webboard และ Community Site ต่างๆ จะเพิ่มสูงขึ้น คนจะมองหาสิ่งเดียวกัน ทั้งความชอบ ไลฟ์สไตล์ และทัศนคติ เพื่อแสดงความเป็นตัวตน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่บีบคั้น การระบายความอัดอั้นตันใจผ่านโลกออนไลน์จึงเป็นทางออกที่จะได้รับความนิยมอย่างสูง เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสารใหม่ เพราะ Audiences จะลดน้อยลง ขณะเดียวกัน Influencers จะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจาก Bloggers หรือที่ OM เรียกขานว่า “Internet Microstars” ที่มีความน่าเชื่อถือในฐานะการส่งสารแบบ Consumer-to-Consumer ขณะเดียวกันพวกเขาแสดง POV ในหลายรูปแบบทั้งการDiscuss, Review, Reject ซึ่งจะส่งผลต่อแบรนด์ทั้งในแง่บวกและแง่ลบได้มากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ และมีหลายครั้งที่ Internet Microstars ทำให้เกิด Mega Explosure ได้
ดังนั้นนักการตลาดต้องเกาะติดและเจาะเข้าไปใน Community Site ที่มีกลุ่มเป้าหมายของตนเองอยู่ให้จงได้

6. Point of SALE หรือ POS จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย
เพราะภาวะเศรษฐกิจบีบคั้น Brand Loyalty อาจลดต่ำลง โปรโมชั่น การสื่อสาร ณ จุดขาย จะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้เงินในกระเป๋าผู้บริโภคไปครอบครอง ทำให้ธุรกิจรีเทลไม่ใช่เป็นเพียงช่องทางจำหน่ายเท่านั้น หากแต่เพิ่มอิทธิพลของการเป็นช่องทางสื่อสารกับผู้บริโภคอันสำคัญยิ่งอีกด้วย

7. สื่อต้องวัด ROI ได้ชัดเจน
นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมสื่อดิจิตอลถึงจะทวีความสำคัญขึ้น แม้ปัจจุบันจากตัวเลข Media Spending เกือบ 80,000 ล้านบาท จะมีสัดส่วนของสื่อดิจิตอลเพียง 2% เท่านั้นก็ตาม แต่การประยุกต์ใช้ของสื่อดิจิตอลในรูปแบบอื่นๆ เช่น RFID ซึ่งเป็นการใช้ดิจิตอลกับรีเทล และวัดผลได้ชัดเจนตอบโจทย์ความคุ้มค่าของเม็ดเงินที่ลงทุนไปได้ ขณะเดียวกันการใช้ Mobile Advertising ที่จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคือ SMS 2.0 ซึ่งปัจจุบันมายด์แชร์บอกว่ามีผู้ใช้งานแล้วกว่า 200,000 ราย โดยรูปแบบจะเป็นในลักษณะของ Redeemtion เพื่อเป็นแรงดึงดูดให้ผู้บริโภคเกิดการตอบสนอง และไม่เป็นการสร้างความรำคาญให้กับผู้บริโภค
Calling Bonus บริการจาก AIS เป็นการพัฒนาของ Gigafone คือตัวอย่างที่น่าสนใจของสื่อดิจิตอลที่วัดผลได้ โดยจะส่งเป็น Display Advertising Banner พร้อมกับสายเรียกเข้าและ SMS หากกดรับก็จะได้รับค่าโทร รวมถึงโปรโมชั่นจากสินค้าและบริการต่างๆ ที่น่าสนใจ เป็นบริการที่น่าจะได้รับความนิยมสูง เพราะการใช้บริการไม่ยุ่งยาก การดาวน์โหลด Application ง่ายเหมือนดาวน์โหลดริงโทน และคอนเทนต์ที่ส่งไปก็สามารถ Customized ได้ด้วย

8. ผู้บริโภคโหยหาข้อมูล
ไม่ใช่ยุคสมัยที่ผู้บริโภคหลงเชื่อสื่ออีกต่อไป พวกเขาต้องการข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น โดยนอกเหนือจากสอบถามเพื่อนฝูงแล้ว การใช้ Search Engine เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ละเลย ดังนั้นเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยในการสืบค้นอย่าง Adscense และ Adwords ซึ่งเป็นการใช้ Search Marketing จึงเป็น A must ของยุคนี้ ที่สำคัญไม่มี Production Cost เหมือนกับสื่ออื่นๆ แต่อย่างใด

9. จับผู้หญิงให้อยู่หมัดด้วย Product Placement
ดูเหมือนจะเป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงรับสื่อต่างๆ มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะการรับชมรายการโทรทัศน์ ดังนั้นรายการโทรทัศน์จำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะซีรี่ส์ต่างๆ ที่มีผู้หญิงเป็นตัวเด่นหรือเป็นตัวเดินเรื่อง และมี Product Placement มากมายอยู่ในนั้น แต่เป็นการจงใจทำอย่างมีขั้นตอนตั้งแต่ในบทและเป็นไปอย่างลื่นไหล เช่น Ugly Betty, 30 Rock, Desparate Housewives, Sex and the City, Cashmere Mafia, Girlfriends, Gossip Girl และ Damage
ยิ่งในยุคที่ผู้หญิงมีอำนาจตัดสินใจในเรื่องเงินๆ ทองๆ ภายในครอบครัวมากขึ้น กอปรกับในภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ ยิ่งทำให้การพุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้หญิงจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

ไผ่เขียว...ต้นไม้แห่งความอายุมั่นขวัญยืน

ประเทศจีนเป็นแหล่งกำเนิดต้นไผ่ และเป็นประเทศแรกในโลกที่มีการวิจัย เพาะปลูก และใช้ประโยชน์จากมัน โดยจีนมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับไม้ไผ่มายาวนาน ในปี ค.ศ. 1954 ได้มีการขุดพบซากโบราณในวัฒนธรรมเส้าหยางย้อนไปประมาณ 6,000 ปีที่หมู่บ้านปั้นพอในมณฑลซีอัน ในจำนวนเครื่องเคลือบที่ขุดพบมีอักษร “ไม้ไผ่” อยู่ด้วย เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชาวจีนรู้จักและใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ตั้งแต่ช่วงยุคหินใหม่แล้ว

ไม้ไผ่เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของชาวจีนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และการคมนาคม ล้วนมีไม้ไผ่เป็นส่วนประกอบ เครื่องดนตรีโบราณเกือบทุกประเภทก็ทำมาจากไม้ไผ่ รวมทั้งหนังสือในยุคแรกๆ ก็ทำมาจากไม้ไผ่ผ่าซีกแล้วขึงด้วยเชือก ต่อมาได้มีการนำเยื่อไผ่มาทำเป็นกระดาษ นอกจากนี้นักอักษรศาสตร์และจิตรกรจีนยังนิยมแต่งโคลงกลอนและวาดภาพไม้ไผ่

จีนสมัยโบราณได้กำหนดให้ไม้ไผ่เป็น 1 ใน “4 ยอดสุภาพบุรุษ” อันได้แก่ ดอกเหมย กล้วยไม้ ไม้ไผ่ และดอกเบญจมาศ นอกจากนี้ไผ่ก็ยังติดทำเนียบ “3 สหายแห่งฤดูเหมันต์” อันได้แก่ สน ไม้ไผ่ และดอกเหมย

ไป๋ จีว์อี้ (ค.ศ.772-846) กวีเลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์ถังได้สรุปคุณลักษณะอันดีงามของไม้ไผ่ โดยกล่าวว่า รากหยั่งลึกแสดงถึงความกล้าหาญ ลำต้นสูงตรงหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียง โพรงข้างในนั้นคือความถ่อมตัว ภายนอกสะอาดและดูเรียบง่ายคือความบริสุทธิ ดังนั้นเขาถึงสรุปว่าไม้ไผ่เหมาะสมที่จะติดทำเนียบ “4 สุภาพบุรุษ”

นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณความดีแล้วไม้ไผ่ยังเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตอันยืนยาว เพราะความแข็งแกร่ง ทนทาน และไหวโอน ไผ่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย ความยืดหยุ่นและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพคือเคล็ดลับแห่งการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและยืนยาว ดังนั้นซินแสดูฮวงจุ้ยมักจะแนะนำให้นำไม้ไผ่มาปลูกไว้หน้าบ้านเป็นเชิงให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านอายุมั่นขวัญยืนนั่นเอง

ทั้งนี้ ไม้ไผ่ในโลกนี้มีกว่า 1,000 ชนิด 100 สายพันธุ์ ขณะที่ในจีนเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยไม้ไผ่นานาพันธุ์ โดยมีทั้งหมด 500 ชนิด 37 สายพันธุ์ ธุ์ ในจำนวนนี้มีไม้ไผ่ซึ่งมีลายจุดๆ เรียกว่า “ไผ่นางสนม” (湘妃竹) รวมอยู่ด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่า เมื่อ 4,000 ปีก่อน จักรพรรดิ์ซุ่นตี้ทรงเสด็จประพาสแดนใต้ แต่เนื่องด้วยทรงงานหนักเกินไปจึงสิ้นพระชนม์ลง พระศพถูกฝังอยู่ที่มณฑลหูหนันในปัจจุบัน
พระสนมเอ๋อหวงและหนี่ว์อิง ซึ่งตามเสด็จไปด้วยในครั้งนั้นเศร้าโศกเสียใจอย่างมากที่สูญเสียพระสวามีไป ทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญอยู่ริมแม่น้ำเซียงเจียง ร้องจนน้ำตากลายเป็นสายเลือด และหยดลงบนพื้น พลันปรากฏไม้ไผ่ลายจุดผุดขึ้นมาจากพื้น คนรุ่นหลังจึงเรียกไผ่ชนิดนี้ว่า “ไผ่นางสนม” โดยในบทกลอนของกวีถังบรรยายว่า “คราบน้ำตาบนต้นไผ่ สะท้อนใจระทมด้วยความโหยหา”

ไผ่อีกชนิดหนึ่งที่จะกล่าวถึงคือ “ไผ่เมิ่งจง” ซึ่งตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่เมิ่งจงลูกกตัญญู...เมิ่งจง เป็นบัณฑิตผู้อาศัยอยู่ที่รัฐอู๋ ในสมัยสามก๊ก (ก่อนประวัติศาสตร์ 220-280) เขาเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก อาศัยอยู่กับแม่เพียง 2 คนอย่างขัดสน เมื่อเมิ่งจงโตขึ้น แม่เขากลับป่วยเป็นโรคร้ายที่ไม่มียารักษา หมอท่านหนึ่งแนะนำว่าถ้าทำน้ำแกงหน่อไม้ให้แม่ของเขาทาน บางทีอาจช่วยรักษาอาการได้ แต่เวลานั้นเป็นหน้าหนาวจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาหน่อไม้ได้
เมิ่งจงไปควานหาหน่อไม้ในป่าไผ่แต่ก็หาไม่ได้ จึงร้องไห้คร่ำครวญ ฟ้าดินเห็นใจความกตัญญูของเขาจึงได้บันดาลให้หน่อไม้ไผ่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน หลังจากแม่ของเขาได้กินน้ำแกงหน่อไม้อาการให้ดีขึ้น เรื่องราวความกตัญญูของเขาก็ขจรขจายไปทั่ว

ส่วนไม้ไผ่ที่แพนด้าชอบกินนั้นเรียกว่า “ไผ่ศร” ซึ่งจะออกดอกทุกๆ 60 ปี จากนั้นต้นแม่จะแห้งเหี่ยวและตายในที่สุด ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 10 ปี กว่าไผ่ลูกศรต้นใหม่จะเติบโตจนกลายเป็นอาหารให้แพนด้าสามารถกินได้อีกครั้ง อีกทั้งแพนด้าจะไม่กินไม้ไผ่ที่ผลิดอกด้วย
หยางสีว์อี้ว์ รองผู้อำนวยการสถาบันพิทักษ์สัตว์ป่าแห่งมณฑลเสฉวน (ซื่อชวน) เคยให้สัมภาษณ์ว่า แพนด้ายักษ์ที่อาศัยอยู่บนภูเขาในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร เนื่องจากไม้ไผ่ลูกศรซึ่งเป็นอาหารโปรดของแพนด้าในป่าไผ่พื้นที่ 350,000 ตารางกิโลเมตร มีจำนวนมากที่พร้อมใจกันออกดอกและตายขุยลงก่อนที่จะผลิตไผ่รุ่นใหม่ แล้วยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว 8.0 ริกเตอร์ที่มณฑลเสฉวน ยิ่งทำให้แพนด้าเผชิญความเสี่ยงต่อการขาดแคลนอาหารหนักขึ้นด้วย



ไขปริศนานัยยะแฝงบนโต๊ะอาหารจีน

จีนนับเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการกินอันยาวนาน ไม่เพียงแต่การปรุงอาหารเท่านั้นที่ชาวจีนพิถีพิถันอย่างยิ่งยวด แต่อาหารหลายๆ อย่างก็มีนัยยะแฝงด้วยตามความเชื่อของชาวจีน และมักถูกกำหนดให้รับประทานในโอกาสพิเศษๆเช่นในบางพื้นที่ของจีน เวลามีแขกมาเยี่ยมเยือน เจ้าบ้านจะเสิร์ฟอาหารพวกหัวปลากระพง หรือ หอยเชลล์ให้แก่แขก แทนความหมายถึงการยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง
อาหารจำพวกเส้น เช่น ก๊วยเตี๋ยว บะหมี่ เป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุมั่นขวัญยืนตามความเชื่อของชาวจีน ดังนั้นจึงนิยมรับประทานในวันเกิด และเพราะก๊วยเตี๋ยวเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืนนี่เอง จึงถือเป็นเรื่องไม่มงคลอย่างยิ่งถ้าเราจะหั่นเส้นก๊วยเตี๋ยวให้สั้นลง
ไข่ ก็มีนัยยะสำคัญในหลายวัฒนธรรม เช่นเดียวกับชาวจีนที่เชื่อว่าไข่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นหลังจากเด็กลืมตาดูโลก พ่อแม่ก็จะจัดงานเลี้ยงไข่ต้มแดงขึ้น โดยจะต้มไข่ให้สุกแล้วย้อมเปลือกให้เป็นสีแดงทานกันในครอบครัว เพื่อเป็นการประกาศถึงการถือกำเนิดที่น่ายินดีในครั้งนี้ในบางพื้นที่ทางตอนกลางของประเทศจีน จะต้มไข่ตามเพศของเด็ก โดยปกติต้มไข่เป็นเลขคู่เช่น 6 หรือ 8 ใบ และแต้มจุดสีดำบนปลายไข่สำหรับบ้านที่ได้ลูกชาย ต้มไข่เป็นเลขคี่เช่น 5 หรือ 7 ไม่มีการแต้มจุดดำสำหรับเด็กผู้หญิง
นอกจากนี้ยังมีการทำปอเปี๊ยะทอดมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะช่วงวันปีใหม่ด้วย เนื่องจากปอเปี๊ยะทอดมีรูปร่างคล้ายกับทองคำแท่ง ดังนั้นการได้รับประทานปอเปี๊ยะทอดในวันขึ้นปีใหม่ก็เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ว่าปีใหม่นี้จะมีความมั่งคั่งร่ำรวยเข้ามาเยี่ยมเยือน
เป็ดเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์จงรักภักดี หากไปงานแต่งงานไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องได้เห็นอาหารจานเป็ดสุดยั่วน้ำลายบนโต๊ะอาหาร ยิ่งถ้าเสิร์ฟมาในจานสีแดงด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งเยี่ยมยอดเพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความสุขนั่นเอง

ไก่ตามความเชื่อของจีนเป็นตัวแทนของหงส์ ซึ่งในงานแต่งงานก็มักจะมีการเสิร์ฟอาหารจานไก่ควบคู่กับอาหารตัวแทนมังกรอย่าง กุ้งลอปสเตอร์ นอกจากนี้ถ้าเสิร์ฟไก่ทั้งตัวยังมีความหมายถึงการที่สมาชิกครอบครัวกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งด้วย

ปลาเป็นเมนูเด็ดที่งานเฉลิมฉลองงานไหนงานนั้นเป็นต้องมี เพราะว่าปลาในภาษาจีนนั้นอ่านว่า “อี๋” (鱼) ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่า “อี๋” (余) ที่แปลว่า เหลือกินเหลือใช้ , มีมากมายเหลือเฟือ ดังนั้นในค่ำคืนก่อนวันปีใหม่จึงเป็นธรรมเนียมที่จะต้องเสิร์ฟอาหารจานปลาเป็นเมนูมื้อค่ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าความมั่งคั่งร่ำรวยจะเข้ามาหาในปีหน้า อีกทั้งการเสิร์ฟปลาแบบครบทั้งหัวทั้งหางนั้น ยังมีความหมายว่าในปีหน้าจะมีการเริ่มต้นที่ดีและลงเอยด้วยดี

ปิดท้ายด้วยเมล็ดพืชต่างๆ อาทิ เม็ดบัว เม็ดแตงโม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ก็นิยมรับประทานในวันแต่งงานเช่นกัน
ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอาหาร ขนม และผลไม้อีกหลายประเภทเช่น ส้ม ส้มโอ ถั่วลิสง ที่ล้วนแล้วแต่มีความหมายในวัฒนธรรมจีนเช่นกัน

เสริมฟลูออไรด์ ...มากไปก็ไม่ดี

“ฟลูออไรด์” เป็นสารประกอบของธาตุฟลูออรีน ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ทั้งในน้ำ ดิน เนื้อสัตว์ และพืช ส่วนในร่างกายมนุษย์มักพบฟลูออไรด์ในกระดูก ฟัน และของเหลวทั่วร่างกาย

จากการศึกษาพบว่าฟลูออไรด์เป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคฟันผุได้ โดยสารฟลูออไรด์จะเข้าไปรวมตัวกับแคลเซียม ที่เป็นส่วนประกอบของฟัน เกิดเป็นสารใหม่ที่ทนทานต่อการกัดกร่อนของกรดได้มากขึ้น ทำให้ฟันเราแข็งแรงขึ้น

การได้รับสารฟลูออไรด์เป็นประจำ สม่ำเสมอ ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยให้ฟันผุน้อยลง

นอกจากจะได้รับฟลูออไรด์จากการ บริโภคอาหาร เรายังสามารถเสริมฟลูออไรด์ได้ด้วยการใช้ฟลูออไรด์สัมผัสกับฟันโดยตรง และยังสามารถเสริมฟลูออไรด์ด้วยการกลืนกินยาฟลูออไรด์ได้อีกด้วย

การใช้ฟลูออไรด์สัมผัสกับฟันโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการแปรงฟันด้วยยาสีฟันฟลู ออไรด์ การเคลือบ การขัดฟัน การบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์ เป็นวิธีที่สามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากอีกวิธีหนึ่ง

ส่วนการกลืนกินยาฟลูออไรด์ โดยการเติมฟลูออไรด์ลงในน้ำหรืออาหารให้เด็กรับประทาน เพื่อให้ฟลูออไรด์เข้าไปอยู่ในฟันขณะที่ฟันกำลังมีการเจริญเติบโต เป็นวิธีเสริมฟลูออไรด์ที่นิยมใช้กับเด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือน ไปจนถึง 16 ปี โดยขนาดของฟลูออไรด์ที่ใช้ จะขึ้นอยู่กับปริมาณของฟลูออไรด์ในน้ำดื่มและอายุของเด็ก

แม้การเสริมฟลูออไรด์จะเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์ต่อฟัน แต่ก็ต้องใช้ให้ถูกวิธี ในปริมาณที่พอเหมาะ และถูกกับวัย มิฉะนั้นก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน

ในต่างประเทศได้มีการกล่าวถึงการเกิดพิษของฟลูออไรด์ ซึ่งมีทั้งการเกิดพิษอย่างเฉียบพลัน เกิดจากการได้รับฟลูออไรด์เกินขนาดในครั้งเดียว อาจด้วยความเข้าใจผิดหรือพลั้งเผลอ ซึ่งจะมีอาการรุนแรงเพียงใดขึ้นอยู่กับปริมาณฟลูออไรด์ที่ได้รับเข้าไป โดยจะมีอาการ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย

วิธีการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น ก็คือให้ผู้ป่วยดื่มนมมาก ๆ แล้วนำส่งแพทย์ทันที หากสงสัยว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นพิษจากฟลูออไรด์หรือไม่ ให้เก็บปัสสาวะผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง แล้วส่งตรวจระดับฟลูออไรด์ในปัสสาวะ

นอกจากการเกิดพิษอย่างเฉียบพลันแล้ว ยังอาจเกิดพิษชนิดเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณเกินกว่ากำหนดเป็นระยะเวลาติดต่อกันยาวนาน อาการที่บ่งชี้ได้แก่ ฟันตกกระ มีการ ปวดข้อมือข้อเท้า หากเป็นมากจะลุกลามไปยังกระดูกสันหลัง จะไม่ สามารถเคลื่อนไหวได้ ทำให้หายใจลำบาก และเสียชีวิตไปในที่สุด

ในประเทศไทยอาการดังกล่าวมักพบในผู้ที่ดื่มน้ำบาดาลในภาคเหนือ ซึ่งมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ตามธรรมชาติ เช่นที่ อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เป็นต้น

การเสริมฟลูออไรด์จึงต้องคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนทำการเสริมฟลูออไรด์ เพราะการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปอาจทำให้ฟันตกกระ และเป็นอันตรายต่อร่างกายได้



การใช้ยาสีฟันเสริมฟลู ออไรด์ ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ควรเลือก
ใช้ยาสีฟันที่มีความเข้มข้นต่ำ 500 ppm. ซึ่งสังเกตได้จากฉลากบนกล่องยาสีฟัน สำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป สามารถใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ได้ตามมาตรฐาน คือ 1,000-1,100 ppm. ไม่ควรกินหรือกลืนยาสีฟัน และควรกลั้วปากให้ทั่วหลังการแปรงฟัน

อย่างไรก็ดี การเสริมฟลูออไรด์เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยป้องกันฟันผุ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าได้รับการเสริมฟลูออไรด์แล้วฟันจะไม่ผุ หรือฟันจะแข็งแรงทนทานตลอดไป การที่ฟันจะผุหรือไม่ผุขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น การทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี และสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ การเลือกรับประทานอาหารที่มีฟลูออไรด์ตามธรรมชาติ อาทิ อาหารทะเลต่าง ๆ ปลาทะเลบางชนิดที่มีกระดูกอ่อนกินได้ทั้งตัว อย่างเช่น ปลาไส้ตัน ปลาดาบเงิน หรือพืชผักผลไม้ อย่างเช่น ใบกุยช่าย ตั้งโอ๋ ถั่วงอก สะระแหน่ มะเขือยาว ใบเมี่ยง พริก บีทรูท กระเทียม กะหล่ำปลี ผักโขม ไข่แดง ข้าวต่าง ๆ แอปเปิ้ล องุ่น กล้วย เชอรี่ แครอท ผักใบเขียว มันฝรั่ง ฯลฯ ก็จะช่วยทำให้ทั้งสุขภาพฟัน และสุขภาพร่างกายแข็งแรงไปควบคู่กับดูแลตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถอวดยิ้มสดใสได้อย่างไม่ต้องอายใคร...

“อัลมอนด์” องครักษ์พิทักษ์หัวใจ

ที่มา จากเวปผู้จัดการออนไลน์ ประจำวันที่ 15 กรกฏาคม 2551

“อัลมอนด์” เป็นถั่วประเภท Tree Nut ซึ่งให้คุณค่าสารอาหารต่อร่างกายมากกว่าถั่วประเภทคลุมดินอย่างถั่วลิสง ถั่วเขียว ฯลฯ ที่สำคัญยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหาร เพราะในเม็ดอัลมอนด์ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoproteins) หรือไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoproteins) หรือไขมันเลวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อรับประทานเป็นประจำจะมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

เมื่อไม่นานมานี้มีผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกายังพบว่า ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิบมือจะช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2 หยิบมือต่อวันจะช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4% รวมไปถึงผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ก็รายงานผลออกมาในรูปแบบเดียวกัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ พบว่าในกลุ่มที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้นระดับ LDL ก็จะลดลง และระดับ HDL ก็เพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ยังมีการศึกษาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารเสริมเป็นเวลา 1 ปี โดย 6 เดือนแรกให้รับประทานอาหารตามปกติ และ 6 เดือนหลังให้รับประทานอัลมอนด์ในช่วงระหว่างมื้ออาหารประมาณ 52 กรัม/วัน เปรียบเทียบกันพบว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนเพิ่มขึ้น กรดไขมันอิ่มตัวลดลง คอเลสเตอรอลและน้ำตาลลดลง จึงส่งผลโดยตรงในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวานได้ถึง 30-50 %

เม็ดอัลมอนด์นอกจากจะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังอุดมไปด้วย ไฟเบอร์ โปรตีนจากพืช วิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้าทรี ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยอย่างได้ผล รวมทั้งไฟเบอร์ที่ได้ยังช่วยลดการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

ถึงกระนั้นก็ยังมีคนแคลงใจในตัว “อัลมอนด์”ว่ามีสารอาหารประเภทไขมันในปริมาณที่สูง แล้วจะมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า อัลมอนด์เป็นสารอาหารที่ได้รับการแนะนำให้รับประทาน เพื่อลดคอเลสเตอรอลและรับประทานแทนอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว จึงไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้นทุกคนจึงรับประทานอัลมอนด์แทนของหวาน หรือขนมขบเคี้ยวระหว่างวันได้อย่างสบายๆ แถมยังได้คุณค่าจากธรรมชาติไปเต็มๆ

ทั้งอิ่มอร่อยและมีคุณประโยชน์มหาศาลขนาดนี้ถ้ามี “อัลมอนด์” ติดไว้ที่โต๊ะทำงานหรือตู้ที่บ้านก็คงไม่เสียหลายนะเจ้าคะ