2552/08/17

บั้งไฟพญานาค

ถึงวัน ออกพรรษา 15 ค่ำเดือน 11 ทีไร..สิ่งที่นึกถึงอยู่ทุกปี ก็คงจะหนีไม่พ้น ดวงไฟสีขาวที่พุ่งขึ้นจากกลางลำแม่น้ำโขง ที่หลายๆคนเรียกว่า บั้งไฟพญานาค ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว หลายปี หลายยุค หลายช่วงชีวิตคน จนเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็น ตำนาน ก็อาจจะได้..แต่ถึงจะมีมายาวนานขนาดไหน ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เรามองเห็นมันคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ที่มีลูกไฟมหัศจรรย์พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง ที่เรียกว่ามหัศจรรย์นั้น เพราะเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมจึงเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แม้ว่าวันออกพรรษาของแต่ละปีจะไม่ตรงกับวัน และที่สำคัญทำไมถึงต้องเกิดขึ้นเฉพาะที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี และอำเภอบึงกาฬ ของจังหวัดหนองคาย เท่านั้น ทั้งๆที่แม่น้ำโขงไหลผ่านหลายดินแดน

บั้งไฟพญานาค เป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นสู่อากาศแก้วก็จางหายไป เกิดขึ้นทั้งกลางแม่น้ำโขง และบริเวณใกล้ๆ ฝั่ง ขึ้นสูงประมาณ 30-50 เมตร บางแห่งขึ้นสูงเป็น 100 เมตร ขนาดของลูกไฟที่เกิดขึ้นนั้น ขนาดโตเท่าผลส้ม ขนาดกลางเท่าไข่ไก่ และขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ เวลาที่เกิดไม่แน่นอนแต่ต้องมืดค่ำก่อนจึงจะเกิด ด้านจำนวนที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่เท่ากัน บางแห่งเกิดขึ้นเพียง 1 ลูก บางแห่งเกิดขึ้น 20 ลูก หรือบางแห่งก็เกิด 50-100 ลูก

ส่วนทางแม่น้ำโขง สถานที่เกิดบั้งไฟพญานาค ก็มีความยาวร่วมกว่า 4,000 กิโลเมตร เริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศจีน ไหลผ่านพม่า ไทย ลาว กัมพูลา และเวียดนาม ประชาชนที่อยู่อาศัยอยู่ตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง ต่างก็มใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม การบริโภค เลี้ยงสัตว์ การคมนาคม การประกอบพิธีกรรมทางน้ำ ตลอดจนถึงการพักผ่อนหย่อนใจ ประชาชนไทยลาว ซึ่งเป็นประเทศที่มีลำน้ำโขงกั้นกลาง และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ต่างก็มีความสัมพันธ์กันมานาน ในปีหนึ่งๆ จะมีผู้เสียชีวิตในลำน้ำโขงปีละไม่น้อย พวกที่เสียชีวิตในลำน้ำโขง คนเฒ่าคนแก่เชื่อว่าเป็นการกระทำของเทพเจ้าทางน้ำ [ชาวบ้านเรียกกันว่าเงือก]

เทพเจ้าทางน้ำที่ชาวบ้านลุ่มแม่น้ำโขงนับถือก็คือ

เจ้าแม่สองนาง” เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ และลดการเสียชีวิตของผู้ประกอบการทางน้ำ จึงปรากฏเห็นศาลเจ้าแม่สองนางตามแถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฟากฝั่ง เช่น ศาลเจ้าแม่สองนาง ที่วัดหายโศก อำเภอเมืองหนองคาย , ศาลเจ้าแม่สองนางที่บ้านจอมนาง อำเภอโพนพิสัย ศาลเจ้าแม่สองนางที่หน้าโรงพยาบาล .บึงกาฬ ในรอบปีจะมีพิธีบวงสรวงเจ้าแม่สองนางเพื่อให้เจ้าแม่ปกป้องคุ้มครองไม่ให้ประสบภัยอันตรายและเกิดสิริมงคลแก่ผู้ประกอบการทางน้ำ

พญานาค งู เงือก คือเทพเจ้าทางน้ำ ซึ่งเป็นความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น จริงเท็จอย่างไรนั้นยากแก่การพิสูจน์ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวัน แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ที่พี่น้องอาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเรียกกันติดปากมาแต่ตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่าบั้งไฟพญานาค” หรือบั้งไฟผี” ซึ่งมีความเป็นมาจากการเล่าของคนเฒ่าคนแก่คู่หนึ่ง

ผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่าในคืนวันเพ็ญเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ เมื่อนั่งเรือออกไปหาปลากลางแม่น้ำโขงจะเกิดมีลูกไฟขึ้นรอบ เรือเป็นจำนวนมาก จนเกิดความกลัวต้องพายเรือเข้าหาฝั่ง ซึ่งเท่าที่สังเกตปรากฏการณ์นี้ก็จะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนดังกล่าวเท่านั้น ต่อมาทางอำเภอโดนพิสัยได้จัดงานไหลเรือไฟ และชมบั้งไฟพญานาค มีการประชาสัมพันธ์กัน ประชาชนจากทั่วสารทิศ ได้มากันมาดูบั้งไฟพญานาคสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บางคนก็มาด้วยการอยากรู้เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเอง ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ที่มาดูผิดหวัง


คนที่มาดูจากทั่วสารทิศเมื่อเห็นกับตาตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ คิดว่าจะต้องมีคนทำขึ้นเองบ้าง ความคิดจึงได้แตกต่างกันออกไปแต่ก็พอแยกได้คือ

1.
กลุ่มคนรุ่นใหม่คือพวกหัววิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีความเชื่อว่าลูกไฟที่พุ่งขึ้นมานั้นเป็นการรวมตัวกันของก๊าซ หรือแร่ธาตุ เมื่อรวมตัวกันแล้วถูกแรงอัดพุ่งขึ้นเหนือน้ำทำให้เกิดปาฏิกิริยากับอากาศแล้วเกิดแสงสว่างขึ้น แต่ก็มีผู้แย้งว่า ทำไมต้องมาเกิดเฉพาะวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เท่านั้น

2.
กลุ่มไม่แสดงความคิดเห็น ดูแล้วเห็นว่ามีลูกไฟขึ้นมาจากลำแม่น้ำโขง

3.
กลุ่มหัวโบราณ มีความเชื่อว่าลำแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของพวกนาค ซึ่งเป็นเทพพวกหนึ่ง สามารถแปลงกายเป็นงู หรือคนได้ ลำน้ำโขงบริเวณอำเภอโพนพิสัย เป็นภพหรือเมืองหน้าด่านที่เป็นทางขึ้นสู่เมืองมนุษย์ของเหล่าพญานาค ในทุกคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากดวงดึงส์มาสู่โลกมนุษย์ในวันรุ่งขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับพระพุทธองค์ เหล่าบรรดาพญานาคที่อยู่ตามลำแม่น้ำโขงจึงทำบั้งไฟถวายเป็นพุทธลูกไฟ พุ่งขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง จึงเรียนกันว่าบั้งไฟพญานาค”

ที่สำคัญคนยังรู้ไม่มากก็คือ ตลอดลำแม่น้ำโขง ระยะความยาว 4,000 กิโลเมตรนี้ ตรงที่ลึกที่สุดที่เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" อยู่ที่แก่งอาฮง คนเฒ่าคนแก่เคยวัดโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไปวัดได้ 98 วา ซึ่งบริเวณนี้จะมีน้ำไหลวนที่แรงมากๆ แต่เมื่อหน้าแล้งกลับจะเห็นได้ชัดเจนมากๆ ซึ่งมีความเชื่อว่าบริเวณนี้มีถ้ำขนาดใหญ่ ที่จะไปทะลุถึงที่ฝั่งลาวได้

นอกจากนี้แก่งอาฮงจะเป็นที่ลึกสุดของแม่น้ำโขงแล้ว ยังเป็นภพ หรือเมืองหลวงของพญานาค บางวันคนเฒ่าคนแก่บอกว่าระหว่างแก่งอาฮงจะมีลักษณะ เหมือนงูขนาดใหญ่ว่ายข้ามมาจากฝั่งไทยไปยังฝั่งลาว ในลักษณะตรง น้ำแตกเป็นฟอง ถ้าหากไปดูบริเวณริมฝั่งโขงจะเห็นรอยพญานาคปรากฏอยู่ และทางด้านฝั่งตรงข้ามกับแก่งอาฮงจะมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อยู่องค์หนึ่งริมแม่น้ำโขง และในวันขึ้น 15 ค่ำ จะมีเหล่าวิญญาณต่างๆ มาทำเสียงไม่เหมือนเสียงมนุษย์มาชุมนุมกันทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เรื่องนี้หากถามผู้เฒ่าผู้แก่ท่านก็จะพูดให้ฟังได้ถึงเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้น ทุกๆ ปี ตลอดเป็นที่รวมของเหล่าวิญญาณต่างๆ ด้วย

จากการบอกเล่าของพ่อเฒ่าอุ่นหล้า อัศศมนตรี อายุ 91 ปี อยู่บ้านเลขที่ 435 คุ้มวัดศรีคุณเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในสมัยหนุ่มๆ เป็นนายท้ายเรือที่ล่องเรือไปมาระหว่างหนองคาย-บึงกาฬ เมื่อถึงฤดูน้ำเต็มตลิ่ง เมื่อผ่านมาถึงแก่งอาฮง บริเวณที่เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" จะเห็นสิ่งประหลาดห่างจากเรือประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นลักษณะคล้ายต้นตาลขนาดใหญ่ ไม่มีใบราวๆ 2 เมตร มีละอองน้ำเป็นแตกฝอยๆ รอบ ต้น มีสีดำมัน แต่เมื่อเดินเรือเข้าไปใกล้ๆ จะไม่มีอะไร ทำให้ผู้คนที่เดินทางตามลำน้ำ เมื่อผ่านบริเวณนี้ก็จะนำพวกหมากพลู เหล้าขาว โยนลงไปในน้ำเพื่อเป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บริเวณแก่งอาฮงมีความประหลาดอีกประการคือ ศพจะไหลไม่พ้นแก่งอาฮง เมื่อมีคน หรือศพตกลงในแม่น้ำโขงเหนือแก่งอาฮงไม่ว่าที่ใด ถ้าหาศพไม่พบจะหาพบได้ที่นี่ คือแก่งอาฮง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่จะต้องหาทางพิสูจน์ต่อไป ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร เชื่ออย่างไร แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 คือวันออกพรรษา หากใครไม่เชื่อก็ไปพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี และบริเวณแก่งอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย.

1 ความคิดเห็น: