2552/07/18

สมาธิบำบัดโรค

แนะป้องกันเจ็บไข้ ใช้สมาธิบำบัดโรค


2 หมอต่างโรงพยาบาลยอมรับสมาธิบำบัดรักษาทุกโรค
สาเหตุโรคมาจากความเครียด ซึ่งจะเข้ามาทำลายเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย
วิธีป้องกันคือนั่งวิปัสสนากรรมฐาน และปล่อยวางกับเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกข์ใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานในการเสวนาแลกเปลี่ยนทัศนคติ ในหัวข้อ "สมาธิบำบัด รักษาทุกโรค"
โดย พ.ญ.วิไล ธนสารอักษร (ร.พ.สมิติเวช), น.พ.วงศ์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (ร.พ.บำรุงราษฎร์)
ของชมรมคนรู้ใจ โดยบริษัท เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย) จำกัด
และสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ที่อาคารต้นสนทาวเวอร์

พ.ญ.วิไล กล่าวว่า ความเครียดของมนุษย์ทำให้เกิดโรคภัยมากมาย
โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียด ทำให้ภูมิคุ้มกันภายในลดลง
และทำให้เกิดเชื้อไวรัสและการติดเชื้อต่างๆ พร้อมกับทำให้ลุกลามไปมากขึ้น
ดังนั้น เมื่อทราบสาเหตุดังกล่าวว่าโรคทางกายนั้นเกิดจากโรคทางใจ
วิธีเดียวที่จะบำบัดภาวะดังกล่าว คือ การทำวิปัสสนากรรมฐาน
การเจริญสติและฝึกสมาธิ โดยสามารถทำให้เกิดปัญญา
ซึ่งจะช่วยรักษาโรคร้ายทางกายของเราได้

พ.ญ.วิไล กล่าวต่อว่า ที่ต่างประเทศมีการทดลองว่าในภาวะที่กำลังเข้าสู่สมาธิ
หรือในสภาวะที่ถูกสะกดจิตให้สงบมากๆ นั้น
ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานในร่างกายน้อยลง
จะทำให้หัวใจ การหายใจ และชีพจรโลหิตทำงานช้าลง
ทำให้การเผาผลาญเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และการเกิดสารอนุมูลอิสระลดน้อยลงด้วย
โดยจะทำให้การก่อเซลล์มะเร็ง และการเกิดโรคร้ายก็จะน้อยลง

"ในระหว่างที่สภาพจิตและร่างกายสงบ ทำให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันทางร่างกายมากขึ้น
เช่นกัน ถ้าไปติดเชื้อก็สามารถจะซ่อมแซมโรคร้ายได้ด้วย จึงเป็นเหตุที่มาของสมาธิบำบัด

ตัวอย่างคุณพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง ได้นำท่านไปนั่งวิปัสสนากรรมฐาน
แต่ไม่ได้หวังให้ท่านหาย โดยต้องการให้จิตใจหายจากความซึมเศร้า
แต่ผลได้มากว่าคือร่างกายกลับแข็งแรง มะเร็งที่จะลุกลามใหญ่โตกลับหดตัวลง
และสามารถผ่าตัดรักษาหายได้" พ.ญ.วิไลกล่าว

ด้าน น.พ.วงศ์กุลพัทธ์ กล่าวว่า สตินั้นเป็นการป้องกันโรคต่างๆ ที่ต้นเหตุ
โดยโรคจะเข้ามาจากความเครียดของเราซึ่งจะเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ซึ่งทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา ซึ่งเป็นอาการวิตกกังวล คิดตาม
และเราก็จะจับมันไม่ได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์
และทำให้มีผลกระทบต่อร่างกาย ในระบบการหมุนเวียนของโลหิต
ทางเดินอาหาร การหลั่งฮอร์โมน การควบคุมของระบบประสาท

"การใช้สมาธิโดยกำหนดจิตให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่
เช่น เรายกแขน ซึ่งเรารู้ว่าเรากำลังยกแขน,
เกิดรถตัดหน้าขณะที่ขับรถมาเร็ว ซึ่งก็ต้องเบรกโดยไม่คิดต่อว่าต่อไปจะเป็นอะไร
ให้เรายึดมั่นในสถานการณ์นั้น จะไม่ทำให้ความคิดฟุ้งซ่าน
ทั้งนี้ ควรฝึกการกำหนดจิตให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
เช่น เวลาไปเจอใครก็อย่าไปคิดร้าย
ส่วนบางครั้งมีเรื่องขุ่นมัวจิตใจต่างๆ ที่เคยกระทบกระทั่งกัน
ให้ลืมและทำวันนี้ให้ดี โดยให้ยึดติดกับคำว่าปล่อยวางให้มากที่สุด
พร้อมกับฝึกสมาธิและยึดศีล 5 ไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา
สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้" น.พ.วงศ์กุลพัทธ์ กล่าว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น