2552/12/28

20 อันดับ สิ่งก่อสร้างที่แพงที่สุดในโลก




อันดับ 1 สถานีอวกาศนานาชาติ International Space Station ( ISS )
ประเทศ United States Russia Japan Canada European
ราคา 157,000 ล้านเหรียญ
แล้วเสร็จใน 2010




อันดับ 2 Three Gorges Dam
ประเทศ China
ราคา 25,000 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2011




อันดับ 3 Big Dig
ประเทศ United States
ราคา 14,600 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2007




อันดับ 4 Channel Tunnel
ประเทศ France United Kingdom
ราคา 8,130 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2007



อันดับ 5 CVN-78 class aircraft carrier
ประเทศ United States
ราคา 8,100 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2015





อันดับ 6 Alaska Pipeline
ประเทศ United States
ราคา 8,000 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 1977





อันดับ 7 โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชั่น ITER
ประเทศ United States European India Japan China Russia South Korea
ราคา 6,500 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2016





อันดับ 8 เครื่องเร่งอนุภาค Large Hadron Collider
ประเทศ World
ราคา 6,000 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2008





อันดับ 9 Akashi-Kaikyō Bridge
ประเทศ Japan
ราคา 5,000 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 1998





อันดับ 10 Mir
ประเทศ Russia
ราคา 4,300 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 1996






อันดับ 11 Burj Dubai
ประเทศ United Arab Emirates
ราคา 4,100 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2009







อันดับ 12 Queen Elizabeth class aircraft carrier
ประเทศ United Kingdom
ราคา 3,900 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2014






อันดับ 13 Oosterscheldekering
ประเทศ Netherlands
ราคา 3,750 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 1986






อันดับ 14 Rivercity Motorway
ประเทศ Australia
ราคา 3,200 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2010





อันดับ 15 USS Jimmy Carter
ประเทศ United States
ราคา 3,200 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2004





อันดับ 16 B-2 Spirit Stealth Bomber
ประเทศ United States
ราคา 2,200 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 1988







อันดับ 17 Taipei 101
ประเทศ Taiwan
ราคา 1,800 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2004






อันดับ 18 Space Shuttle
ประเทศ United States
ราคา 1,700 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 1977





อันดับ 19 Wembley Stadium
ประเทศ United Kingdom
ราคา 1,570 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2007





อันดับ 20 New Yankee Stadium
ประเทศ United States
ราคา 1300 ล้านเหรียญ
เสร็จใน 2009

2552/12/22

Moi Même <<

>> Je suis gaie , sociable , dynamique et volontaire.
Je suis le sourire facile.



>> Je n'aime pas les gens qui sont égoïstes, capricieux ,agressif et inquite.



>> Je suis sociable et coquette mais Je ne suis pas paresseux.










:):):):):)

2552/12/18

ประวัติวันคริสต์มาส

คริสต์มาส

คือ การฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม
คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ
ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า"
คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038
และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย "คริสต์มาส" ก็มีความหมาย
เช่นกัน คำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน"
เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ
คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก
เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X'mas คำว่า Merry
ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า"สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น
ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น
มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู
ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้
ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

ประวัติ....ซานตาคลอส

วันคริสต์มาสนี้เริ่มตั้งแต่คริสตวรรษที่4 มีนักบุญคนหนึ่งชื่อ "นิโคลาส "
หรือ "เซนต์นิโคลาส" ท่านเป็นนักบุญ ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเด็กหนุ่ม
ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งแคว้นไมรา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี
ท่านได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมถ์ประจำชีวิตเด็ก เด็กในประเทศอังกฤษ จะเรียกคุณตาใจ
ดีว่า "คุณพ่อแห่งวันคริสต์มาส" ( Father Christmas )
เด็กเยอรมันนีเรียกว่า "ญาติแห่งพระคริสต์ " ( Christ Child )
เด็กชาวดัชท์เรียกว่า "ซาน นิโคลาส" หรือ "Sankt Klous"
ในที่สุดกลายเป็น "ซานตาคลอส" ติดปากเด็กๆทั่วโลก
ในปี ค.ศ. 1866 นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ชื่อ โธมัส แนส เป็นคนแรกที่วาดภาพของ
ซานตาคลอสขึ้นมาลักษณะเหมือนที่เรา เห็นทุกวันนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือ
"Horpers Weekly"เป็นครั้งแรกใบหน้าของซานตาคลอส
เป็นสีแดงอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ จมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก
นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย หนวดเคราสีขาวท่าทางใจดี ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียง
ตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์
ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย คือความปิติยินดีชื่นชม
ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง


..ต้นคริสต์มาส.. ในสมัยโบราณหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน
และทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด
ถึงความหมายของคริสต์มาสและเอาตันไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉากแสดงถึง
บาปกำเนิดของอาดัมและเอวาต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่าย
ที่สุดในประเทศเหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี
จนถึงศตวรรษที่15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง
เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่น เหมือน ลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง
และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่
ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆแบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของ ตน
โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกกัน
จากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ลและแขวนแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท ซึ่ง
ก็มีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญ
อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
เราจะเห็นได้ว่าวันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไปเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ ตามคำ สัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์

เอนไซม์บำบัต คือ ศาสตร์แห่งการแพทย์ทางเลือกแห่งอนาคต

สุขภาพประยุกต์
ทางเลือก ทางรอด ผู้มีปัญหาสุขภาพ

- เอนไซม์บำบัต คือ ศาสตร์แห่งการแพทย์ทางเลือกแห่งอนาคต
- เอนไซม์ คือ สารโปรตีน เป็นตัวเร่งการทำงานของระบบต่างๆ ในสิ่งมีชีวิต
- มีความสำคัญ ทำให้เซลล์เป็นล้านๆ เซลล์,เนื้อเยื่อ,ของเหลว และอวัยวะต่างๆ ทำงานได้ปกติ
- หากร่างกายขาดเอนไซม์หรือปริมาณเอนไซม์ ลดลง จะทำให้การทำงานของระบบต่างๆ เช่น การย่อยอาหาร การขับถ่าย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขจัดสารพิษของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเลือด ในร่างกายไม่ปกติ
หน้าที่ของเอนไซม์
- ช่วยย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหาร -ช่วยดูดซึมและนำพาสารอาหาร
- ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ -ช่วยเผาผลาญพลังงาน/ย่อยสลายไขมัน
- ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน -ช่วยป้องกันอาการอักเสบ ติดเชื้อ
- ขจัดสารพิษของร่างกาย/ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ทำให้ฮอร์โมน วิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ทำงานตามคุณสมบัติ
-----------------------------------------------------------------------
กินไป มาก เท่าไร ก็นำไปใช้ไม่ได้ ถ้า เอนไซม์บกพร่อง
-----------------------------------------------------------------------
คุณสมบัติของเอนไซม์ เหยิน-เบิ่น ในรูป พืช ผัก ผลไม้ผสม ชนิดผง
- มีเอนไซม์ที่ร่างกายต้องการ กว่า 370 ชนิด
- เอนไซม์ไม่อยู่ในรูปเฉื่อยชา เพียงผสมน้ำอุ่นก็พร้อมทำปฏิกิริยาทันที
- ทำปฏิกิริยา ได้ดีเป็น 3 เท่าที่อุณหภูมิ 80 องศาเซนเซียส ขณะที่เอนไซม์ทั่วไปจะเสื่อมที่อุณหภูมิ 50 องศาเซนเซียส
- สามารถเก็บรักษาได้นานเป็นแรมปี -มีสารอาหารครบ 5 หมู่
- สารอาหารจากธรรมชาติ 100% ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีใดๆ
-----------------------------------------------------------------------
เอนไซม์ เหยิน-เบิ่น
ช่วยแก้ปัญหาการทำงานผิดปกติของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น
* ระบบหัวใจ หลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง
* ระบบทางเดินอาหาร/การขับถ่าย เช่น โรคกระเพราะ โรคลำใส้อักเสบ มะเร็งกระเพาะ/ลำใส้ ท้องผูก อาหารไม่ย่อย โรคนิ่ว ถุงน้ำดีอักเสบ โรคไตอักเสบ/ไตวาย ต่อมลูกหมากโต/มะเร็ง โรคตับ
* ระบบทางเดินหายใจ/ระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคปอด ไข้หวัดใหญ่ โรคหัดต่างๆ ช่วยขจัดสารพิษ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
* ระบบผิวหนัง เช่น กลาก เกลื่อน บำรุงผิวพรรณ สิว ฝ้า รักษาจุดด่างดำ ผิวหนังอักเสบ รักษาแผลสด/น้ำร้อนลวก/ไฟไหม้/แผลในปาก/แผลกดทับ ฯลฯ
* ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โปลิโอ ปวดเมื่อลำตัว/ปวดหลัง โรคเก้าท์ โรคกระดูกพรุน/กระดูกอักเสบ ไขข้ออักเสบ/รูมาติซึม
* ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยต์อักเสบ
* ระบบสืบพันธุ์ เช่น ความผิดปกติของประจำเดือน รักษาความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
* ระบบสร้างเม็ดเลือด เช่น โรคโลหิตจาง โรคลูคีเมีย
-----------------------------------------------------------------------
นอกจากนี้เอนไซม์ ยังช่วยในการ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือการเสื่อสภาพของอวัยวะ ย่อยสลายไขมันส่วนเกิน ชลอความชรา

7 เคล็ดลับอ่านให้จำ ในเวลาจำกัด

1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัว

2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดันและกระตุ้นให้มีความอยากในการอ่านหนังสือ ซึ่งวิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือ พยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เราได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจหรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้ อิอิ

3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆวิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กันและวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น

4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง

5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา

6. เตรียมตัวและให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ

7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้วก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพักเช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

2552/12/08

10 ภาษายอดฮิต ในโลกอินเตอร์เน็ต

ขณะนี้องค์กร "ICANN" หรือหน่วยงานกำหนดระเบียบการจดชื่อ "โดเมนเนม" หรือชื่อเว็บไซต์อินเตอร์เน็ตสากล อนุมัติหลักการใช้ "ภาษาท้องถิ่น" ตั้งชื่อโดเมนเนมในแต่ละประเทศของตนเรียบร้อยแล้ว ทำให้การเขียนโดเมนเนมไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะภาษาอังกฤษ หรืออักขระละติน (โรมัน) อีกต่อไป ถือเป็นการเปิดพรมแดนไซเบอร์สเปซให้กว้างไกลครอบคลุมไปทั่วโลกอย่างแท้จริง

สำหรับภาษาต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วโลกนั้นมีนับพันนับหมื่นภาษา อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจโดย นายเอนริเก เดอ อาร์เกซ บรรณาธิการและผู้ดูแลเว็บไซต์รวมรวบฐานข้อมูลสถิติทั่วโลก "WorldStats" เปิดเผยว่า ในสังคมอินเตอร์เน็ต ณ ปี พ.ศ.2552 มีอยู่ 10 ภาษาเท่านั้นที่มีผู้ใช้งานสูงสุด ประกอบด้วย

อันดับ 10 "เกาหลี" ซึ่งมีอัตรานักท่องเน็ตราว 37 ล้านคน

อันดับ 9 "รัสเซีย" จำนวนคนใช้อินเตอร์เน็ตกว่า 45 ล้านคน

อันดับ 8 "อารบิก" กว่า 50 ล้านคน

อันดับ 7 "เยอรมัน" ประชากรกว่าร้อยละ 67 เข้าถึงอินเตอร์เน็ต และมียอดนักท่องเว็บไซต์เกือบ 65 ล้านคน

อันดับ 6 "โปรตุเกส" มีหลายชาติที่ใช้ภาษานี้ แต่หลักๆ จะพูดอ่านเขียนกันในโปรตุเกสกับบราซิล มีอัตรานักท่องเน็ต 73 ล้านคน

อันดับ 5 "ฝรั่งเศส" อดีตชาติเจ้าอาณานิคมยิ่งใหญ่ไม่แพ้โปรตุเกส ทำให้ภาษาเมืองน้ำหอมมีคนใช้งานในโลกไซเบอร์เกือบ 79 ล้านคน

อันดับ 4 "ญี่ปุ่น" ดินแดนไฮเทคแห่งโลกตะวันออก มีประชากร 128 ล้านคน ในจำนวนนี้เข้าถึงอินเตอร์เน็ต 95 ล้านคน

อันดับ 3 "สเปน" เนื่องจากมีหลายประเทศใช้ภาษานี้ สถิตินักท่องเน็ตจึงสูงถึง 136.5 ล้านคน

อันดับ 2 "จีน" มหาอำนาจใหม่ ทำสถิตินักท่องเว็บกว่า 383 ล้านคน และเพิ่มขึ้นตามลำดับ

อันดับ 1 "อังกฤษ" ภาษาสากลของโลก เฉพาะในสหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลีย มีนักท่องเน็ตรวมกัน 278 ล้านคน ถ้ารวมทั่วโลกอยู่ที่ 478 ล้านคน

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดสยอง

อันดับ 10 สุสานมัมมี่ ปานาโม อิตาลี (LAS CATACUMBAS DE LOS CAPUCCINOS)
เป็น สุสานใต้ดินเก่าแก่ตั้งอยู่ในใต้อารามนักบวชคาปูชิน แห่งโบสถ์ฟรานซิสกัน ของคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก ที่เมืองปาร์เลอโม (PARLEMO) เกาะซิซิลี ที่นี้มีซากมัมมี่กองเต็มไปหมด จะเป็นชุมชนแออัดอยู่แล้ว ถึงขนาดที่บางศพที่มาทีหลัง ไม่มีที่ให้ยืนสบายๆ ต้องถูกแขวนไว้กับตะขอ บนผนังโน่น และถ้าเดินเข้าไปก็จะเจอแต่ศพนั่ง.....นอน...... ยืน...... และเดิน เอ๊ย เดินไม่มี บางตัวละยังคงสวมเครื่องแต่งกายเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตด้วย มีมัมมี่เด็กด้วยนะ เป็นผู้หญิงอายุ 8 ขวบชื่อโรซาเลีย ลอมบาร์โด (ROSALIA LOMBARDO) ที่ดองไว้70 - 80 ปีแล้วด้วย หน้าตายังน่ารักเหมือนคนนอนหลับเลย สถานที่นี้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว(จะมีคนไปเหรอ) จำกัดเวลาครับ อยากไปร้องถามไถ่ดูละกัน


อันดับ 9 อุโมงค์ที่ฝรั่งเศส กรุงปารีส (Pont de L’Alma)
สถาน ที่เจ้าหญิงไดอาน่าประสบอุบัติเหตุอุบัติเหตุรถคว่ำ สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2540 และยังคงเป็นปริศนาค้างคาใจคนทั้งโลกว่าอุบัติเหตุหรือ ถูกฆาตกรรม เพราะในคืนที่เกิดโศกนาฏกรรม มีการเปลี่ยนเส้นทางรถยนต์ไปยังอุโมงค์ Pont de L’Alma อย่างไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่จุดหมายเดิม คือการเดินทางไปยังอพาร์ตเมนต์ของฝ่ายชาย และทำไมวิทยุสื่อสารของตำรวจในกรุงปารีส ไม่สามารถใช้การได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งของเจ้าหญิงเดินทางเข้าสู่อุโมงค์ จนเกิดเหตุร้ายและไม่สามารถติดต่อสื่อสารเพื่อขอรับการช่วยเหลือเพื่อรักษา พระชนม์ชีพของพระองค์ได้อย่างทันท่วงที
เป็นความบังเอิญจริงหรือ? ใครๆ ที่ไปเที่ยวที่อุโมค์ฝรั่งเศสแล้ว ใครๆ ก็ว่าบรรยากาศมันน่ากลัว


อันดับ 8 เทือกเขาร็อกกี้ โคโลราโด (Colorado Rockies)
ที่ สยองคือภูเขานี้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้น เป็นเรื่องของมนุษย์กินคน ที่ไม่ใช่คนป่า ปี 1874 ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด คณะนักสำรวจหกคนได้ขุดอุโมงค์ในหุบเขาโคโลราโด ต่อมาอุโมงค์เกิดถล่ม การสื่อสารถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และต่อมา ฤดูใบไม้ผลิมีเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอดกลับมาจากหุบเขาโคโลราโด อยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี เขาคนนี้มีนามว่าอัลเฟร์ด แพคเกอร์ และเมื่อเขาออกมาก็ถูกจับเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากินเพื่อนของเขาสองคนเพื่อ มีชีวิตรอดเพราะอาหารหมดและเพื่อนก็ตายไปทีละคนทีละคน เขาเลยอดใจไม่ไหวกินเป็นอาหารเสียเลย ถ้าคุณอยากลองเป็นหรืออยาก รู้ว่ายังไงกับมนุษย์กินคนเป็นยังไง เทือกเขาร็อกกี้ก็พร้อมต้อนรับท่านไปเป็นมนุษย์กินคนอย่างยิ่งด้วยความหนาว และความตาย


อันดับ 7 หมู่เกาะปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea)
ปาปัว นิวกินีเป็นเกาะอยู่ทางเหนือ ของทวีปออสเตรเลีย ประกอบด้วยชนเผ่าต่างๆมากกว่า 700 เผ่า แต่ละเผ่าต่างคนต่างอยู่ การเดินทางไปมาหาสู่กันลำบากมาก เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน และใครอยากเห็นมนุษย์กินคนก็ต้องเข้าไปลึกหน่อยนะ โชคดีอาจไปทันตอนคืนพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ และกินซุปเนื้อมนุษย์ วิธีปรุงอาหารรายการนี้ง่ายมาก นำน้ำใส่หม้อดินขนาดใหญ่ต้มให้เดือด บั่นศพมนุษย์ที่ตายทั้งสองฝ่ายให้มีขนาดที่จะใส่ในหม้อนั้นได้ใส่ลงในหม้อ นำผักชนิดต่างๆ รวมทั้งมันและเผือกใส่รวมลงไปด้วย ต้มจนสุกและเปื่อยดีแล้วก็ตักออกมากินกัน ส่วนคนที่ยังไม่ตายก็มัดไว้ก่อนและค่อยๆ ฆ่าให้ตาย นำมาปรุงเป็นอาหาร กินเลี้ยงกันในคืนต่อๆ มารองเท้าหนัง ถุงเท้า ตลอดจน เสื้อผ้าก็ถูกนำมาต้มจนเปื่อย และกินจนหมดสิ้นเช่นเดียวกัน สำหรับหัวกะโหลกเก็บไว้ เป็นเครื่องประดับตามบ้านเรือนสวยงามมาก แต่ปัจจุบันใครไปอาจอดเจอซุปเนื้อคนเพราะตอนนี้เขาเลิกแล้วเพราะกฎหมายออกมาว่าห้ามกินเนื้อคนไม่ว่าศัตรูหรือนักท่องเที่ยว! แฮ่


อันดับ 6 โรงงานนรก “ค่ายเอาชวิตซ์” (Auschwitz)
สยอง ที่สุด ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กับ “ค่ายเอาชวิตซ์” (Auschwitz)ที่ใกล้เมืองเอาชวิตซิน โดยค่ายนี้สร้างขึ้นเพื่อสังหารชาวยิวด้วย การรมแก๊สพิษและเผาในเตาเผา โดยมีเหยื่อที่โดนถึง 1 ล้านสองแสนคน จากที่ต่างๆ ทั่วยุโรป จํานวน 22 ล้านคน ไปที่ค่าย โดยขนไปทางรถยนต์ รถไฟ และเรือเดินสมุทร และปัจจุบันสภาพยังเหมือนเดิมทุกประการไม่ว่าเตารมแก๊ส เตาเผา ค่ายพัก คุก มีกลิ่นแห่งความตายติดมาด้วย พร้อมกับความวังเวง เมื่อท่านไปก็อาจเจอผีชาวยิวที่ไม่ไปเกิดอีก ได้สองเด้ง ปัจจุบัน เอาชวิตซ์เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีนักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุด แห่งหนึ่งของ โปแลนด์ ซึ่งพยายามรักษาสภาพ เอาชวิตซ์ให้ใกล้เคียง สภาพเดิมให้มากที่สุด


อันดับ 5 ปอมเปอี (Pompei)
ปอมเปอีเมืองเก่า สมัยกลาง ตั้งอยู่บริเวณภาคใต้ของคาบสมุทรอิตาลี ริมอ่าวเนเปิล เมืองนี้เป็นชุมชนขึ้นมาก่อนคริสต์ศักราช โดยอยู่ใต้อิทธิพลของกรีก ต่อมาราว 80 ปีก่อนคริสตกาลกลายเป็นเมืองตากอากาศฤดูร้อนของชาวโรมันหลังตกเป็นอาณานิคม ของอาณาจักรโรมัน กระทั่ง ถูกภูเขาไฟระเบิดถล่มทั้งเมือง ตอนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สยองขวัญมาก เค้าหล่อรูปคนตายในท่าที่ถูกลาวาทับไว้ ก็เลยเป็นสถานที่แสดงท่าหนีตายของชาวเมืองไปเพราะวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยง แข็งเป็นหินคงสภาพเกือบทุกประการ รวมถึงความหวาดกลัวต่อความตายที่ยังตราติดอยู่บนดวงหน้า บางซากนั่งเอามือปิดหน้า บางซากซบอยู่กับกำแพง ปอมเปอีจึงได้อีกชื่อว่า "ซากเมืองแห่งความตาย" ปัจจุบันเมืองโบราณปอมเปอีได้รับการฟื้นฟู องค์การยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997


อันดับ 4 คุก และหอคอยลอนดอน (Tower of London)
หอคอย ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประเทศอังกฤษ สถานที่เกิดเหตุแห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ยาวนานกว่า 900 ปี นองเลือด ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เคยเป็นป้อมปราการ, ปราสาทราชวัง, คุก แดนประหาร เป็นสถานที่ตัดหัวของแอนน์ โบลีน พระสนมในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่ทุกวันนี้วันดีคืนดียังมีคนเห็นแอนน์ โบลีนถือหัวและร้องครวญอย่างทรมาน ไม่รวมกับอีกหลายวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในหอคอยแห่งนี้ซึ่งมักจะส่งเสียง ร้องขอชีวิต หรือเสียงลากโซ่ตรวนให้ผู้คนได้ยินและปรากฎให้เห็นเป็นระยะๆ จึงทำให้ที่นี่ยังคงโด่งดังเรื่องความหลอนตลอดกาล ปัจจุบันหอคอย ลอนดอนเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารและหอคอยหลายหลัง ที่เก็บเครื่องมือทรมานและเครื่องมือประหารนักโทษแบบโหดๆ ของยุคกลาง และมีอีกาดำด้วย ดูแล้วก็น่ากลัวจริงๆแหละ


อันดับ 3 ปราสาทของวลาด ดารคู ทรานซิลวาเนีย โรมาเนีย
ปราสาท ที่เป็นแหล่งที่มาของนิยายผีดูดเลือด แดรกคิวล่า ที่ว่าน่ากลัวคือเจ้าชายจอมเสียบ วลาด ดารคูลา ผู้เป็นเจ้าของปราสาท แกชอบเอาจับเอาเหล่าเชลยมาเสียบด้วยไม้แหลมจากก้น จนทะลุขึ้นไปซีกบน แล้วก็เอามานั่งเรียงรายกันไปในบริเวณกว้างๆ เช่นกำแพงเมือง หรือ สนามหญ้าใหญ่ๆ วันไหนครึ้มอกครึ้มใจ เขาก็จะนั่งดินเนอร์ดูการประหารด้วยวิธีนี้เสียตรงนั้นเลย .....อืมอร่อย ส่วนปราสาท ปัจจุบันยังอยู่ครับ แต่...........มันทำไมอยู่สูงจัง ใครจะไปก็อดทนหน่อยล่ะ ปีนขึ้นไปดูเอง (ล้อเล่น เขาทำบันไดให้ปีนแล้วจ้า)


อันดับ 2 อัลคาแทรซ, ซานฟรานซิสโก (Alcatraz)
นี่ คือคุกที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา อัลคาแทรซ (Alcatraz) สถานที่คุมขัง อัลคาโปน เจ้าพ่อชื่อดัง และภายในคุกสยอง วังเวงจริงๆ และได้ฉายาว่าเดอะร็อกเป็นคุกที่ไม่มีใครแหกสำเร็จ ถึงแม้จะมีนักโทษพยายามใช้ของชิ้นเล็กๆ ตัดซี่กรงเหล็กและแอบว่ายน้ำหนีออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเขามีชีวิตรอดไปได้ นักโทษหลายคนตายในห้องขังที่นี่ ส่วนหนึ่งตายเพราะบาดแผลติดเชื้อ และนี่เองเป็นที่มาของเสียงประหลาดมากมาย เช่น เสียงตัดเหล็ก เสียงปิดประตูห้องขัง เสียงหวีดร้องจากใต้ดิน และความรู้สึกถูกจ้องมอง ปัจจุบันคุกนี้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว สามารถค้างคืนได้ด้วยนะจะบอกให้


อันดับ 1 อนุสรณ์สถานแห่งคิลลิ่ง ฟิลด์ (Killing Field)
ใคร จะว่าไงไม่รู้ แต่หนูยกให้สถานที่นี้คือสุดยอดที่สุดแล้ว เพราะมันอยู่ใกล้บ้านเรา กัมพูชาเองจ้า เลิกซะทีเถอะข้ามพรมแดนไปเล่นการพนัน หันมารู้ประวัติศาสตร์ที่แสนโหดร้ายกันบ้างกับ โดยสถานที่นี้เป็นอนุสรณ์รำลึกความโหดร้ายในยุคเขมรแดงที่นำโดยเฮียพอลพต ที่สั่งฆ่าชาวเขมรนับล้าน ศพมากมายนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นกะโหลกไร้ญาติ(ไม่สามารถระบุได้ว่าคนตายเป็นใคร) ได้ถูกนำมารวมไว้ที่นี้ และมีรูปผู้ตายที่นับล้านให้ดูไว้ให้สงสาร คืนดีคืนดีบางคืนอาจได้ยินเสียงกะโหลกร้องระงม ฟังแล้วได้บรรยากาศมาก อีกที่ก็ ตุล สาเลช คุกเถื่อนซึ่งในอดีตเป็นโรงเรียนมัธยม ที่นั้นมีคนมาถูกฆ่าไม่เว้นวันและบางรายถูกนำมาทรมานเยี่ยงสัตว์ ก่อนตายอย่างสยอง

10 อันดับสถานที่ ฮันนีมูน สุดโรแมนติก

อันดับที่ 10. Colmar ประเทศฝรั่งเศส เมือง Colmar ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่ง ของประเทศฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รัก มักจะให้คำสัญญาในความรักระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมือง Colmar ก็คือ ไร่องุ่นจำนวนมาก เคียงคู่ไปกับอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยม และบรรยากาศ ที่สวยงาม สถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ ช่วยทำให้เมือง Colmar เป็นอีกหนึ่งในสถานที่โรแมนติกในฝัน


อันดับที่ 9. Paris ประเทศฝรั่งเศส เมืองปารีส มีสมญานามว่า “สวรรค์แห่งความโรแมนติก” (Heaven of Romantic) ดังที่ สถานที่แห่งนี้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่คุณและคนรัก จะสารภาพ “รักนิรันดร์” ระหว่างกันและกัน สิ่งที่น่าประทับใจในเมืองปารีส อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ Le Louvre (พิพิธภัณฑ์ ที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก) หอไอเฟล ,โรงแรม Disney Land Resort ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Centre Pompidou และสถานที่สวยงามอื่น ๆ อีกมากมาย การไปเที่ยว กับคนรักที่ปารีส หากจัดสรรเวลาให้ดีก็จะคุ้มค่ามาก และสถานที่แห่งนี้จะเก็บความโรแมนติก อยู่ในใจของคุณไปอีกนานแสนนาน


อันดับที่ 8.Venice ประเทศอิตาลี หากคุณกำลังมองหาสถานที่ ที่จะเอ่ยกับคนรักว่า เขาหรือเธอ เป็นคนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต Venice ก็คือ คำตอบสุดท้ายสำหรับคุณ! เมือง Venice มีชื่อเสียงโด่งดังในด้าน สุดยอดสถาปัตยกรรม และยังมีหลายสถานที่โรแมนติก เช่น สะพานเก่าแก่ Ponte dei Sospiri, จตุรัส Piazza San Marco ที่ได้รับสมณานามว่า “ห้องจิตรกรรมของยุโรป” (The - drawing room of Europe) และคลองในตัวเมือง “Canale Grande” ทั้งหมดนี้จะสร้าง ความโรแมนติก ระดับหรูหรา ให้กับคนรักและตัวคุณ



อันดับที่ 7. Schloss Neuschwanstein ประเทศเยอรมันนี สถานที่ที่ผสมผสาน ความสวยงามตามธรรมชาติ เข้ากับจินตนาการ และความสร้างสรรค์ของมนุษย์ ได้อย่างลงตัว เมือง SchlossNeuschwanstein มีความสวยงาม ราวกับเป็นสวรรค์บนพื้นโลก รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงาม ปราสาทเก่าแก่อายุ 100 กว่าปี (สร้างปี 1899) ซึ่งเยอรมัน ได้ถูกกล่าวขานว่า เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่มีปราสาทสวยงามที่สุดในยุโรป



อันดับที่ 6. Vienna ประเทศออสเตรีย เมือง Vienna ในประเทศออสเตรีย เป็นอีกสถานที่ที่มีคู่รักจากทั่วทุกมุมของโลก แวะเวียนมาเยี่ยมชมความสวยงาม สิ่งที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือ สุดยอดสถาปัตยกรรม และสุดยอดผลงานเพลง, ศิลปะ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พระราชวัง Schoenbrunn, พระราชวัง Belvedere, พระราชวัง The Hofburg Imperial และพิพิธภัณฑ์นักจิตวิทยาผู้โด่งดัง Sigmund Freud


อันดับที่ 5. Monte Carlo ประเทศโมนาโค เมือง Monte Carlo ยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่โรแมนติก ที่คุณจะได้สื่อความรัก ไปยังคนรักของคุณ เมืองนี้ตั้งอยู่ที่ตีนของเทือกเขาแอลป์ และเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวของความรัก ก่อกำเนิดขึ้นมากมาย สิ่งที่น่าสนใจของเมือง Monte Carlo คือบ่อนคาสิโนเลื่องชื่อ (Monte Carlo Casino) พิพิธภัณธ์ทางทะเล, พิพิธภัณฑ์ประจำชาติ และพระราชวัง Prince



อันดับที่ 4. Prague สาธารณรัฐเช็ก อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับสถานที่โรแมนติก ก็คือ เมือง Prague ของสาธารณรัฐเช็ก สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อย วัฒนธรรม และปราสาทเก่าแก่ ผู้คนที่มีมิตรไมตรี และสุภาพอ่อนโยน เมือง Prague เป็นสถานที่เกิดของนักดนตรีระดับโลก อย่าง Mozart และมีชื่อเสียง ในเรื่องของทางเดินอันสวยงามในเมือง ที่คู่รักสามารถใช้เวลาเดินเล่นด้วยกัน



อันดับที่ 3. New York ประเทศสหรัฐอเมริกา เมือง New York เหมาะสำหรับคู่รัก ที่กำลังมองหาสถานที่ที่จะใช้ ช่วงเวลาแห่งความรัก และความโรแมนติก ในหลากหลายรูปแบบ ร้านอาหาร และร้านค้าจำนวนมาก และสถานที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟ Grand Central Terminal, อนุสาวรีย์เทพีสันติภาพ และสวนหย่อมขนาดใหญ่ Central Park (มีกิจกรรมคอนเสิร์ต, มีลานสเก็ตน้ำแข็ง)



อันดับที่ 2. Cairo ประเทศอียิปต์ เมือง Cario ก็ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นสวรรค์บนโลกเช่นเดียวกัน (โดยเฉพาะสำหรับคู่รัก) ความงดงามและมนต์เสน่ห์ที่อยู่ในตัวเมือง คือแรงดึงดูด ให้คู่รักเดินทางมาใช้เวลาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยกัน และปิรามิด ก็คือสิ่งที่พิเศษที่สุด ท่ามกลางความสวยงามในตัวเมือง


อันดับที่ 1. Mauritius Island มหาสมุทรอินเดีย สถานที่แห่งนี้ ได้รับการกล่าวขานว่า “ปลายทางสุดท้าย ที่โรแมนติกมากที่สุด” (Ultimate Romantic Destination) เกาะ Mauritius มีชื่อเสียง อย่างมาก ในหมู่คู่รักที่จะมาท่องเที่ยว หรือคู่รักที่จะมาฮันนีมูน ต้นปาล์มมากมายที่เคลื่อนที่พริ้วไหว ไปตามสายลม บรรยากาศที่สวยงามตามธรรมชาติ แนวหินปะการัง และท้องทะเลสีฟ้า เป็นส่วนหนึ่งในอีกหลาย ๆ สิ่ง ที่ทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามจนยากที่จะลืมเลือน

10 อันดับดอกไม้ที่อันตรายที่สุดในโลก

อันดับ 10 Narcissus
ดอกนาร์ซิสซัสนี้ ว่ากันว่า มีพิษร้ายแรงมากมาย
มีหลายคนที่สับสนแยกไม่ออกระหว่างดอกไม้นี้กับหัวหอม
แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วล่ะก็ เจอดีแน่
ทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างแรง



อันดับ 9 Rhododendron
เราก็ไม่แน่ใจชื่อภาษาไทยของมันเหมือนกัน
เพราะงั้น เราใช้ชื่อเต็มของมันดีกว่า เกิดอ่านผิดจะแย่ทีเดียว
ต้นไม้นี้มีดอกที่สวย รูปทรงเหมือนกระดิ่ง และจะงอกงามมากในฤดูใบไม้ผลิ
แต่ว่าใบของมันมีพิษร้ายเช่นเดียวกับน้ำหวาน
ถ้าเผลอกินเข้าไป อาจทำให้ริมฝีปากไหม้ได้
จากนั้นก็จะคลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว
ถ้าหากว่าเผลอกินเข้าไป ให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยได้



อันดับ 8 Ficus
ไฟคัส ต้นไม้เล็กๆ ที่มีใบเล็ก และมียางที่มีพิษเหลือร้าย
มันสามารถเติบโตได้หลากหลายที่ แม้แต่ในหม้อเก่าๆก็โตได้
ถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าล่ะก็ จะเจ็บปวดมากทีเดียว
และต้องไปหาหมอเพื่อขอยาทาแก้ปวดแสบปวดร้อน



อันดับ 7 Oleander
ทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมด
แค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้ว
ถ้าเผลอกินเข้าไปล่ะก็ จะเป็นอันตรายต่อหัวใจและระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้



อันดับ 6 Chrysanthemum
โอ้! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ดอกเบญจมาศจะติดอันดับกับเขาด้วย
แต่ว่าดอไม้นี้มีมากกว่า 200 ชนิดในสปีชี่ส์เดียว
เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่บางชนิดจะมีพิษร้าย
ถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษ
เค้าว่าให้ดูที่กระต่าย เพราะมันจะไม่กล้าเข้ามากิน
แต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ และต้องหายาทา



อันดับ 5 Anthurium
ถ้าหากว่า เผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังล่ะก็ เสร็จแน่
ดอกไม้นี้ จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้
ยิ่งถ้าโดนปากนี่ แย่ที่สุดเลย
หรือถ้ากินเข้าไปนี่ จะทำให้เสียงแหบเสียงแห้ง พูดไม่ได้ยินไปสักพักเลยล่ะ



อันดับ 4 Lily-of-the-valley
ว้าว! ชื่อเพราะจังเลย ดอกลิลลี่แห่งหุบเขาเนี่ย
แต่ติดอันดับสี่ได้ เชื่อว่าต้องอันตรายแน่ๆ
เค้าว่า ถ้ากินเข้าไปแล้ว หัวใจจะเต้นแรง คลื่นไส้ อาเจียน
บางคนที่กินมากๆ อาจจะเจอล้างท้องได้นะ



อันดับ 3 Hydrangea
อะไรกัน ไฮเดรนเยียออกจะสวยเนอะ
แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะมีอันตรายด้วย
มันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปล่ะก็
จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน
บางคน อาจจะเกิดอาการช็อคได้เลยด้วยซ้ำไป
เพราะงั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง นะจ๊ะ



อันดับ 2 Foxglove
ถุงมือหมาจิ้งจอก?
ดอกไม้สูงแค่สามฟุต สีสวยงามนี่แหละ อันตรายดีทีเดียว
แน่นอนว่า จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก
และปากไหม้ด้วย ถ้ากินเข้าไปนะ
บางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
ว่ากันว่า มันฆ่ากระต่ายได้เลยล่ะ



อันดับ 1 Wisteria
ชื่อต้นไม้นี้ แปลกทีเดียวเชียว
แต่ก็นั่นแหละ เค้าบอกว่า ถ้าเผลอกินเข้าไปเมื่อไหร่
ท้องร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่
และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อคแหงแก๋ได้เหมือน

10 เมฆที่หาดูได้ยากมาก

อันดับ 10 Altocumulus Castelanus
เมฆกลุ่มนี้คือจะเป็นพุ่มๆเหมือนแมงกะพรุน เกิดจากลมที่ชื้นๆจากกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มาเจอกับอากาศแห้งๆ

อันดับ 9 Nacreous
เมฆ นี้เรียกได้ว่าเป็นไข่มุกแห่งเมฆาเลยทีเดียว เพราะสีนวลตาและหลากสี ทำให้เพลินตาดี ซึ่งจะพบได้ที่แถบใกล้ๆขั้วโลกเช่นสแกนดิเนเวียตอนช่วงหน้าหนาว เวลาเย็นๆที่แสงอาทิตย์ส่องผ่าน เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้นที่เราจะเห็นแบบนี้

อันดับ 8 Mammatus Clouds
เมฆ ลักษณะแบบเป็นกระเปาะยื่นลงมา คนทั่วไปมักจะนึกว่าเดี๋ยวจะมีพายุเข้ามารึเปล่าหว่า จริงๆแล้ว เมฆนีไม่ใช่สัญญาณเตือนอันตรายแต่อย่างใด แต่มักเกิดขึ้นหลังจากที่พายุทอร์นาโดพ้นผ่านไปแล้วต่างหากล่ะ


อันดับ 7 Mushroom Clouds
เมฆแบบนี้คงไม่ใช่อะไรที่จะดีเท่าไหร่ เพราะมันเกิดจากการระเบิดอย่างแรง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงกับระเบิดนิวเคลียร์


อันดับ 6 Noctilucent Clouds
เมฆ ตามชื่อ คือ เกิดขึ้นในช่วงกลางคืนแต่เรืองแสง ซึ่งเกิดที่บริเวณแถวๆใกล้ๆขั้วโลกโดยแสงอาทิตย์จากอีกฟากส่องมาปะทะกับเมฆ จึงเห็นเหมือนกับเรืองแสงได้


อันดับ 5 Cirrus Kelvin-Helmholtz
เมฆม้วนเป็นเกลียว โอกาสเกิดขึ้นยากมาก และเกิดขึ้นเป็นเวลา 2-3 นาที แล้วจากนั้นก็เละ เรียกว่า เป็นความบังเอิ๊ญบังเอิญจริงๆ


อันดับ 4 Lenticular Clouds
เกิดจากหลยองค์ประกอบ ทั้งลมและความชื้น ทำให้รวมกลุ่มกลายเป็นเลนส์ได้(แต่บางครั้งก็เหมือน UFO นะ หรือว่า.....! ?????)

อันดับ 3 Roll Clouds
เป็น เมฆฝนถึงขั้นที่จะเกิดพายุ แต่เป็นเมฆก้อนใหญ่บวกกับความดันอากาศ ความร้อนและเย็น ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของเมฆเป็นการม้วน เลยดูเหมือนคลื่นขนาดใหญ่



อันดับ 2 Shelf Clouds
ลักษณะ คล้ายๆกับอันดับ 2 แต่อันนี้ไม่ได้เป็นการม้วน แต่เป็นชั้นๆเหมือนที่กำบัง(บ้างก็ว่าเหมือนลิ้นชัก)และจะมาเป็นแนวตั้ง นอกจากนี้มันยังคล้อยตัวต่ำจนน่ากลัว และเขาบอกว่าถ้าเข้าไปอยู่ในนั้นนี่ อย่างกับในหนังเลยครับ พยาุกระหน่ำรวมทั้งอุณหภูมิที่ร้อนมากๆและการหมุนของพายุที่น่าสะพรึงกลัว




อันดับ 1 Stratocumulus Clouds
เมฆ แบบนี้เกิดขึ้นได้ยาก ลักษณะมันก็เหมือนกับเอาดินน้ำมันมานวดๆๆๆๆๆๆ เลยออกมาเป็นเส้นยาวๆ และเผอิญว่าเส้นยาวๆจะแบ่งเป็นช่วงๆซะด้วย ทฤษฎีว่าด้วยเรื่องของการเกาะกลุ่ม

10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก

10 ETH Zurich CH

9 Princeton University US


8 Yale University US


7 Stanford University US


6 Cambridge University UK


5 Oxford University UK


4 California Institute of Technology US


3 Massachusetts Institute of Technology US


2 California University Berkeley US


1 Harvard University US

10 อันดับอาหารสุดโหด !!!

อันดับ 10 หนู เป็นอาหารสุดฮิตของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศยากจนอย่าง เปรู ปารากวัย หนูคือแหล่งโปรตีนสำคัญที่เดียว และเป็นเมนูหลักๆ ของร้านอาหาร และภัตตาคารใหญ่ๆ โดยชาวปารากวัยต่างลิ้มลองเชื่อว่าการกินหนูจะช่วยให ้ผิวกระชับมากขึ้น ผิวเนียนอีกต่างหาก ซึ่งหนูตัวใหญ่เขาจะมาย่างเป็นหนังกรอบหอมเสริฟแบบแฮ มเบอร์เกอร์เลยที่เดียว ส่วนหนูทารกตัวสีชมพูแดงๆ ก็จะหย่อนหนูเป็นๆ ลงท้องทันทีตามด้วยนมสดสักแก้ว หรือไม่ก็จะอร่อยแบบศิวิไลหน่อยก็จับลูกหนูใส่ในขนมปังหรือกล้วยหอมแล้วยัด ใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ร้องจิ๊ดๆ เป็นอันอร่อยเหาะ


อันดับ 9 สตูค้างคาว อาหารขึ้นชื่อของเวียดนาม ประเทศที่กำลังเจริญกว่าไทยน่ะแหละ ขายดิบขายดี แถมยังหรูและหายากมาก โดยเฉพาะเมืองหลวงไซ่งอนน่ะมันอยู่ในระดับภัตตาคารหรูเท่านั้น ซึ่งชาวเวียดนามเชื่อกันว่าเนื้อค้างคาวคือราชันย์แห่่งเนื้อทั้งปวงการกิน น่ะหรือ ทำได้หลายวิธี เช่นทำซุป หรือนำมาสับเป็นชิ้นๆ เคี้ยวเป็นสตู หรือไม่ก็ใช้มีดคมๆ ตัดหัวค้างคาวทันที จากนั้นก็รีดเลือดที่หยดจากร่างไร้หัวใส่แก้วเปล่าแล ้วดื่มกินสดๆ ทันที


อันดับ 8 สตูว์เนื้อหมาดำ พูดถึงเอเชียก็ต้องเนื้อหมา กินกันทั้งเกาหลี เวียดนาม ไทย แต่ถ้าจะหาประเทศที่กินเนื้อหมาได้มีลีลาเด็ดอร่อยก็ ประเทศอินโดนีเซียเพื่อนบ้านของเรานั้นเองเพราะพี่เพ ื่อนบ้านแกทำหลายเมนูมาก โดยเฉพาะเนื้อหมาดำว่ากันว่ามีรสอร่อยกว่าเนื้ออื่นๆ ทั้งปวง แถมนุ่มกว่าเนื้อหมาสีอื่นๆ ทำให้เวลานี้หมาดำชักจะหายจากถนนและบ้านเรือนของอินโดนีเซียไปแล้ว


อันดับ 7 หัวแกะสด-ต้ม จากหลายประเทศ รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมนูที่คุ้นเคยอย่างยิ่งของชาวเมืองแถบนั้นว่ากั นว่าหัวแกะถือว่าเป็นอาหารสุดยอดของแกะ เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ของชาวยิวที่เรียกว่า รอช อาแชน่า หัวแกะถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับความหมายที่ว่า ใครก็ตามได้กินหัวแกะนั้นจะได้รับโชคดีในวันปีใหม่ที่จะมาถึง แต่ถ้ากินลูกนัยตาของลูกแกะเข้าไปย่อมโชคดีมากขึ้นไปอีก ส่วนรสชาติหลายๆ คนให้ความเห็นว่า "เค็มเหลือเกินพับผ่า"

อันดับ 6 ขนมพายครีบแมวน้ำ ชาวนิวฟาวด์แลนด์กินพายที่มาจากครีบแมวน้ำนั้นถือว่า เป็นสิ่งวิเศษ และต้องกินก็ได้ถ้ามีโอกาส และด้วยเหตุนี้ส่งผลให้แต่ละปีจะมีแมวน้ำมากมายมหาศาลต่างถูกจับตัวขึ้นมา ตัดครีบทั้งสองข้าง จากนั้นก็ถีบลงเรือและปล่อยให้จมน้ำตายในทะเลไปอย่าง น่าสมเพชที่สุด ในภัตตาคารใหญ่ๆ หลายต่อหลายแห่งก็มีเมนูชนิดนี้เปิดขายทั้งแบบปกปิดและเปิดเผย เพราะนานาประเทศยังต่อต้านเมนูนี้อยู่

อันดับ 5 สมองลิงแสนสนุก วิธีการทำและการกินก็ง่าย ก็เอาลิงพันธุ์อะไรก็ได้แล้วแต่มีให้ มาหนีบกับโต๊ะโดยมีส่วนหัวด้านบนโผล่ออกมา จากนั้นพ่อครัวก็ใช้วิชาบาร์เบอร์โกนขนส่วนบนของลิงอ อกจนเกลี้ยงเกลาจากนั้นก็ใช้สิ่วและค้อนเฉาะกะโหลกขอ งลิงออกคล้ายกับกะเทาะมะพร้าวอ่อนและแล้วลูกค้าก็จะรีบตักกินสมองลิงอย่าง รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปสมองลิงจะยุบและลดปริมาณอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งเขาก็เสิร์ฟสมองลิงแบบแช่แข็งไว้ด้วย เพื่อลดภาระสมองลิงหดตัวอย่างรวดเร็วอีกทางหนึ่ง


อันดับ 4 ปลาสองแผ่นดิน เมนูนี้สามารถหากินได้จากประเทศจีนหรือไทยก็ได้ครับ วิธีการทำต้องใช้ฝีมือหน่อย เริ่มจากนำมาเก๋าขนาด 2 ก.ก. มาขอดเกล็ดออกให้หมดแล้วนำมาล้าง ก่อนจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึงพุงปลา แล้วก็ใช้มีดบั้งตัวปลาตั้งแต่ส่วนหางขึ้นมาจนถึงกลา งลำตัว ระหว่างนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปรอให้เดือดเต็ม ที่ แล้วก็นำหางปลาช่วงที่บั้งจุ่มลงไปทอดครึ่งตัว ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียวมาก เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ รอจนเนื้อปลาสุกเป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมาวางบนจานแต่งด้วยเครื่อง ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ อ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้ แต่ครึ่งล่างทอดจนสุก กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและซอสเปรี้ยว โดยคนจีนเชื่อว่าการทานปลาสองแผ่นดินเป็นยาชูกำลังให้กินมากๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงน่ะจะบอกให้ เชื่อไหม



อันดับ 3 อุ้งตีนหมี เป็นอาหารที่นักเปิบมหาภัยชอบมากและเป็นเมนูสุดโหด เพราะการตัดอุ้งตีนหมีนั้น ไม่สามารถตัดขณะที่หมียังมีชีวิตได้ การฆ่าหมีเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหนังหมีจะหนามาก ยากต่อการฆ่า ดังนั้น ผู้ฆ่าจึงจับหมีถ่วงน้ำทั้งเป็นหมีความส่งเสียงร้องดังโหยหวนเมื่อถูกตะขอ เหล็ก เกี่ยวร่างออกจากกรงขัง ไม่กี่นาทีต่อมามันก็ตกอยู่ในความมืดมิด เมื่อถูกกระสอบสวมคลุมร่าง นักท่องเที่ยวจะยืนมองวินาทีสุดท้ายของหมีควายโชคร้ายในถังเก็บน้ำใบเขื่อง ด้วยสายตาเฉยชา หลังจากร่างใหญ่ดิ้นพราดๆ อยู่เพียงครู่ ทุกอย่างก็สงบลง เพชฌฆาตรีบลงมีดเลือดสดๆ ไหลทะลักจากคอหมีลงสู่ถ้วยขนาดย่อม เลือดในถ้วยถูกผสมด้วยเหล้าขาวแล้วเวียนกันดื่ม หลังจากยืนดู การชำแหละอุ้งตีนหมีเสร็จสิ้น นักท่องเที่ยวจึงกลับไปที่โต๊ะ นั่งรออาหารจานเด็ดที่เชื่อว่าจะช่วยทำให้คนแข็งแกร่ งในกามกรีฑา ดุจเดียวกับความแข็งแรงของอุ้งตีนหมี
อันดับ 2 ซุปตัวอ่อนมนุษย์ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงน่ะครับ เมนูนี้เป็นอาหารเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นน่ะครับ มันมีขายอยู่ที่เฉินเซ่น ประเทศจีนการกินตัวอ่อนของมนุษย์ หรือทารกที่เพิ่งคลอดนั้นเป็นความเชื่ออย่างลับๆ ว่า จะช่วยเพิ่มคุณค่าอาหารหลายอย่างในหมู่ชาวจีน นั้นก็คือทำให้ผิวสวยเนียน ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรค และที่เชื่อกันมากก็คือช่วยบำรุงไตได้ดีสำหรับวิธีการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่ แค่เอาเด็กทารกแรกคลอด หรือเด็กที่ตายจากการทำคลอด ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายยิ่งดี(เขาบอกว่ามีคุณค่าทางอาหาร สูง) มาสับ มาเคี่ยวเป็นซุปและใส่เนื้อหมูลงไปเป็นอันเสร็จ……….. รสชาติเหมือนซุปสมุนไพรอย่างไรก็ตามการนำเด็กทารกมาทำตุ๋นยาจีนเป็นอาหารที่ ประเทศจีนนั้น ถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้เมนูนี้ ต้องมีการสั่งเป็นพิเศษ หรือไม่ก็แอบทำให้กับพวกที่อยากรับประทานอาหารแบบพิสดาร แบบนี้


อันดับ 1 เนื้อมนุษย์ ที่ปาปัว นิว กินี และก็มาถึงอันดับหนึ่งของเรา ที่ปาปัว นิว กินี เวลามีใครตายขึ้นไม่ว่าจะเป็นญาติของตน หรือคนต่างเผ่าที่ตกอยู่ในครอบครองของตน เขาจะไม่นำศพไปฝังหรือเผา แต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว ปล่อยให้ศพอยู่ในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองเยิ้มไปทั้งตัวดีแล้ว ก็จะเข้าป่าหาใบไม้ที่เป็นเครื่องเทศเอามาพับเป็นกระทงเล็กๆ (คงอย่างที่เตรียมใบชะพลูจะกินกับเมี่ยง) เหมาะที่จะมีขนาดกินคำเดียว แล้วก็เชิญพรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรง ศพนั้น นำเอาไม้ปลายแหลมแทงศพให้เป็นรู ให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมา นำกระทงใบไม้ที่เตรียมไว้ รองรับน้ำเหลืองนั้น พอได้มากดีแล้วก็กินทั้งน้ำเหลืองและใบไม้กินกันจนไม่มีน้ำเหลืองแล้วก็นำศพ นี้ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กินกันต่อไปแต่ถ้าจะกินมนุษย์ที่สะใจที่สุดต้องยกให้ชนเผ่า โดโบดูรัส นิยมจับเหยื่อที่ล่ามาได ้มากินแบบเป็นๆ นั้นคือต้องทรมานเหยื่อจนใกล้จะตายแต่ไม่ให้ถึงตาย จากนั้นก็เจาะกะโหลกให้เป็นรูลึกๆ เสียก่อน แล้วค่อยสอดไม้เล็กๆ ที่มีปลายแบบชอนเข้าไปตักสมองออกมากิน เหยื่อก็ดิ้นไปดิ้นมา

10 อันดับอาหารและเครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก

1. เครื่องเทศแพงที่สุดในโลก - แซฟฟรอน
แซฟฟรอน เป็นเครื่องเทศที่ได้มาจากเกสรตัวเมีย (สีแดงอมส้ม) ของดอกแซฟฟรอน โครคัส ซึ่งแต่ละดอกจะมีเพียง 3 เกสรเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การที่จะผลิตแซฟฟรอนแห้งให้ได้น้ำหนักเพียง 1 ปอนด์ (0.45 ก.ก.) จะต้องใช้ดอกแซฟฟรอน โครคัส มากถึง 50,000-75,000 ดอก หรือปริมาณมากเท่ากับ 1 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว

ดอกโครคัส พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก อาทิ ประเทศสเปน กรีซ อิหร่าน อินเดีย โมร็อกโก เป็นต้น แต่ประเทศที่ผลิตเครื่องเทศแซฟฟรอนได้มากที่สุดในโลกก็คือ อิหร่าน ซึ่งคิดเป็นส่วนมากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการผลิตทั่วโลก

ประเทศที่นิยมใช้แซฟฟรอนเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้แก่ อิหร่าน และประเทศอาหรับอื่นๆ รวมถึงประเทศในแถบเอเชียกลาง อินเดีย ตุรกี ยุโรป ฯลฯ

ราคาขายส่งและขายปลีกของเครื่องเทศชนิดนี้อยู่ที่ระหว่าง 500-5,000 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งปอนด์ (ราว 17,000-170,000 บาท/0.45 ก.ก) หรือ 1,100-11,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 37,400 - 374,000 บาท/ก.ก.)



2. ถั่วแพงที่สุดในโลก - แมคคาเดเมีย
ถั่วที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คือ ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วชนิดนี้จะให้ผลผลิตต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 7-10 ปีขึ้นไป ซึ่งการปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้นจะต้องหมั่นคอยดูแลใส่ปุ๋ย และปลูกในที่ๆ มีฝนตกชุก

ถั่วชนิดนี้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน โดยมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศออสเตรเลียมากถึง 7 สายพันธุ์ ที่นิว คาเลโดเนีย 1 สายพันธุ์ และ ที่เมืองสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย อีก 1 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่มีความสำคัญและมีมูลค่าในเชิงการค้ามากที่สุดมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ Macadamia integrifolia และ Macadamia tetraphylla ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ และควีนสแลนด์ ของประเทศออสเตรเลีย

ไร่แมคคาเดเมียที่ปลูกขึ้นเพื่อการค้าเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) ในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย อีก 2 ปีต่อมาได้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์แมคคาเดเมียจากออสเตรเลียไปทดลองปลูกที่ฮาวาย และเริ่มมีการปลูกแมคคาเดเมียในเชิงการค้าที่นั่นอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) เป็นต้นมา
นอกจาก ออสเตรเลีย และฮาวายแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ปลูกแมคคาเดเมียเป็นพืชเศรษฐกิจอีก ได้แก่แอฟริกาใต้ บราซิล สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย) คอสตา ริก้า อิสราเอล เคนย่า โบลิเวีย นิวซีแลนด์ และมาลาวี โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก

สำหรับราคาขายของถั่วชนิดนี้จะอยู่ที่มากกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (มากกว่า 1 พันบาท/ก.ก.)



3. ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก - เบลูก้า คาเวียร์
ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก ไม่ได้มีสีดำอย่างที่หลายท่านคุ้นเคย แต่เป็นชนิดที่มีสีเทาอ่อนๆ ไล่ลงมาจนเกือบขาวตามอายุของปลา ยิ่งปลาอายุมากไข่ก็จะมีสีอ่อนลง และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ

ไข่ปลาคาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า "เพชร") ที่ได้มาจากปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000 บาท/ก.ก.) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 - 10,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.)
ปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป อันเป็นพรมแดนของประเทศรัสเซีย อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน และประเทศคาซัคสถาน บางครั้งอาจพบปลาดังกล่าวอาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ นานๆ ครั้งจึงโผล่ให้เห็นบ้างในทะเลอาเดรียติก ปลาชนิดนี้จะถือว่าโตเต็มที่พร้อมให้ผลผลิต (ไข่) เมื่อมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป


4. เห็ดแพงที่สุดในโลก - ทรัฟเฟิลขาว
เห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลกคือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบ Langhe แห่งแคว้นปีเอมอนเต ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในอดีตคนเก็บเห็ดทรัฟเฟิลจะใช้หมูช่วยดมกลิ่นค้นหา แต่ระยะหลังๆ มักนิยมใช้สุนัขมากกว่า เพราะสุนัขจะไม่กินเห็ดเหมือนหมู

เห็ดชนิดนี้มีราคาขายสูงถึง 1,700 - 3,800 ยูโร ต่อ 1 ก.ก. (ราว 82,000 - 183,502 บาท/ก.ก)

เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เห็ดทรัฟเฟิลสีขาว น้ำหนัก 1.08 กก. จากอิตาลี ถูกนายสแตนลีย์ โฮ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจคาสิโนในมาเก๊า ประมูลไปในราคาสูงถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.8 ล้านบาท แต่สถิติเห็ดทรัฟเฟิลขาวราคาสูงสุดที่มีการบันทึกไว้ คือ 330,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งนายสแตนลีย์ โฮ เจ้าเก่า เป็นผู้ชนะประมูลเมื่อปี ค.ศ. 2007

5. มันฝรั่งแพงที่สุดในโลก - La Bonnotte
มันฝรั่งราคาแพงที่สุดในโลก คือ “La Bonnotte” ปลูกได้เฉพาะบนเกาะนีวร์มูทีเยของประเทศ ฝรั่งเศสเท่านั้น แถมปีหนึ่งๆ ยังเก็บเกี่ยวได้เพียง 10 วัน ทั้งยังบอบบางมากเสียจนต้องใช้มือถอน และให้ผลผลิตเพียงปีละ 20,000 ก.ก. ด้วยเหตุนี้มันฝรั่งที่ว่าจึงมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละกว่า 2.3 หมื่นบาทเลยทีเดียว

6. เนื้อแพงที่สุดในโลก - เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น
เนื้อแพงที่สุดในโลก คือ เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น วัววากิวถือเป็นวัวพื้นเมืองที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ชาวญี่ปุ่นจะเลี้ยงดูวัวเหล่านี้อย่างดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการให้หญ้าพันธุ์ดี ธัญพีช ฟาร์มบางแห่งถึงขนาดมีการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้วัว หรือไม่ก็ผสมสาเก หรือเบียร์ ลงไปในอาหาร

เนื้อวัวหลายชนิดที่คนรักเนื้อในบ้านเรารู้จักกันดีอย่างเช่น เนื้อโกเบ และมัตสึซากะ ฯลฯ ก็มาจากวัววากิวเช่นกัน แต่สาเหตุที่เรียกชื่อต่างกันเป็นเพราะว่าเลี้ยงกันคนละเมือง (เนื้อโกเบ มาจากฟาร์มในเมืองโกเบ ส่วนเนื้อมัตสึซากะมาจากฟาร์มในเมือง มัตสึซากะ เป็นต้น)

เนื้อจากวัววากิวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และไขมันต่ำ รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น ราวกับละลายในปาก จึงมีราคาสูงมาก - ที่ยุโรปเนื้อจากวัววากิวน้ำหนักประมาณ 200 กรัม มีราคาขายสูงกว่า 34,000 บาท


7. แซนด์วิชแพงที่สุดในโลก - คลับแซนด์วิช "von Essen Platinum"
นี่คือโฉมหน้าแซนด์วิช "แพงที่สุดในโลก" ฝีมือนายเจมส์ พาร์คินสัน หัวหน้าเชฟของโรงแรมหรู "von Essen" ในเมืองเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากสังเกตุส่วนผสมของแซนด์วิชในโรงแรมหรูห้าดาวทั่วโลกที่เขาได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน เขาจึงคิดรวบรวมส่วนผสมที่ดีที่สุดของแซนด์วิชในแต่ละโรงแรมมาไว้ในอันเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ “von Essen Platinum Club Sandwich” ของเขาจึงกลายเป็นคลับแซนด์วิชแพงที่สุดในโลก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ประกอบด้วยส่วนผสมหลักคือ เนื้อไก่อย่างดี (พันธุ์ poulet de Bresse ของฝรั่งเศส) แฮม Iberian ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฮมหายากคุณภาพเยี่ยมจากประเทศสเปน เห็ดทรัฟเฟิลขาวและมะเขือเทศจากประเทศอิตาลี ไข่นกกระทาต้มสุก และขนมปังที่ผลิตจากแป้งชนิดพิเศษ

แซนด์วิช "von Essen Platinum" ของเชฟพาร์คินสัน จำหน่ายในราคาอันละ 100 ปอนด์ หรือกว่า 5.5 พันบาท ถ้าใครอยากลองทานว่าจะเด็ดสักแค่ไหน ก็ไปพิสูจน์ได้ที่ภัตตาคาร "Cliveden’s Waldo" ของโรงแรม "von Essen"


8. พิซซ่าแพงที่สุดในโลก - พิซซ่า Luis XIII
พิซซ่าที่แพงสุดในโลก คือ พิซซ่า "Louis XIII" ฝีมือเชฟหนุ่มชาวอิตาลีที่ชื่อ "เรนาโต้ วิโอล่า"

พิซซ่า "Louis XIII" มีขนาด 8 นิ้ว ก่อนทำต้องใช้เวลาในการเตรียมแป้งเป็นเวลานานถึง 72 ช.ม. ขณะที่ท็อปปิ้งหรือหน้าพิซซ่าล้วนมาจากส่วนผสมคุณภาพเยี่ยม อาทิ ชีส mozzarella di bufala ไข่ปลาคาเวียร์ 3 ชนิด กุ้งล็อบสเตอร์จาก Cilento (ในอิตาลี) และประเทศนอร์เวย์ โรยหน้าด้วยเกลือสีชมพูที่มาจากแม่น้ำ Murray ในประเทศออสเตรเลีย ฯลฯ
"เรนาโต้ วิโอล่า"
พิซซ่าแพงสุดในโลก "Louis XIII" จำหน่ายในราคาอันละ 8,300 ยูโร หรือเกือบ 4 แสนบาท (ราคานี้รวมค่าตัวเชฟและผู้ช่วยอีก 2 คน ที่จะหอบข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ไปทำพิซซ่าถึงบ้านลูกค้า)


9. ออมเล็ตแพงที่สุดในโลก - ออมเล็ตของภัตตาคาร Le Parker Meridien ในกรุงนิวยอร์ค
"ออมเล็ต" หรือไข่คน แพงที่สุดในโลกหารับประทานได้ที่ภัตตาคาร "Le Parker Meridien" ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

ที่นั่นเขาขายออมเล็ต (ภาพบน) จานละ 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 34,000 บาท ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ได้แก่ ไข่ปลาคาเวียร์ (sevruga) น้ำหนัก 10 ออนซ์ กุ้งล็อบสเตอร์ทั้งตัว และไข่อีก 6 ฟอง เป็นต้น (เขาว่าถ้านำส่วนผสมทั้งหมด มาทำเองที่บ้าน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ราวๆ 700 เหรียญ หรือประมาณ 23,800 บาท)


10. ขนมหวานแพงที่สุดในโลก - ไอศครีม ซันเด ของร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน
ไอศครีมช็อคโกแลตซันเด ถ้วยนี้ ได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสบุ้ค ออฟ เวิล์ด เรคคอร์ด ว่าเป็น "ขนมหวานแพงที่สุดในโลก" มีจำหน่ายที่ร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน กลางกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ด้วยสนนราคาถ้วยละ 25,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 850,000 บาท

“Frrrozen Haute Chocolate” คือ ชื่อของช็อคโกแลต ซันเดแพงระยับถ้วยนี้ ส่วนสาเหตุที่มีราคาแพงเนื่องมาจากไอศครีมมีส่วนผสมของโกโก้พันธุ์ดีและหายากมากๆ จำนวน 28 ผล (ในจำนวนนี้มีอยู่ 14 ผลที่เป็นโกโก้ชนิดแพงที่สุด) และทองคำ 23 เค ชนิดทานได้ น้ำหนัก 5 กรัม

ไอศครีมดังกล่าวจะถูกบรรจุลงในถ้วยทองคำ ที่มีแผ่นทองคำชนิดทานได้รองอยู่ภายในถ้วย นอกจากนี้บริเวณฐานของถ้วยไอศครีมยังตกแต่งด้วยสร้อยทอง 18 เค พร้อมกับเพชรแท้สีขาวอีก 1 กะรัต

เท่านั้นยังไม่พอ ไอศรีมถ้วยนี้ยังถูกแต่งหน้าด้วยวิปครีม โรยทับอีกชั้นด้วยทองคำ ประดับด้วยช็อคโกแลต "La Madeline au Truffle" จากร้าน Knipschildt Chocolatier ที่ขายในราคาปอนด์ละ 2,500 เหรียญ (85,000 บาท/0.45 กก.)

สำหรับช้อนทองที่เห็นในภาพว่าประดับด้วยเพชรสีขาวและสีช็อคโกแลต ลูกค้าสามารถนำกลับไปดูเล่นที่บ้านได้ ... แต่ถ้วยและสร้อยทองคล้องเพชร 1 กะรัตห้ามเอาไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ออกจากร้านแน่นอน

10 อันดับเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก

10.ยอดเขาอันนาปุนะ Annapurna
อยู่ในประเทศเนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,078 เมตร (26,502 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

9. ยอดเขานันกา พาบัท Nanga Parbat
อยู่ในเขตแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,126 เมตร (26,660 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

8. ยอดเขามานาสลู Manaslu
อยู่ในเขตประเทศเนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,156 เมตร (26,758 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

7. ยอดเขาดาอูลากิรี Daulagiri
อยู่ในเขตประเทศเนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,167 เมตร (26,795 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

6. ยอดเขาโช โอยู Cho Oyu
อยู่ในเขตพรมแดนรอยต่อระหว่างจีน-เนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,201 เมตร (26,906 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

5. ยอดเขามาคาลู Makalu
อยู่ในเขตพรมแดนประเทศจีน-เนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,481 เมตร (27,824 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

4. ยอดเขาลอห์ตเซ่ Lhotse
อยู่ในเขตพรมแดนจีน-เนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,516 เมตร (27,939 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

3. ยอดเขาคานเชนจุงก้า Kanchenjunga
อยู่ในเขตพรมแดนอินเดีย-เนปาล แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,598 เมตร (28,208 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

2. ยอดเขา K2 หรือยอดเขากอดวิน อัสเตน Godwin Austen
อยู่ในเขตพรมแดนของแคว้นจัมมูและแคชเมียร์ กับ ประเทศจีน แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,611 เมตร (28,251 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล

1. ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ Everest
ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก คงเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว อยู่ในเขตพรมแดนประเทศเนปาล-จีน แนวเทือกเขาหิมาลัย มีความสูง 8,848 เมตร (29,035 ฟุต) จากระดับน้ำทะเล แต่ปัจจุบัน เนื่องจากภาวะโลกร้อน ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ จะเตี้ยลงปีละ เกือบ 1 ซม.

ความรู้รอบตัว เรื่อง บุคคลในรัตติกาล

โยฮันน์ วอล์ฟกัง ฟอน เกอเทอ (Johann Wolfgang von Goethe)

นักกวีที่โด่งดัง ขนาดเขียนงานแนวโรแมนติกที่ทำให้คนอ่านงานแล้วรู้สึกหมดกำลังใจจนอยากตาย นอกจากนี้นักจิตวิทยา
ได้พยายามวัดไอคิวได้ไม่ต่ำกว่า 210 ซึ่งคนปกติจะอยู่ระดับ 100 เท่านั้น ... สุดยอด

โยฮันน์ กูเทนเบิร์ก (Johann Gutenberg)

เขาสนใจในการพิมพ์ภาพและตัวหนังสือ และได้ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ที่สามารถพิมพ์หนังสือได้อย่างรวดเร็วกว่าการพิมพ์ด้วยมือ
จนได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งการพิมพ์

ปาโบล ปีกัสโซ (Pablo Picasso)

ได้รับการยกย่องเป็นผู้นำด้านเทคนิคจิตกรรมคลาสสิค นอกจากนี้ยังได้คิดค้นศิลปะแบบใหม่ของโลกที่เรียกว่า ยุคบาศก์นิยม(Cubism)

โยฮันน์ เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach)

นักดนตรีแนวคลาสสิค ประพันธ์เพลงทุกประเภทยกเว้นโอเปรา เขียนเพลงทั้งหมด 300 เพลง เพื่อใช้ในพิธีกรรมของศาสนา
คริสต์นิกายโปแตสแตนท์

แกรี คาสปารอฟ (Garry Kasparov)

เป็นนักหมากรุกชาวรัสเซีย ผู้เป็นแชมป์หมากรุกของโลก และเป็นบุคคลแรกที่เล่นชนะคอมพิวเตอร์(โปรแกรม Deep Blue)
ที่สร้างโดยบริษัท IBM

ไมเคิล แจ๊กสัน (Michael Jackson)

เขาสามารถทำยอดขายแผ่นเสียงอัลบั้ม Jackson 5 เป็นอันดับ 1 ตอนที่อายุ 11 ขวบเท่านั้นและกลายเป็นผู้นำแฟชั่นคนใหม่
ทั้งแนวเพลง เสื้อผ้า ท่าเต้น

วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare)

ผู้วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เช่น แฮมเล็ต โรมิโอและจูเลียต และ โอเทลโล ทุกผลงานจะมีการแฝงข้อคิดดีๆ อยู่เสมอ

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (King Alexander)

ได้รับการถ่ายทอดสติปัญญาอันเฉียบแหลมจากอาริสโตเติล และได้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุ 20 ปีและแผ่ขยายอำนาจอย่างกว้างขวาง
ทั้งจักรวรรดิเปอร์เซีย อาณาจักรบาบิโลน และบางส่วนของอินเดียในปัจจุบัน

ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)

เคล็ดลับของเขาคือการใช้ไหวพริบในการสังเกตธรรมชาติและพยายามทำความเข้าใจกับมัน และเมื่อไปศึกษาสิ่งมีชีวิตที่หมู่เกาะกาลา-
ปากอส และได้จัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตจนเกิดทฤษฎี วิวัฒนาการสมัยใหม่ และได้ลงตีพิมพ์ลงในหนังสือ The Origin of Species

พระเจ้าเฮนรีที่ 4 (King Henry IV)

ทรงเป็นผู้ยุติสงครามศาสนาของนิกายโปแตสแตนท์และโรมันคาทอลิก

วีกเตอร์-มารี อูโก (Victor Marie Hugo)

อัจฉริยะแห่งการแต่งกลอน บทกลอนที่มีคำประพันธ์ที่สวยงาม บางเรื่องก็ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เช่น คนค่อมแห่งนอเทรอดาม
(The Huncback of Notre Dame)

วอล์ฟกัง อามาเดอส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart)

โมซาร์ทเล่นดนตรี(ฮาร์ปซิคอร์ด)มาตั้งแต่อายุ 4 ขวบและแต่งเพลงเองตั้งแต่ 5 ขวบ รวมทั้งชีวิตผลิตงานเพลงได้ 700 เพลง
เช่น Don Giovanni และ Die Zauberflote

มารี กูรี (Maria Sklodowska-Curie)

เธออุทิศชีวิตในการทำงานและการทดลองในการทดลองหาธาตุเรเดียม ซึ่งมีการปลดปล่อยรังสีออกมาตลอดเวลา จนได้รางวัลโนเบลฟิสิกส์
นับเป็นหญิงคนแรกที่ได้รางวัลโนเบล

สตีเวน สปีลเบิร์ก (Stephen Spielberg)

พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์ เขาถ่ายทำภาพยนตร์ตั้งแต่อายุ 13 ปีด้วยความหลงใหลในภาพยนตร์ และมีผลงานมากมายที่สร้างชื่อ
เช่น อินเดียน่าโจนส์ทุกภาค E.T. หรือ จูแลสสิก ปาร์ก ที่เป็นการคืนชีพไดโนเสาร์อย่างสมจริงและตื่นเต้น นั้นยังประทับใจอย่าง
ไม่มีวันลืม

พระนางคลีโอพัตรา (Cleopatra)

ราชินีแห่งอียิปต์ ที่เฉลียวฉลาดรู้ทันคน พูดได้หลายภาษา สร้างห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย เป็นนักการเมืองที่น่าเกรงขาม และพยายาม
ฟื้นฟูอำนาจของฟาโรห์แห่งอียิปต์

นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)

ด้วยสมองที่ชาญฉลาดและความตั้งใจในการทำงานและฝึกซ้อมทหาร ทำให้ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เมื่ออายุได้ 35 ปี
และได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุคนั้นทีเดียว

พระเยซู (Jesus)

แม้ประวัติและการประสูติยังไม่ชัดแจ้ง แต่ก็ถูกกล่าวขานในนามผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ และมีคำสอนที่บรรดาสาวกได้รวบรวมและ
เขียนไว้ให้คนทั่วโลก(ที่นับถือศาสนาคริสต์)ยึดถือและศรัทธา

หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)

เขาคิดค้นและทราบว่าเมื่อทำให้จุลินทรีย์มีกำลังอ่อนลง สามารถนำไปผสมกับตัวยาและนำไปฉีดเข้าร่างกายเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันโรคได้
ที่เรารู้จักดีในนาม วัคซีน นั่นเอง ผลงานอันโดดเด่นคือ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า นอกจากนี้ยังคิดค้นการถนอมอาหารแบบปาสเตอร์ด้วย

ซีเนอดีน ซีดาน (Zinedine Zidane)

ผู้ที่นำทีมชาติฝรั่งเศสเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1998 ด้วยฝีมือและเทคนิคการเล่นฟุตบอลที่ชาญฉลาด และในปีเดียวกันนั้นก็ได้
รับคัดเลือกเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของวงการลูกหนังเลยทีเดียว

เลโอนาร์โด ดา วินซี (Leonardo Da Vinci)

นักวาดฝีมือมหัศจรรย์ เช่น โมนาลิซา หรือ ภาพอาหารเย็นมื้อสุดท้ายของพระเยซู (ที่ถูกนำมาใช้ในหนังเรื่อง Davinci Code)
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ใฝ่รู้ทางวิทยาศาสตร์และด้านอื่นๆ อีกมากมาย แต่ทั้งหมดของงานเขาเขียนด้วยลายมือทั้งสิ้น

เจ.อาร์.อาร์.ทอลคีน (J.R.R. Tolkien)

นักเขียนวรรณกรรมเรื่อง อภินิหารแหวนทองคำ (The Lord of the rings) นั่นเอง ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว 3 ภาค

แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)

ปี ค.ศ. 1921 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และการค้นพบสิ่งที่เป็น
ประโยชน์ต่อวงการฟิสิกส์นั่นคือ สมการสั้นที่รู้จักกันดี E=mc2

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวอะกร้า

1 ทศวรรษไวอากร้า

ยาเม็ดสีฟ้าที่ชาวโลกรู้จักในชื่อ "ไวอะกร้า" เพิ่งฉลองอายุครบ 10 ปีไปเมื่อเร็วๆ นี้ เพจ คิลโปเนน เขียนบทความ "ไวอา กร้ากับสิ่งที่ตามมา" ตีพิมพ์ใน "สรรสาระ" ฉบับพ.ย.บอกว่า การค้นพบยาไวอากร้าเมื่อปลายทศวรรษ 1990 ก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่ออุตสาหกรรมยาอย่างมากมาย

แม้จะช่วยแก้ปัญ หาเพศสัมพันธ์แก่ผู้ชายหลายล้านคนทั่วโลก แต่ยาไวอา กร้าส่งผลข้างเคียง เช่น สายตาบกพร่อง, เห็นแสงวาบสีฟ้าในดวงตา, หูหนวก, หัว ใจวาย, คัดจมูก, วิงเวียน และเป็นลม ผลข้างเคียงบางอย่างยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจน แต่ผลข้างเคียงเชิงสังคมหลายเรื่องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไวอะกร้า

- มีผู้ชายประมาณร้อยละ 20 ใช้ยาไวอากร้าไม่ได้ผล

- ยาไวอากร้าออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด นักกีฬาจึงใช้ยาชนิดนี้เพื่อหวังผลเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายโดยไม่ผิดกฎหมาย

- แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันชัดเจนว่า ยาไวอะกร้าทำให้เกิดภาวะหัวใจพิบัติ แต่การใช้ยาชนิดนี้ร่วมกับยากลุ่มไนเตรตเพื่อรักษาอาการปวดเค้นอก (จากโรคหัวใจขาดเลือด) อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

- ยาไม่ได้ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวทันทีหรือต่อเนื่อง ยาหนึ่งเม็ดออกฤทธิ์นานประมาณ 4-6 ชั่วโมง และการแข็งตัวจะเกิดขึ้นหลังได้รับการกระตุ้นเท่านั้น

- กล่าวกันว่า ไวอากร้าเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นเช่นกัน

- ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ นายแบบแผ่นภาพโฆษณายาไวอากร้า เคยกล่าวถึงยาชนิดนี้ว่า "ยาช่วยปลดปล่อยความต้องการทางเพศของผู้หญิง แต่ผมคิดว่า ช่วยปลดปล่อยผู้ชายเช่นกัน"

- หลังทุ่มเทศึกษาอยู่นาน ในที่สุดบริษัทไฟเซอร์ยกเลิกความพยายามจะพิสูจน์ว่า ไวอากร้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศของผู้หญิง เนื่องจากค้นพบว่าชายและหญิงมีพื้นฐานการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่แตกต่างกัน

- เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ในประเทศจีนทดลองใช้ยาไวอากร้ากับแพนด้าเพศผู้เพื่อยืดระยะเวลาการผสมพันธุ์จากเฉลี่ย 30 วินาทีให้กลายเป็น 20 นาที โดยหวังจะเพิ่มโอกาสติดลูก

ทุกวันนี้ บริษัทไฟเซอร์ผู้คิดค้นและผลิต จำหน่ายไวอากร้าแก่ผู้ชายทั่วโลกไปแล้วประมาณ 35 ล้านคน และมียอดจำหน่ายเมื่อปีที่แล้วสูงถึง 2,280 ล้านเหรียญ

10 อันดับพืชพรรณ์ที่หายาก

10.Lunaria annua


รายละเอียด : ยังไม่ได้ครวจสอบลายละเอียด

9.Strangler fig

รายละเอียด : Strangler fig คือกาฝากชนิดหนึ่ง เป็นไม้เถาวัลย์อาศัยดูดซับสารอาหารจากต้นไม้อื่นและ เจริญเติบโตขึ้นอย่าง ช้าๆ เหมือนกาฝาก แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก พอๆกับต้นที่มันเกาะอาศัยอยู่ทีเดียว รากของมันไม่ได้แค่เกาะไปกับต้นไม้ที่มันอาศัย แต่จะพันรัดไปรอบทั้งลำต้นเลยทีเดียว จนในที่สุดโอบรัดต้นไม้ใหญ่และสังหารต้นที่มันอาศัยเ สีย เมื่อตัวมันเติบโตเต็มที่ ทำให้ได้ฉายา Strangler (สแทรงเกลอร์ฟิก) หรือนักบีบรัด นั่นเอง ที่จริงพฤติกรรมโหดๆแบบนี้ ไม่น่าหายาก หรือใกล้สูญพันธ์เลยนะครับ

8.Tacca chantrieri

รายละเอียด : Tacca chantrieri เป็นไม้จำพวก Black Lily ที่เรามาประดับบ้าน มีชื่ออื่นๆอีกเช่น ว่านหัวฬา ว่านพังพอน (ยะลา) ว่านนางครวญ (นครศรีธรรมราช) และค้าวคาวดำ ลำต้น เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก ขอบขนานแผ่ใบกว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 20-60 เซนติเมตร ปลายและโคนแหลม ก้านใบค่อนข้างเล็ก กลม ยาวประมาณ 1 คืบ เส้นใบคล้ายใบกล้วย แต่ร่องลึกและแคบกว่า ดอกมีสีม่วงดำคล้ายหัวค้างคาว กลีบเหมือนหูโตๆ ใบประดับกลมยาวเหมือนหนวดแมว สีม่วงดำ 10-25 เส้น เกิดในป่าดงดิบชื้น สูง 500-1500 เมตร

7.Rafflesia arnoldii

รายละเอียด : Rafflesia arnoldii ถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 70-80 เซนติเมตร เป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยกินน้ำเลี้ยงจากรากและลำต ้นของไม้เถาที่ชื่อว่า ย่านไก่ต้ม ( Tetrastigma papillosumplanch ) จะโผล่เฉพาะดอก ซึ่งเป็นดอกเดี่ยวสีแดงคล้ำหรือน้ำตาลปนแดงคล้ำ ขึ้นมาจากพื้นดินในระหว่างฤดูฝนหรือในระยะที่อากาศแล ะพื้นดินยังมีความชุ่ม ชื้นสูงคือระหว่างเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม ยามที่มันออกดอกสีปูนแดงสดใสอยู่กลางป่าดิบเขียวชอุ่ มนั้น ถือเป็นภาพที่น่าตื่นตามาก บัวผุดหรือที่ชาวบ้านทางภาคใต้ของไทยเรียกว่า "บัวตูม" จริงๆแล้วเป็นพืชกาฝาก ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยอาศัยอยู่ในรากและลำต้นของเถา ไม้เลื้อยวงศ์องุ่นป่า ชื่อ "ย่านไก่ต้ม" โดยบัวผุดจะอาศัยดูดกินแร่ธาตุและน้ำจากย่านไก่ต้ม โดยต้นแม่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเราจะเห็นบัวผุดได้ก็เฉพาะยามเมื่อมันต้องการผสมพ ันธุ์กัน คือ จะเริ่มมีตาดอกเป็นปุ่มกลมเล็กๆ โตขึ้นที่ผิวของย่านไก่ต้ม แล้วใช้เวลา 9 เดือน ขยายขนาดจนเท่ากับหัวกะหล่ำยักษ์ จากนั้นก็ใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ในรอบปีให้ดอกบาน ทว่าดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกันอยู่ จึงต้องได้เวลาเหมาะเหม็งมากในช่วงเวลาบาน แมลงวันจึงจะช่วยผสมเกสรให้ได้ จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการสูญพันธุ์
ในเมืองไทยจะพบบัวผุดได้ตั้งแต่คอคอดกระ จังหวัดระนอง เรื่อยลงไปตามแนวเทือกเขาภูเก็ต จนสุดชายแดนที่นราธิวาส โดยอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นแหล่งชมบัวผุดแหล่งใหญ่ที่สุด มีบัวผุดทยอยบานให้ชมทั้งปี แต่เป็นที่นิยมไปชมกันมากในฤดูแล้งช่วงเดือนพฤศจิกาย น- เมษายน เพราะเดินป่าง่าย แต่เขาสกก็ได้ผ่านบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้วจากอดีต ในการสูญเสียบัวผุดที่ควนลูกช้าง เพราะในอดีตยังขาดความเข้าใจในชีวิตอันเปราะบางของมั น จึงมีผู้แห่กันไปชมบัวผุด โดยมีการเหยียบย่ำเถาย่านไก่ต้ม เหยียบย่ำดอกอ่อน และเหยียบย่ำตาดอกขนาดเล็กที่เพิ่งผุดขึ้นมา (โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์) ทั้งนี้เพื่อเข้าไปชมและถ่ายรูปกับดอกบัวผุดให้ใกล้ช ิดที่สุด ส่งผลให้บัวผุดตาย และสาบสูญไปจากควนลูกช้าง แม้ปัจจุบันบัวผุดบริเวณกิโลเมตรที่ 111 และที่เขาสองน้องก็มีจำนวนดอกลดน้อยลง และขนาดดอกในรอบ 2 ปี (พ.ศ. 2545-2546) ที่ผ่านมาก็เล็กลงจนน่าตกใจทีเดียว อุทยานแห่งชาติเขาสก และทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เล็งเห็นความเร่งด่วนของสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้ออกมาตรการป้องกันรักษาดอกบัวผุด โดยออกสำรวจ เมื่อพบดอกใกล้บานจะทำการล้อมรั้ว ติดป้ายห้ามเข้าใกล้ดอก และสร้างสะพานไม้ยกระดับให้ยืนชมดอกอยู่ห่าง ๆ บนสะพานไม้ ไม่ให้มีการลงไปเหยียบย่ำพื้นดินหรือเถาย่านไก่ต้มอี กต่อไป นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านเป็นไกด์ท้องถิ่นพานั กท่องเที่ยวเข้าชมบัว ผุด เพื่อให้เกิดรายได้แก่ชุมชนอันจะนำมาซึ่งความรัก ความเข้าใจ ความหวงแหน และการอนุรักษ์แหล่งชมดอกบัวผุดได้อย่างยั่งยืนตลอดไ ป

6.Drosera capensis

รายละเอียด : Drosera capensis เป็นพันธุ์หนึ่งของไม้ประเภท หยาดน้ำค้าง เพราะที่ขนบนใบจะมีตุ่มอยู่บนยอดคล้ายน้ำค้างเกาะ ที่เมืองไทยเราพอมีเลี้ยงกันอยู่จะเป็น species - Drosera binata ที่เรียกกันว่า "หยาดน้ำค้างใบส้อม" หรือ “หยาดน้ำค้างเขากวาง” มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และสามารถทนอุณหภูมิได้ค่อนข้างสูง จนนิยมจัดไว้ในกลุ่มไม้เมืองร้อน โดยไม่ทิ้งใบเลยทั้งปี

5.Venus flytrap

รายละเอียด : Venus flytrap ฉายาเทพธิดาดักแมลง เป็นพวกพืชกินแมลง ต้นนี้มีสีสันสวยงามกว่าพันธุ์อื่น เมืองไทยเราเรียก กาบหอยแครง เจ้า venus flytrap นี้ ต้นกำเนิดของมันอยู่ที่อเมริกาเท่านั้น และจะพบมันได้ใน 2 รัฐเท่านั้น คือทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ North carolina และทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ south carolina เท่านั้น venus flytrap จะมีการพักตัวด้วยเมื่อถึงฤดูหนาว วิธีการดักแมลงกันของมัน จะใช้บริเวณกาบนี่แหละที่จะงับแมลงได้ เมื่อแมลงบินมาเกาะที่กาบเพื่อกินน้ำหวานที่ผลิตออกม าจากต่อมน้ำหวาน ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินกับการบริโภคอยู่นั่นเอง ตัวของมันก็จะบังเอิญไปสัมผัสกับขนเล็กๆ ที่อยู่บริเวณด้านในกาบ ในเวลาไม่ถึงวินาที กาบก็จะปิดลงทันที เมื่อแมลงยิ่งดิ้นกาบก็จะงับแน่นขึ้น แน่นขึ้น หลังจากหุบไปหลายวัน เพื่อย่อยเหยื่อ แล้วเจ้ากาบใบนั้นก็จะค่อยๆ เปิดออกเพื่อต้อนรับแมลงตัวใหม่ที่จะมาเยือนอีกครั้ง venus flytrap เป็นที่นิยมมากในหมู่นักเล่นไม้กินแมลงเมืองไทย

4.Aigrette

รายละเอียด : Aigrette มีฉายานกกระสา มีลักษณะต้นและดอกคล้ายดอกหญ้า เพราะดอกของมันดูคล้ายฝูงนกที่กำลังโบยบิน

3.Nepenthes Tanax

รายละเอียด : Nepenthes Tanax เป็นพวกหม้อข้าวหม้อแกง พันธุ์หนึ่ง หม้อข้าวหม้อแกงลิง (Nepenthes) เป็นพืชกินแมลงประเภทหนึ่ง เนื่องจากเราสามารถพบเห็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้ไม่ยา กนัก ประกอบกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงมีสายพันธุ์ (Species) อยู่ประมาณ 90 กว่าชนิด ทั่วโลก ตามเขตโซนร้อนทั่วไป โดยเฉพาะบนเกาะบอร์เนียวพบถึง 30 กว่าชนิด
ส่วน ที่เป็นหม้อ(Pitcher) ของต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง คือ เครื่องมือหรือกับดักที่ใช้หลอกล่อ เหยื่อที่เป็นสัตว์ หรือแมลง สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ให้เดินเข้าหากับดัก โดยอาศัยกลิ่นเลียนแบบของเหยื่อ ที่อาจเป็น น้ำหวาน กลิ่นแมลงตัวเมีย หรือสีสันที่สะดุดตาบวกกับกลิ่นที่เย้ายวนเร้าใจ ที่จะเป็น เครื่องดึงดูดเหล่าสัตว์หรือแมลงทั้งหลาย มาสู่กับดักมรณะนี้ ด้านในและใต้ส่วนที่งุ้มโค้งของปากหม้อ (peristome หรือ lip) เป็นส่วนที่สร้างน้ำหวาน เมื่อเหยื่อหลงเข้ามาตอมน้ำหวานบริเวณปากหม้อที่ถูกเ คลือบด้วยสารที่มี ลักษณะมันลื่น ประกอบกับผิวเป็นคลื่นตามแนวลงภายในหม้อ เหยื่อจึงมีโอกาสลื่นพลัดตกลงไป ในหม้อ ได้อย่างง่ายดาย และภายในหม้อจะมีน้ำย่อยอยู่

2.Dracunculus vulgaris


รายละเอียด : Dracunculus vulgaris ต้นและใบลายๆ คล้ายต้นบุกของเราแต่เป็นคนละสายพันธุ์ มีอีกชื่อว่า Voodoo Lily หรือ Dragon Lily เป็นดอกไม้ รูปทรงแปลกๆ อย่างกับใบไม้ยักษ์

1.Amorphophallus titanum ( titan arum)

รายละเอียด : Amorphophallus titanum ( titan arum) มีขนาดดอกใหญ่ที่สุดในโลกอย่างหนึ่ง รองจากดอกบัวผุด ภายในโคนดอก ประกอบด้วยดอกเล็กๆ จำนวนมากอยู่ภายใน โดยดอกตัวผู้อยู่ด้านบนของดอกตัวเมีย กล่าวได้ว่าดอก Titan Arum เป็นดอกรวมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ดอกเดี่ยวใหญ่ที่สุดในโลก คือดอกบัวผุด) มีต้นใบเดี่ยวใหญ่มากเช่นกัน ดอกของมันจะสูงถึง 3 เมตร กลีบของดอกไม้ศพด้านนอกเป็นสีเขียว ส่วนด้านในเป็นสีแดงอมม่วง มีช่อดอกสูงชะลูดห่อหุ้มเกสร ดอกที่ทั้งใหญ่และเหม็นมากนี้ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ดอกไม้ศพ
Amorphophallus titanum เป็นพืชในเขตป่าร้อนชื้น ในพืชตระกูล "บัวผุด" (Rafflesia) เป็นดอกไม้เดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช พบขึ้นอยู่บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ลำพังตัวช่อดอกแทงยอดตั้งขึ้นไปกว่า 3 เมตร เรียกว่าสูงกว่าคนเสียอีก เป็นธรรมชาติที่พืชสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากส ัตว์บางชนิด ขณะเดียวกัน กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่หึ่งไปทั่ว กลับเย้ายวนแมลงบางชนิดให้มาดูดน้ำหวาน และผสมเกสรให้มัน กล่าวกันว่ากลิ่นของดอก Amorphophallus titanum คล้ายกับเนื้อเน่าสำหรับคน แต่กลับเป็นกลิ่นหอมยั่วน้ำลายแมลงเต่าที่ชอบกินของเ น่าและแมลงวันให้มาช่วย ผสมเกสร กลีบดอกสีแดงเข้มยังช่วยลวงตาให้สัตว์นึกว่าเป็นก้อน เนื้อขนาดใหญ่น่าตอม ด้วย

Titan Arum หรือ บุกยักษ์ มีถิ่นกำเนิดเพียงแห่งเดียวในโลก ในป่าดิบชื้นพื้นล่างในเกาะสุมาตราตอนกลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus titanum อยู่ในวงศ์ Araceae ชื่อวิทยาศาสตร์แปลเป็นภาษาไทยได้ความหมายว่า ต้น "ลึงค์ยักษ์แปลง" คือแปลงกายให้เหมือนลึงค์แต่ไม่ใช่ลึงค์ ในเมืองไทย มีสวนนงนุชได้นำเข้ามาจากสวนพฤกษศาสตร์โบกอร์ (Bogor the botanic garden) ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อมาทดลองปลูกภายในสวนเมื่อห้าปีก่อน แต่หลังจากบุกยักษ์ออกดอกเป็นครั้งแรกแล้ว นักพฤกษศาสตร์ไม่อาจตอบได้ว่า อีกกี่ปีบุกยักษ์ต้นนั้นจึงจะออกดอกอีกครั้งหนึ่ง

10อันดับชายหาดที่สกปรกที่สุดในโลก สกปรก.!!!

อันดับ 10
หาด "Blackpool" ประเทศอังกฤษ

ชาย หาด Blackpool ถึงแม้ว่าหาดแห่งนี้จะมีรีสอร์ทริมทะเลชื่อดังอยู่หลายแห่ง แต่ก็ยังคงมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากบริเวณโดยรอบชายหาด Blackpool เป็นศูนย์รวมบาร์เครื่องดื่มราคาถูก ที่มีอยู่มากถึง 130 แห่ง ทำให้มักมีบรรดาวัยรุ่นขี้เมา มาขว้างปาขวดแก้ว หรือคอยกลั่นแกล้งข่มขู่เด็กๆ และผู้หญิง ทั้งยังมีเหตุทะเลาะวิวาท ชกต่อยบ่อยๆ


อันดับ 9
หาด "Odaiba" ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ชาย หาด Odaiba เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีมลพิษ และสารปนเปื้อนในน้ำเกินมาตรฐานความปลอดภัย เป็นเหตุให้ทางการต้องนำป้ายมาปักเตือนนักท่องเที่ยวว่าห้าม ลงเล่น หรือแม้แต่เดินลุยน้ำโดยเด็ดขาด และถ้าจะให้ดีควรสวมหน้ากากอนามัยขณะ มาเดินเล่นริมชายหาดแห่งนี้ด้วย

อันดับ 8
หาด "Doheny" ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ชาย หาด Doheny ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะได้รับการขนานนามว่าเป็นชายหาดที่มีมลพิษมากที่สุดใน สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน จนต้องนำป้ายมาปักเตือนนักท่องเที่ยวว่าห้ามลงเล่นน้ำ เพราะจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่เพียงชายหาดแห่งนี้เท่านั้น แต่ที่แคลิฟอร์เนียยังมีชายหาดอีกหลายแห่งที่มีค่ามลพิษเกินมาตรฐานความ ปลอดภัยอีกด้วย

อันดับ 7
หาด "Repulse"ที่ฮ่องกง
ชาย หาด หรืออ่าว Repulse ถูกขนานนามว่าเป็นอ่าวที่สุดแสนโสโครก เต็มไปด้วยมลพิษจากสิ่งก่อสร้างของโครงการต่างๆ นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้เกิดการแพร่กระจายของสาหร่าย "red tide" ซึ่งเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวที่มีพิษ ทำลายระบบนิเวศน์ และมีกลิ่นเหม็น ทั้งยังทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีอีกด้วย

อันดับ 6
หาด "Port Phillip Bay" ในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
ชาย หาด Port Phillip Bay ไม่เพียงแค่สกปรกอย่างเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยเศษแก้ว และเข็มฉีดยาของบรรดาวัยรุ่นขี้ยาที่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า และเมื่อปีที่แล้วทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่ ลงพิ้นที่บูรณะทำความสะอาดครั้งใหญ่กับชายหาดแห่งนี้ และพบว่าบริเวณริมหาดนั้นมีขยะมากมายเป็นจำนวนมากถึง 1 พันตันทีเดียวเชียวละ

อันดับ 5
หาด "Haina" ที่สาธารณรัฐโดมินิกัน
ชาย หาด Haina ถ้าเพื่อนๆ ลงไปดูภาพทางด้านล่างแล้ว คงไม่สงสัยว่าทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงได้อันดับ 5 แห่งชายหาดยอดแย่! เพราะพื้นที่ในแถบนี้ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่พักพิงให้ทิ้งขยะ และของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่สกปรกที่สุดในโลก


อันดับ 4
หาด "SEMINYAK" บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ชาย หาด Seminyak จากผลวิจัยของนักนิเวศน์วิทยากล่าวว่า ปัจจุบัน "บาหลี" กำลังประสบปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหามลพิษทางน้ำ ของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และสิ่งปฏิกูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก

อันดับ 3
ชายหาด "Marunda" ในเมืองจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย
แทบ ไม่น่าเชื่อสายตาหากได้เห็นภาพด้านล่าง กับการเพลิดเพลินของเด็กๆ ที่กำลังเก็บเศษขยะพลาสติกในน้ำคลำ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นน้ำทะเลของชายหาด Marunda แต่รู้หรือไม่ว่า...? ถึงแม้น้ำทะเลของชายหาดแห่งนี้จะสกปรกม๊ากมาก... แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในประเทศ อินโดนีเซีย

อันดับ 2
ชายหาด "Goa" ประเทศอินเดีย
ชาย หาด Goa ท่ามกลางชายหาดแห่งนี้ นอกจากคนที่มานอนอาบแดดแล้ว ยังคงมีสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่ก็ชอบอาบแดดเหมือนกัน นั่นก็คือ ฝูงวัวศักดิ์สิทธิ์ ที่คนท้องถิ่นเลี้ยงไว้ และปล่อยให้มันเดินเล่นริมชายหาดตามสบาย เอ๊ะ... มันจะเหมือนกับ 'ม้า' ตามชายหาดบ้านเราหรือเปล่านะ


และ อันดับ 1 ได้แก่
ชายหาด "Chowpatty" ที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย
ชาย หาด Chowpatty สมคำล่ำลือจริงๆ ในเรื่องขึ้นชื่อแห่งความสกปรก เต็มไปด้วยขยะ และมลพิษ แถมยังขาดการดูแลเอาใจใส่อีกด้วย ก็เรียกได้ว่ากลายเป็นอันดับ 1 ของชาดหาดยอดแย่! ไม่น่าเที่ยวที่สุดในโลกไปเลย เป็นไงกันบ้างค่ะเพื่อนๆ เห็นกันไปแล้วกับ 10 อันดับชายหาด ยอดแย่! ไม่น่าเที่ยวที่สุดในโลก ซึ่งไม่ก็ไม่น่าจะไปเที่ยวจริงๆ และเราหวังว่า หากเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลคราวหน้าคงไม่ทิ้งขยะ หรือเศษแก้วกันริมหาดของทะเลบ้านเรา เพื่อชายหาดบ้านเราจะได้ไม่กลายไปติดหนึ่งใน 10 ของอันดับชายหาดยอดแย่กับเขา จนไม่มีใครกล้าไปเที่ยว!!!

10อันดับชายหาดที่สวยที่สุดในโลก

อันดับ 10 : เกาะมิโคนอส (MYKONOS ISLAND, GREECE)
เปลือย กาย อาบแดด สำหรับที่นี่ธรรมดามาก ๆ เพราะเกาะแห่งเทพเจ้านี้ คือใบผ่านสู่สวรรค์ชั้นยอด ชายหาดถึง 27 หาดในหมู่เกาะกรีก (GREEK) ที่ไม่ยอมให้ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเข้ามา แทนที่อย่างเด็ดขาด ที่นี่มีเสียงเพลง บาร์มากมาย คุณสามารถเต้นรำ ว่ายน้ำ แต่งตัวสวย ๆ อะไรก็แล้วแต่ ที่คุณอยากทำภายในเรือที่ชื่อว่า พาราไดซ์ บีซ (PARADISE BEACH) มันแล่นไปรอบ ๆ คุณจะมีความสุขที่สุดในปาร์ตี้ที่ไม่อยากจะลืม เสียงแห่งความสนุก อาจกระตุ้นอารมณ์คุณจน อดใจไม่ไหวที่จะไปร่วมสนุกกันที่ เกาะมิโคนอส ในหมู่เกาะกรีกเข้าให้แล้ว


อันดับ 9 : หาดแค็บเบจ (CABBAGE BEACH PARADISE ISLAND, BAHAMAS)
ยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับชายหาดในฝันที่ติดอันดับโลก หาดนี้ คือตำนานความสุขของครอบครัว ที่นั่นมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ทำ ทั้งว่ายน้ำ ดำน้ำ เล่นเจ็ทสกี หรือโดดร่ม กิจกรรมทุกอย่างที่ความเบื่อหน่ายจะไม่กระทบต่อความคิดคุณ และเมื่อพูดถึงที่พักต้องหมายถึงที่เดียวเท่านั้น รีสอร์ทแอตแลนติส (ATLANTIS RESORT) ที่นำความแปลกใหม่มาสู่การพักผ่อน แหล่งท่องเที่ยวใต้น้ำ เดอะ ดิ๊ก (THE DIG) ทำให้เด็ก ผู้ใหญ่ หรือทุกเพศทุกวัยดูสดใสขึ้นอีกครั้ง

อันดับ 8 : หาดป่าตอง (PATONG BEACH PHUKET, THAILAND)
สู่บรรยากาศกลางแสงแดดจ้ากันสักหน่อย ดีกว่าไปทำอะไรที่เสียเวลา ด้วยอุณหภูมิความร้อนระอุ หาดป่าตอง คือเพชรเม็ดงามของเมืองไทย หาดทรายสีขาวเนียนนุ่ม น้ำทะเลใส ๆ บริการที่คอยเอาอกเอาใจ รวมกับกิจกรรมสนุกที่คุณสุดเหวี่ยงได้เต็มที่ คุณจะได้สัมผัสความเร่าร้อน และตื่นตาตื่นใจ ไปกับความสะดวกสบาย ทุกอย่างที่ หาดป่าตอง มอบให้แด่คุณ


อันดับ 7 : หาดใต้ (SOUTH BEACH MIAMI, FLORIDA, USA)
ชายหาดแห่งความเซ็กซี่ทั้งยามกลางแจ้ง และมืดมิด วัน ๆ หนึ่งคุณจะพบกับความสุขได้ทั้งวัน เพราะเสน่ห์ที่จับใจ หาดใต้ คือศูนย์รวมของพวกคนรักชายหาด ไม่เฉพาะแต่ชายหาดสำหรับแสดงศิลปะ และสุนทรียภาพเท่านั้น โอเชี่ยน อเวนิว (OCEAN AVENUE) เป็นที่ของศิลปินศูนย์รวมอาร์ต เด็คคอ อิสทอริค ดิสทริก (ART JDECO HISTORIC DISTRICT) จากทั่วทุกแขนง ยามกลางคืนที่มืดมิดหาดใต้ คือจุดนัดพบที่ไนท์คลับ แหล่งท่องราตรีที่คุณจะปลดปล่อยทุกสิ่งแล้วลื่นไหลไปกับมัน

อันดับ 6 : เกาะเฟรสเซอร์ (FRASER ISLAND QUEENSLAND, AUSTRALIA)
ท่ามกลางทิวเขาลำเนาไพร สถานที่ที่จะพบหาดธรรมชาติที่คุณเสาะหา เกาะสวรรค์ที่ความงดงาม อยู่เบื้องหน้า คือจุดหมายของเรา เกาะเฟรสเซอร์ สภาพความสมบูรณ์ของระบบนิเวศวิทยา ป่าฝนที่น่าทึ่ง ชายหาดสีขาวบริสุทธิ์ ทะเลสาบน้ำจืดใจกลางเกาะ มันถูกรวมเข้ากับความเป็นธรรมชาติ การมาที่นี่ของคุณจะเป็นการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทั้งความสุขที่ ให้คุณได้ดื่มด่ำ กิจกรรมที่มากชนิด ทัศนียภาพที่ปรากฏในตาคุณ คุณจะรู้ว่าการอยู่ กับธรรมชาตินั้นดีเพียงใด


อันดับ 5 : หาดลาร์วอตโต้ (LARVOTTO BEACH, MONTE CARLO, MONACO)
เรากำลังเหยียบย่ำอยู่บนหาดที่มีค่าดั่งเพชรนิลจินดา หาดลาร์วอตโต้ หาดเศรษฐี และคนดัง ที่นี่เป็นเหมือนที่ชุมนุมคนรวย สิ่งที่ผู้คนสวมใส่ รูปร่าง หน้าตา สไตล์การแต่งตัว การวางตัวของพวกเค้า ไม่เลยที่คุณจะดูด้อยกว่าคนอื่น คุณมานี่เพื่อใช้เงิน คุณจะไม่ใช้เงินได้หรือถ้ามีมอนติคาร์โล โรงแรม 5 ดาว ไนท์คลับ อาหารเต็มไปหมดรายล้อมคุณอยู่ เอาน่าเมื่อเงินซื้อความสุขได้ คุณก็ควรยอมแลกมันกับ ความคุ้มค่าด้วยการพักผ่อนที่หาดลาร์วอตโต้ ดีกว่าเยอะ

อันดับ 4 : แกรนด์ คูล เดอ แซค (GRAND CUL-DE-SAC, ST. BARTS FRENCH WEST INDIES)
เสน่ห์ของมันถูกซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด เมื่อธรรมชาติกับความสวยงามรวมเป็นหนึ่งเดียว แกรนด์ คูล เดอ แซค จึงเป็นชายหาดที่นักท่องเที่ยว อยากเข้าไปสัมผัส ด้วยความที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หรือเดินทางมาถึง มันยังคงสภาพความเป็นเกาะที่งดงาม พุ่มไม้เตี้ย ๆ แอ่งน้ำ สีฟ้าใสขับทรายสีทองอร่ามไปทั่ว ทั้งหาดช่างเหมาะกับการเล่นโต้คลื่น หรือกิจกรรมทางน้ำทุกชนิด


อันดับ 3 : หาดพอยพู (POIPU BEACH, KAUAI, HAWAII USA)
ฮาวาย... ดินแดนแห่งเกาะ และหาดทรายสวย ๆ เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่เพียงคุณใส่ชุดว่ายน้ำเดินเล่นริมหาด หรือเล่นโต้คลื่นร่วมกับกลุ่มเพื่อน คุณยังทำกิจกรรมที่แปลกพิเศษอย่างอื่น ๆ ได้จากที่นี่ หาดพอยพู หนึ่งในหาดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฮาวาย มันจะสร้างดินแดนแห่งความสนุก ความเบิกบาน และกิจกรรมสำหรับผู้เสาะหาธรรมชาติอย่างเรา ๆ ได้รับความพึงพอใจกับประสบการณ์ใหม่ ในการเที่ยวทะเลอย่างการนั่งเฮลิคอปเตอร์ หรือดำน้ำสำรวจใต้ท้องทะเล มันอาจดูธรรมดา แต่ความธรรมดานี้สร้างความพิเศษที่แตกต่างที่ที่อื่นไม่เคยมี


อันดับ 2 : หาดอิปานีม่า (IPANEMA BEACH RIO DE JANEIRO BRAZIL)
ความเซ็กซี่ คือสิ่งที่คู่กับชายหาดแห่งนี้ สาว ๆ หุ่นดีกับชุดว่ายน้ำน้อยชิ้นที่สุดเป็นเสน่ห์อันเย้ายวนของ หาดอิปานีม่า ไม่ว่าแสงแดดเจิดจ้า หรือน้ำทะเลน่าเล่นแค่ไหนก็ต้องยอมแพ้กับ ความเร่าร้อนของผู้คนบนชายหาด สำหรับหนุ่ม ๆ โอกาสอันดีมาถึงแล้ว ส่วนสาว ๆ ถ้ารู้ว่าตัวเองมีดีให้โชว์ก็โชว์ไปเลย


อันดับ 1 : หาดมาโรม่า (MAROMA BEACH, MEXICO)
มาโรม่า ชายหาดเก่าแก่ และดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ความเงียบสงบ ชวนให้ผ่อนคลาย กับอารยธรรมมายัญ ทำให้คนที่มาที่นี่รู้สึกเหมือน กลับสู่อดีตกาล อีกครั้ง มาโรม่า หรือที่รู้จักในนาม สวรรค์มายัญที่สูญหาย (LOST MAYAN PARADISE) เป็นความน่าทึ่งที่หาไม่ได้ จากชายหาดที่ไหน มันรวมความโดดเด่นในทุกๆ ด้าน นอกจากหาดทรายสีขาว และน้ำทะเลสีใสแล้ว กิจกรรมพร้อมสรรพ พายเรือแคนู ดำน้ำดูปะการัง กับคลื่นลมที่ไม่ แรง ป่าเขียวที่คงความสมบูรณ์ อีกทั้งยังซึมซับความโรแมนติก ของอารยธรรมมายัญไว้อีกด้วย คุณจะรู้สึกว่า หาดมาโรม่า ให้ความเป็นธรรมชาติ และที่นี่ คือที่แห่งสวรรค์อันดับ 1 ในสุดยอดชายหาดของโลก

10 สุดยอดต้นไม้มหัศจรรย์

อันดับที่10

ต้น Lone Cypress ขึ้นต้องแรงปะทะโดยลมหนาวจากมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ที่ชายหาดPebble ในมอนทาเร่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตมาก แต่มันตั้งเด่นเป็นสง่า
(แบบว้าเหว่) อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิก

อันดับ 9 - Circus
Axel Erlandson เกษตรกรปลูกถั่วคนหนึ่งได้ดัดแปลงและแกะสลักต้นไม้เป็นรูปร่างและลวด
ลายที่แสนมหัศจรรย์จริงๆ

เขาได้ตั้งชื่อมันว่าต้น
"Circus" นี่คือตัวอย่างเจ้าต้น Circus ที่คิดว่ากว่าจะทำได้คงลำบากน่าดู

อันดับ 8 - Giant Sequoias
ต้น Giant Sequoias ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลูกใน เซียร์ร่า เนวาดา
รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต้น Giant Sequoias ที่ใหญ่ที่สุด

คือพันธุ์ Genaeral Sherman ตั้งตระหง่านใหญ่ยักษ์อยู่ใน Sequoia National Park มีลำต้นสูงถึง 275 ฟุต (83.8 เมตร) และหนัก
6,000 ตัน

อันดับ 7 - Coast Redwood
ต้น Coast Redwood ถือเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก โดยเจ้าต้นที่ชื่อว่า Hyperion ใน Redwood National Park นั้นมีความสูงกว่า 379 ฟุต
(115 เมตร) จุดเด่นของมันก็คือต้น Coast Redwood จะประกอบไปด้วยต้นแคลิฟอร์เนียเรดวู้ดยักษ์ถึง
4 ต้น ซึ่งมันใหญ่ขนาดที่ว่าเราสามารถ
ขับรถผ่านได้!

อันดับ 6 - Chapel - Oak of Allouville - Bellefosse
ต้น Chapel - Oak of Allouvill - Bellefosse เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส
มันไม่ใช่เพียงแค่ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นสถานที่สำคัญทาง
ศาสนาอีกด้วย
ในปัจจุบันบางส่วนของโอ๊คต้นนี้ได้ร่วงเลยไปบ้างแล้วตามกาลเวลา
แต่ผู้คนที่นั่นใช้เสาและ สายเคเบิ้ลในการรองรับต้นไม้เก่าแก่
ต้นนี้

อันดับ 5 - Pando
ต้น Pando หรือ Trembling Giant ในรัฐยูท่าห์ ประกอบไปด้วยกว่า47,000 กิ่งก้าน สาขาที่แผ่ขยายไปทั่วพื้นที่ 107 เอเคอร์ หนักประมาณ
6,600 ตัน และมีระบบรากแก้วใต้ดินที่ใหญ่โตมาก
เฉลี่ยแล้วแต่ละกิ่งก้านนั้นมีอายุประมาณ 130 ปี
รวมทั้งระบบของต้น Pando
เหล่านี้ศิริอายุ
ร่วม80,000 ปี

อันดับ 4 - Tule
ต้น Tule เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในต้นไม้ตระกูล Montezuma Cypress ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Oaxaca ประเทศเม็กซิโก
มีขนาดลำต้นโดยรอบ

190 ฟุต (58 เมตร) ซึ่งมีความหนาจนผู้คนพูดว่า
แทนที่คุณจะโอบกอดมัน...มันกลับโอบกอดคุณแทน

อันดับ 3 - Banyan
ต้น Banyan ตั้งชื่อตาม
"banians" หรือผู้บุกรุกชาวฮินดูที่ทำกิจกรรมต่างๆ
ภายใต้ต้นไม้นี้ และต้น Banyan เคยเป็นบ้านต้นไม้ของ
โรบินสัน
ครูโซมาแล้วด้วย

อันดับ 2 - Bristlecone Pine
ต้นสน Bristlecone ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่มาก ซึ่งพันธุ์Methuselah นั้นจัดเป็นต้น ไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ที่มีอายุ 4,838 ปี
อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 11,000 ฟุต

อันดับ 1 - Baobab
ต้นไม้ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือต้น Baobab หรือต้นขนมปังลิง! (monkey bread tree) สามารถเติบโตได้ถึง 100 ฟุตและกว้าง
35 ฟุต สิ่งแปลก
ประหลาดของต้นไม้นี้ก็คือ ภายใต้ลำต้นที่บวม นี้คือ
ที่เก็บน้ำที่จุได้มากถึง 120,000 ลิตร
ไว้ใช้ในสภาวะอากาศแห้งแล้ง

สถาปัตย์มหัศจรรย์! โลกตะลึง 10 ตึกประหลาด

"สถาบันสถาปัตยกรรมแห่งสหรัฐอเมริกา" พยากรณ์ล่าสุดว่า ผลพวงจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำและภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา จะส่งผลให้ลักษณะการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในช่วง 2-3 ปีจากนี้ลดการออกแบบหวือหวาลงไปเพื่อประหยัดต้นทุน โดยหันไปเน้นรูปแบบเรียบง่ายและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก


ด้วยเหตุนี้นิตยสารเทคโนโลยีเครื่องยนต์กลไกเล่มดัง "พ็อพพิว ลาร์เมคานิก" จึงตระเวนสรรหาตึกแปลกประหลาดพิสดาร ท้าทายความคิดสร้างสรรค์ด้านสถาปัตยกรรมและแรงโน้มจากทั่วโลกมาให้ได้ยลโฉมกันบางส่วนดังนี้

(1.) 30 St. Mary Axe (30 เซนต์ แมรี่ แอ็กซ์)

ตึกระฟ้าเจ้าของสถิติอาคารสูงอันดับ 2 ในมหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปิดทำการปี 2547 มีชื่อเล่นว่า "ตึกแตง" เพราะรูปทรงคล้ายแตง กลมมนทั้งตึก โครงสร้างเต็มไปด้วยกระจก เฉพาะภายนอกติดตั้งกระจกกินพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร

(2.) The Egg (ดิ เอ้ก)

อาคารทรงไข่ผ่าครึ่ง ที่ตั้งศูนย์ศิลปะการแสดงเมืองอัลเบนี่ รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีโรงละครอยู่ภายใน 2 โรง ความจุรวม 892 ที่นั่ง ยากที่ใครจะเลียนแบบ เพราะมีโครงสร้างรับน้ำหนักซับซ้อนมาก

(3.) Flintstone House (ฟลินต์สโตน เฮาส์)
บ้านจัดสรรในเมืองเบอร์ลินเกม รัฐแคลิ ฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สร้างเลียนแบบบ้านในการ์ตูนยอดฮิตในอดีต "มนุษย์หินฟลินต์สโตน" ออกแบบโดย วิลเลียม นิโคลสัน เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน

(4.) The Crooked House (เดอะคร้กเก็ดเฮาส์)
อาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจเมืองโซพอต ประเทศโปแลนด์ มองดูมีสัดส่วนบิดเบี้ยวสุดๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพบ้านเรือนในหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ตรงหลังคาออกแบบตั้งใจให้เหมือนเกล็ดมังกร

(5.) Basket Building (บาสเก็ตบิลดิ้ง)
สำนักงานใหญ่บริษัทลองกาเบอร์เกอร์ เมืองนิวอาร์ก สหรัฐอเมริกา ประกอบกิจการขายตะกร้า ซึ่งก็คือที่มาของอารมณ์นึกสนุกสร้างตึกเป็นทรงตะกร้านั่นเอง

(6.) Guggenheim Museum (กุกเกนไฮม์ มิวเซียม)
พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ เมืองบิลเบา ประเทศสเปน รังสรรค์โดย แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกชื่อดังระดับโลกชาวแคนาดา ออกแบบให้ดูสับสนวุ่นวาย มองแล้วเดาไม่ออกว่าเส้นสายโครงสร้างจะไปจบตรงไหน

(7.) Dancing House (แดนซิ่งเฮาส์)
"บ้านเต้นระบำ" กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ผลงาน แฟรงก์ เกห์รี สถาปนิกแคนาดา และวลาโด มิลยูนิช เพื่อนสถาป นิก มีชื่อเล่น "จิงเจอร์แอนด์เฟร็ด" ตามที่มีการออกแบบได้แนวคิดจากท่าเต้นพลิ้วไหวคู่กันของ จิงเจอร์ โรเจอร์ส และเฟร็ด แอสแตร์ สองนักเต้นชื่อดัง

(8.) Lotus Temple (โลตัสเทมเปิ้ล)
"วัดดอกบัว" หรือ "โลตัสเทมเปิ้ล" ในกรุง นิวเดลี อินเดีย หนึ่งในศาสนสถานที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนมากที่สุดในอินเดีย

(9.) Cube House (คิวบ์เฮาส์)
บ้านทรงลูกบาศก์เชื่อมต่อกัน 38 หลังในนครร็อตเทอร์ดัม เน เธอร์แลนด์ เกิดจากแนวคิดเวลามองหมู่แมกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ร่วมกัน

(10.) Library of Alexandria (ไลบรารี่ ออฟ อเล็กซานเดรีย)
ห้องสมุดเมือง อเล็กซานเดรีย อียิปต์ มีความสูง 11 ชั้น ลักษณะอาคารสื่อถึงภาพดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ เปรียบได้กับการเข้ามาแสวงหาเพิ่มพูนปัญญา ณ สถานที่แห่งนี้