2554/02/14

OMG! 'วิทยานิพนธ์ของมนุษย์ต่างดาว'


สิ่งที่ท่านได้อ่านต่อไปนี้ คัดลอกมาจากบางส่วนของ วิทยานิพนธ์ของมนุษย์ต่างดาว จากดาว M 71 ผู้หนึ่งที่แฝงกายมาทำวิจัยลับๆ เกี่ยวกับมนุษย์โลก

นี่คือสิ่งที่เขาเขียนในวิทยานิพนธ์ระดับด็อกเตอร์ ซึ่งมีชื่อในภาษา M71 ว่า "อาบากาตุ เซโส มนุษโลกุถัง" หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "พฤติกรรมมนุษย์โลก"

1. มนุษย์โลกเพศผู้ มีลักษณะทางกายภาพอ่อนแอ กว่ามนุษย์เพศเมีย มีข้อพิสูจน์ดังต่อไปนี้

- มนุษย์โลกเพศผู้ ต้องสวมใส่เครื่องปกป้องร่างกายอย่างมิดชิด ในขณะที่มนุษย์โลกเพศเมียสามารถ เปิดเผยผิวเนื้อได้โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ

- เมื่อมีการต่อสู้ มนุษย์โลกเพศเมียจะหลั่งสาร บางอย่างออกมาจากนัยน์ตา เมื่อนั้น มนุษย์โลกเพศผู้ จะยอมแพ้ทันทีโดยไม่คิดต่อสู้ต่อ

- ส่วนใหญ่มนุษย์โลกเพศผู้จะหวั่นเกรงมนุษย์ เพศเมียเสมอ

- ในการสืบพันธุ์ของมนุษย์ พบว่ามนุษย์โลกเพศผู้บางคน จำเป็นต้องสวมเกราะป้องกันด้วย มิเช่นนั้นอาจเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต

- ถึงแม้จะแข็งแรงปานนี้ แต่มนุษย์โลกเพศเมีย บริโภคอาหารในปริมาณที่ต่ำมากต่อวัน แต่กลับมีน้ำหนัก เพิ่มขึ้นได้รวดเร็วกว่ามนุษย์เพศผู้

- เมื่อประสงค์จะยุติความสัมพันธ์ใดๆ บางครั้งมนุษย์เพศเมียจะตัดหางที่อยู่ด้านหน้าใต้ท้องของมนุษย์เพศผู้ ซึ่งอาจจะทำให้มนุษย์เพศผู้เสียชีวิตได้ในเวลาไม่นาน

2. มนุษย์โลกแม้จะนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มนุษย์โลกจะประดับเครื่องรางของขลังเหมือนๆ กัน โดยเครื่องรางนี้มีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีปุ่มเรียงกันอยู่ประมาณ 15 - 18 ปุ่ม มีแสงและเสียงออกมาบางครั้ง โดยมนุษย์โลกบางคนศรัทธามาก จะห้อยคอ บ้างก็ใส่กล่องหรือถุงอย่างดีใส่ไว้ในกระเป๋า

บางครั้งมนุษย์จะทำ ความเคารพเครื่องรางนี้ ด้วยการนำมาทัดหูเพื่อรับฟังเสียงบางอย่างคาดว่าเป็นการติดต่อกับพระเจ้า ในบางเวลามนุษย์จะนำเครื่องรางนี้ตั้งบูชาไว้บนแท่นขนาดเล็ก เพื่อสักการะก่อนเข้านอน

3. นอกจากนั้น มนุษย์โลกส่วนใหญ่นั้นเชื่อในเวทย์มนตร์คาถา ถึงกับพกพาเอาตำราคาถาเวทย์มนตร์ต่างๆ ติดตัวไว้ตลอดเวลา ขนาดหนาบ้างบางบ้างตามสะดวก

4. มนุษย์โลกสามารถฆ่ากันได้ง่ายๆ แม้จะนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน

5. มนุษย์โลกเชื่อว่า ยานเหล็กที่หุ้มตัวเวลาเดินทาง สามารถบ่งบอกสถานะทางสังคมได้

6. มนุษย์โลกสามารถหัวเราะ ร้องไห้ โกรธเคือง คลั่งแค้น หรือกระทั่งสำเร็จความใคร่ได้ ด้วยการมองจ้องจอสี่หลี่ยมเท่านั้น

7. มนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อในหลักการปกครองด้วยเสียงข้างมาก แต่น่าแปลกที่มนุษย์ส่วนใหญ่นับล้าน อาจจะพบกับความลำบากอย่างยิ่งได้จากน้ำมือของคนกลุ่มเล็กกว่า หากว่าคนกลุ่มเล็กนั้นเป็น "นักการเมือง"

8. มนุษย์ทุกคนต้องกินอาหาร แต่มนุษย์กลุ่ม ที่มีหน้าที่ผลิตอาหาร ส่วนใหญ่มักจะยากจน และอดอยาก

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก


เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

มหาพีระมิดแห่งกีซ่า ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน และมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
สวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 เมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 6 ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือซาก แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลนในประเทศอีรัก
เทวรูปเทพซุส ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองคำ งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้น
วิหารอาร์ทีมิส (หรือวิหารไดอานา) ที่เอเฟซุสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 4 ภายหลังถูกทำลายโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี พ.ศ. 805 ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
สุสานแห่งกษัตริย์มอโซลัส ที่ฮาลิคาร์นัสซัสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย เป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวและต่อมานำไปใช้ในการก่อสร้างโดยอัศวินแห่งโรดส์ ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
เทวรูปเฮลิออส แห่งโรดส์ ของกรีก ในทะเลเอเจียน (ประเทศกรีก) เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของเทพแห่งพระอาทิตย์หรือเฮลิออส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันไม่ปรากฏซาก
ประภาคารฟาโรส แห่งอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงเมื่อแผ่นดินไหวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันมีป้อมขนาดเล็กอยู่บนซากที่เหลือ
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง
สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดจัดเป็นสิ่งก่อสร้างของโลกสมัยกลาง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครได้กำหนดไว้ และรายการในยุคกลางก็ระบุไว้ไม่ตรงกัน แต่โดยมากจะยอมรับกับรายการต่อไปนี้
โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี
หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย สุสานใต้ดินเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน
สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ
เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองหนานกิง ประเทศจีน
หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
สุเหร่าโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี

เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน

กลุ่มวิศวกรโยธาแห่งสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมรายชื่อของเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ในโลกยุคปัจจุบันไว้ดังนี้
อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส
ซีเอ็น ทาวเวอร์ ประเทศแคนาดา
เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิล-ปารากวัย
ตึกเอ็มไพร์สเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา
เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์
สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา
คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้

วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day)


วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ
คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้น
ชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรัก กันและแต่งงานกันในที่สุด



ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น
กรุงโรมได้เกิดสงครามหลายครั้งและคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหา
ทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม
และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ
ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป
และด้วยเหตุผลนี้เอง
ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม
ถึงกระนั้นก็ตามยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์
ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง
ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ
เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้
และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย

และจากการกระทำเหล่านี้เอง
ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270
ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์

ประวัติเซนต์วาเลนไทน์หรือนักบุญวาเลนไทน์

เป็นพระที่อยู่ในกรุงโรมระหว่างศตวรรษที่ 3
ในเวลานั้นกรุงโรมถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น
ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชนเท่าใดนัก
จักรพรรดิคลอดิอุสต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่
และหวังให้ชายชาวโรมันทั้งหลายอาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม
แต่ก็ไม่มีชายคนใดจะกระทำตามนั้น
จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามให้มีการแต่งงานหรืองานหมั้นใด ๆ เกิดขึ้น
ทำให้ประชาชนไม่พอใจรวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย

ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้นอย่างลับๆ
ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม
นักบุญวาเลนไทน์ยังคงรักที่จะทำพิธีเหล่านี้
โดยภายในงานนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนัก บุญเท่านั้น
พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน
ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย
แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ อยู่นั้นเอง
ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยิ นเสียงผีเท้าของทหาร
แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน

ในที่สุดนักบุญวาเลนไทน์จึงถูกจับขังคุกและถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุก ๆ วัน
และแล้ว วันหนึ่งสิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวหลายคนมาที่คุกเพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ
พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่าง ๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก
พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน
หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม
ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาติให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญวาเลนไทน์ได้ในคุก
บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง
หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น
อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับ ๆ ของท่านนักบุญอีกด้วย

ผู้คุมมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง
ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น
ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารให้และช่วยติดต่อกับคนนอกคุกที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์
ขณะที่อยู่ในคุก ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของเขานั้น ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น
ขณะที่เขาถูกคุมขังอยู่นั้น
ผู้คุมขังได้ขอให้วาเลนตินุส สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอดด้วย
จูเลียเป็นคนสวยแต่น่าเสียดาย ที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด
วาเลนตินุสได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง
จูเลียสามารถรับรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของวาเลนตินุส
เธอเชื่อใจเขา และเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งจูเลียถามวาเลนตินุสว่า "ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม"

เขาตอบ "พระองค์เจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเรา ทุกคน"

จูเลียกล่าว "ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไร
ทุกๆเช้า ทุกๆเย็น….ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็น โลก เห็นทุกๆอย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง"

วาเลนตินุสจึงบอก
"พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่เราทุกคน
เพียงแค่ เรามีความเชื่อมั่น ในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง"

จูเลีย ผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า
จึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับ วาเลนตินุส
และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก
และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นจูเลียค่อยๆลืมตา
พระเจ้า……เธอมองเห็นแล้ว!!!!!
เขาและเธอจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า
และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่วาเลนตินุส จะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ
เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้าย ถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า "From Your Valentine"
เขา สิ้นชีพในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270
หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม
จูเลียได้ปลูก ต้นอามันต์ หรือ อัลมอลต์สีชมพู
ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินุส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ
โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สี ชมพู ได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดร์และมิตรภาพ อันสวยงาม

นักบุญ วาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้นเอง
ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ต สั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่านและลงท้ายว่า "Love from your Valentine".
..ในปี 496 A.D. โป๊ป Gelasius ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์
เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์...
เราจึงมักถือเอาวันนี้เป็นวันแห่งความ รัก
ในระยะต่อมาวันวาเลนไทน์ ใช้แทนความรักของหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่
โดยในวันนี้จะมีการส่งขนม (โดยเฉพาะช็อคโกแลต)
ดอกไม้ (ส่วนใหญ่จะดอกกุหลาบ) ให้กับคนที่รัก

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกันในวันวาเลนไทน์
โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญ วาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270
และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน
และ ทุก ๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึงจักรพรรดิคลอดิอุส
เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก
แล้วก็จะพากันหัวเราะ
เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรักนั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนหรือแทนที่ ได้เลย

วันวาเลนไทน์ เมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี
จะมีหนุ่มสาวหรือคนบางกลุ่มนิยมส่งดอกกุหลาบสีแดง
หรือบัตรรูปหัวใจให้แก่กันและกันซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเจตนารมณ์ของความ รักความเข้าใจต่อกัน
วันวาเลนไทน์ ธรรมเนียมฝรั่งเขาส่งบัตรหรือของขวัญเล็กๆน้อยๆ
ไปให้แก่คนที่เขารักโดยไม่บอกชื่อผู้ส่งซึ่งจะมาจากใครก็ได้