2553/01/30

"ชาติไทย" ในทัศนะปัญญาชนหัวก้าวหน้า (โสภา ชานะมูล)

ปัจจุบันเป็นยุคแห่งสื่อ ถ้ามีคำหนึ่งซึ่งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ชอบใช้บ่อยๆ คำนั้นก็จะมีชีวิตขึ้นมา ทุกครั้งที่มันถูกใช้ในบทความหนึ่ง ความหมายจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย นักเขียนสมัยนี้จึงไม่ใช่หยิบจับแต่ละคำมา โดยอ้างอิงแค่พจนานุกรม แต่ยังต้องเข้าใจความหมายในเชิงบริบททางสังคมด้วย ปัจจุบันนักนิรุกติศาสตร์คงไม่ต้องลำบากลำบนค้นหาต้นกำเนิดคำจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เพียงแค่ศึกษา "ชีวิต" ของคำยอดฮิต ผ่านหน้านิตยสาร หนังสือพิมพ์ แค่นั้นก็เรียนรู้อะไรได้หลายแล้ว

คำที่เราสนใจมากๆ เลยก็คือ "ปัญญาชน" (intelligentsia) ใครคือปัญญาชน ต้องมี requisite แค่ไหน ระดับการศึกษาละ คนทำงานศิลปะควรถูกจัดว่าเป็นปัญญาชนหรือเปล่า

อ่าน "ชาติไทย" ในทัศนะปัญญาชนหัวก้าวหน้า จบก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอาจารย์โสภาใช้นิยามข้อไหนมากำหนดว่าใครเป็น หรือไม่เป็นปัญญาชน อย่างแรกต้องชมอาจารย์ ที่มีความเป็นกลางพอจะรวบรวมมาหมดตั้งแต่ปัญญาชนหัวก้าวหน้า อนุรักษนิยม กระทั่งบางบทยังพูดถึงปัญญาชนทหาร สรุปคือ ใครที่ออกมาแสดงความคิดทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ ก็คงจัดเป็นปัญญาชนได้ทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่แปลก เอาเข้าจริง เมื่อก่อนอาจไม่ได้มีนิตยสาร หนังสือพิมพ์เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองเหมือนสมัยนี้

อาจารย์โสภาไม่ได้แบ่งปัญญาชนตามระดับการศึกษา นักคิดที่ถูกยกมาใน "ชาติไทย" ในทัศนะปัญญาชนหัวก้าวหน้า ไม่ได้จบสูง หรือจบเมืองนอกเมืองนา มองในแง่ดีก็คือพวกเขาถูกประเมิณด้วยคุณวุฒิ ไม่ใช่เพียงวุฒิการศึกษา แต่ปัจจุบันยังจะยึดหลักอะไรแบบนี้ได้อยู่หรือเปล่า เพราะคนไทยรู้สึกว่าปัญญาชนไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูง เพียงแค่ขยันออกมาพูดอะไรในที่สาธารณะ ก็เลยเกิดเป็นค่านิยมขำๆ คือยกย่องคนที่การศึกษาไม่ค่อยสูง แต่กล้าออกมาแสดงความคิดเห็นอยู่เป็นประจำ และ(เหมือนกับ)รู้อะไรดีกว่าคนปกติ

ต้องเข้าใจว่าห้าสิบปีโลกมันเปลี่ยนแปลงไปไหนต่อไหน ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นไม่ได้อีกแล้ว จะมีอัศวินม้าขาวผู้อยู่ดีๆ ค้นพบสูตรลับ หรือยาวิเศษด้วยตัวเอง เดี๋ยวนี้การค้นพบทุกอย่างออกมาจากหลังรั้วมหาวิทยาลัย คนสาธารณะบางคน ถ้าเขามีชีวิตอยู่เมื่อสมัยก่อนอาจถูกเรียกได้ว่าเป็น "ปัญญาชน" แต่ในสมัยนี้เรายังควรยกย่องเขาด้วยคำคำนี้หรือเปล่า ค่านิยมเช่นนี้ส่งผลได้ ผลเสียอย่างไรบ้าง ยกตัวอย่าง คนทุกคนมีสิทธิพูดจู่โจมระบบทุนนิยม และตีความมันไปต่างๆ นานา (ยิ่งในโลกปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วย "เวที" เสียด้วย) แต่ปัญญาชนซึ่งสังคมควรจะรับฟังคือใครกันแน่

Jules Vernes

Verne, Jules (1828-1905), French author, who is often regarded as the father of science fiction. He was born in Nantes, France, and ran away to sea at the age of 11. After he was sent home in disgrace, he vowed to travel only in his imagination. He carried out this pledge in more than 50 works that combine scientific fantasy and exciting adventure.

Verne studied law in Paris, and from 1848 until 1863 wrote opera librettos and plays. His interest in science and geographical discovery led him to write on the possibility of exploring Africa in a balloon. Many publishers rejected this work, until...

Continue reading Jules Verne's Biography.



Jules Verne Books
20,000 Leagues Under the Sea Part 01 1870
20,000 Leagues Under the Sea Part 02 1870
A Captain at Fifteen 1878
A Journey to the Interior of the Earth 1864
An Antarctic Mystery 1897
Around the World in 80 Days
Around the World in 80 Days Jr Ed
Eight Hundred Leagues on the Amazon
Facing the Flag
Five Weeks in a Balloon 1863
From the Earth to the Moon 1865
Round the Moon 1870
In Search of the Castaways 1867-1868
Michel Strogoff 01 1876
Michel Strogoff 02 1876
Off on a Comet 1877
Robur the Conqueror 1886
The Adventures of a Special Correspondent
The Blockade Runners
The Field of Ice
The Fur Country Part 01 1873
The Fur Country Part 02 1873
The Master of the World 1904
The Mysterious Island 1874
The Survivors of the Chancellor 1875
The Underground City 1877
Topsy Turvy


French Jules Verne Books
Dutch Jules Verne Books

2553/01/26

7 เคล็ดลับการเรียนผ่านฉลุย อย่าได้พลาด!!!

1.ตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดให้ดี และดูหนังสือตามไป หรือถ้าหากไม่ได้จริงๆ ก็ลองเอาโทรศัพท์อัดไว้ (จะช่วยได้มากในกรณีที่กำลังปั่นการบ้านส่ง)

2.พยายามหาสมุดมาสัก 2 เล่ม เล่มหนึ่งไว้จดที่อาจารย์บอกนอกเหนือจากหนังสือ ส่วนที่เล่มที่สองก็เอาไว้จดย่อ จากการอ่านทบทวน

3.การทบทวนหนังสือควรจะเป็นอย่างน้อยวันละวิชา โดยจัดการเอาปฏิทินมาแล้วเขียนว่าวันนี้จะอ่านวิชาอะไรลงไปด้วย เมื่อผ่านวันไหนไปก็ขีดทิ้งซะ และควรรีบทำแต่เนิ่นๆ เพราะช่วงใกล้สอบเนื้อหาจะเยอะมาก

4.การอ่านในช่วงเวลาปิดเทอม จะเป็นข้อได้เปรียบ แค่อ่านผ่านตาเท่านั้น ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะเวลาในชั้นเรียนเราจะเข้าใจได้เร็วกว่าคนอื่นๆ ซึ่งคือการอ่านเตรียมความพร้อมนั่นเอง

5.ภายในสมุดเราควรที่จะเขียนเนื้อหาที่จะสอบไว้ด้วย เมื่ออ่านไป(อ่านแต่ยังไม่ได้จำ)ให้ทำเครื่องหมายไว้ เมื่อมาอ่านรอบที่สองเตรียมตัวสอบพออ่านเรื่องใดเสร็จก็ขีดฆ่าทิ้ง ประมาณว่าเราหมดกรรมกับเรื่องนี้แล้วนะ

6.การย่อควรจะย่อจริงๆไม่ใช่การลอกมาจากหนังสือ (ถ้าลอกมันจะไปช่วยอะไร) การย่อจะทำให้ได้เขียน สามารถทำให้จำได้มากขึ้น

7.พอย่อยเสร็จปุ๊บ ก็อาจจะเอาโทรศัพท์มาอัดเสียงเราลงไปอีกที เมื่อเวลาพกไปไหนจะได้ฟัง และการฟังก่อนนอนก็ดีที่สุด

เวลา ยุคสมัย และวิธีการทางประวัติศาสตร์

สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่มีการใช้คัวอักษรบันทึกบอกเรื่องราว การศึกษาสมัยก่อนต้องอาศัยหลักฐานทางโบราณคดีเป็นหลัก

1. ยุคหิน

- ยุคหินเก่า ระหว่าง 500,000-10,000 ปีมาแล้ว ใช้เครื่องมือหินกะเทาะที่หยาบๆ อาศัยตามถ้ำและเพิงผา ไม่มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง





- ยุคหินกลาง ระหว่างประมาณ 6,000-4,000 ปีมาแล้ว ใช้หินกะเทาะที่ทำประณีตขึ้น




- ยุคหินใหม่ ระหว่างประมาณ 6,000-4,000 ปีมาแล้ว ใช้เครื่องมือหินขัด พัฒนาที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำเครื่องปั้นดินเผา ทอผ้า เครื่องจักสาน






2. ยุคโลหะ

ยุคสำริด ระหว่าง 4,000-2,500 มาแล้ว รู้จักทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับด้วยสำริด เป็นสังคมเกษตรกรรม ชุมชนขยายใหญ่ขึ้น

ระหว่างประมาณ 2,500-1,500 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคนี้รู้จักถลุงเหล็กและนำมาหล่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้




สมัยประวัติศาสตร์ เป็นสมัยที่มนุษย์ในสังคมมีการใช้ตัวอักษรบันทึกบอกเรื่องราว ทั้งนี้การมีตัวอักษรใช้ในแต่ละสังคมจะเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสังคมอาจใช้หลักฐานทางโบราณคดีเป็นส่วนประกอบ แบ่งเป็นสมัยย่อยๆได้หลายแบบ


แบ่งตามราชธานี

ได้แก่ กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์

แบ่งตามราชวงศ์

เฉพาะในสมัยอยุธยา สมัยราชวงศ์อู่ทอง สุพรรณภูมิ สุโขทัย ปราสาททอง บ้านพลูหลวง

แบ่งตามพระนามพระมหากษัตริย์

สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระนารายณ์มหาราช

แบ่งตามพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง

สมัยอยุธยาแบ่งตาม 3 ระยะคือ อยุธยาตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ศก แบ่งได้ 3 ระยะคือ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศ สมัยรัตนโกสินทร์ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง


แบ่งตามลักษณะการปกครอง

เช่น สมัยรัตนโกสินทร์อาจแบ่งย่อยตามลักษณะการปกครองเป็น 2 สมัยย่อย
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยประชาธิปไตย

แบ่งตามแนวประวัติศาสตร์สากล ช่วงเวลาสมัยประวัติศาสตร์ตามหลักประวัติศาสตร์สากลนิยมแบ่งเป็นสมัยย่อย 4 สมัย คือ สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ สมัยปัจจุบัน

2553/01/22

เพลินวาน เพลินวาน :)

Play and Learn ที่ เพลินวาน

จากจุดเริ่มต้นที่มาจากความรักและคิดถึงหัวหินในวันก่อน เพลินวานจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางจุดหมายการเดินทางแห่งใหม่ของคนหัวหินและนักท่อง เที่ยวที่มาเยือน

เพลินวานคือ... “ศูนย์รวมความสุข สถานที่... หยุดเวลาในอดีตไว้ เพื่อเล่าขานเรื่องราวมากมายของวิถีหัวหินกาลก่อน ...สู่กาลปัจจุบัน”
เยี่ยมชม "เพลินวาน" หมู่บ้านย้อนยุคมีชีวิต ชิมรสอาหาร-ขนมอร่อย เลือกซื้อเสื้อผ้า ดูหนังกลางแปลง สัมผัสบรรยากาศแห่งอดีต
ปี พ.ศ.2499


หัวหิน ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่พักผ่อน ของผู้มีฐานะดีในสมัยก่อน และเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียงในยุคต่อมา ผู้คนมากมายมีความทรงจำดีๆ ต่อเมืองชายทะเลแห่งนี้ การได้กลับมาเห็นภาพชีวิตเฉกเช่นในวันวานจึงเป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหา



วันนี้เมื่อกลุ่มคนที่หลงรักอดีตของหัวหินร่วมกันเนรมิต บ้านเรือน ร้านค้า ร้านกาแฟ ที่เคยอยู่ในภาพถ่ายให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่ในการเดินทางสู่เมืองหัวหินในนามของ เพลินวาน " ศูนย์รวมความสุข สถานที่ซึ่งหยุดเวลาในอดีตไว้ เพื่อเล่าขานเรื่องราวมากมายของวีถีหัวหินกาลก่อน สู่กาลปัจจุบัน" จึงได้รับความสนใจไม่น้อยจากนักท่องเที่ยว

เพลินวานมี ลักษณะคล้ายหมู่บ้านย้อนยุคที่มีชีวิต (Eco Vintage Village) ที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายขนม ร้านเหล้าในสมัยก่อน รูปแบบของหมู่บ้านนี้จะร้านค้าที่ทำจากไม้ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในช่วง พ.ศ.2499 อีกครั้ง เป็นสถานที่ที่เน้นการขายอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของที่ใช้ในการตกแต่ง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพนักงานซึ่งจะเป็นของที่ใช้จริงในสมัยนั้น แต่ที่โดดเด่นไม่เหมือนที่อื่นก็คือข้าวของที่นี่สามารถซื้อขายได้จริง ไม่ใช่แค่ตั้งโชว์เหมือนพิพิธภัณฑ์

คำว่าเพลินวาน มาจาก "Play and Learn ในวันวาน" ด้วยความปรารถนาให้ทุกคนมามีความสุขด้วยกัน มานึกถึงความรู้สึกดีๆในอดีต เรียนรู้วัฒนธรรมดั้งเดิม ตามแนวคิดของ ภัทรา สหวัฒน์ จิ๊กโก๋เพลินวานผู้ที่พยายามทำฝันให้เป็นจริง

"เชื่อว่าทุกคนจะมีความทรงจำในอดีต อยากให้มาที่นี่แล้วได้ย้อนไปนึกถึงเรื่องราวในวันเหล่านั้น อย่างน้อยๆ ก็ยิ้มได้ ในหนังกลางแปลงที่จะฉาย หลายเรื่องก็ล้วนแต่มีฉากหลังเป็นหัวหินทั้งนั้น ร้านเสื้อที่เป็นแหล่งพบรักของหนุ่มสาวสมัยก่อนก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ อยู่ในความทรงจำของใครหลายต่อหลายคน"

อีกสิ่งที่ภัทราพยายามทำให้เกิดขึ้นจริงในเพลินวานก็คือ การให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยในเพลินวานจะ เปิดโอกาสให้หาบเร่ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้เข้ามาจับจองพื้นที่ค้าขาย เพื่อสนับสนุนให้คนท้องถิ่นมีพื้นที่ทำกิน ไม่ต้องคอยวิ่งหลบเจ้าหน้าที่เทศกิจ แต่เพื่อให้อยู่ในคอนเซ็ปต์ ทางเพลินวานจึง ได้จัดอุปกรณ์สำหรับค้าขายไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นรถเข็นหรือหาบขายของเพื่อให้มีรูปแบบที่เป็นไปในทางเดียวกัน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้แก่เด็กๆและคนพิการ สามารถเข้ามาทำงานที่นี่ โดยทางร้านจะมีทางลาดและลิฟท์สำหรับรถเข็นผู้พิการ แม้ตัวอาคารจะเป็นเพียงแค่บ้าน 2 ชั้นเท่านั้น

ในส่วนของงานวัดซึ่งจะมีทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นอกจากจะเน้นบรรยากาศแบบย้อนยุคแล้ว ยังจะมีพื้นที่สำหรับเด็กนักเรียนเข้ามาขายของหารายได้พิเศษ ที่สำคัญเฟอร์นิเจอร์ที่นี่จะเป็นแบบ Green Board คือเป็นเฟอร์นิเจอร์ Recycle ทำจากกระดาษลังหรือกล่องนม ถือว่าเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติในอีกรูปแบบ

แม้ว่าตอนนี้เพลินวานจะ เปิดให้บริการเพียงแค่ส่วนเดียว แต่ภายในเดือนกันยายนนี้จะเปิดให้เข้าชมอย่างเต็มรูปแบบทั้งสามส่วน มีทั้งแฟชั่นเปรี้ยวๆ ในวันวานกับห้องเสื้อไฉไล, พักร้อนด้วยเพลินวานไอศกรีม, ของเล่นในสมัยวันวาน, กาแฟโบราณอันเลื่องชื่อของหัวหิน, ร้านข้าวอุ่น แกงร้อน อาหารเลื่องชื่อตำหรับหัวหิน, ร้านเหล้าเพลินวาน ที่มีทั้งสุราและยาดอง, สถานีจัดรายการ เพลินเพลง เพลินวาน ที่จะเปิดเพลงในสมัยก่อนให้เพลิดเพลินตลอดวัน

นอกจากนี้ยังมีลานกิจกรรมที่จะมีการฉายหนังกลางแปลงในแบบ ฉบับงานวัด สามารถเลือกซื้อเทปคาสเซทเพลงเพราะๆ ของวันวาน วิดีโอหนังรักวัยหวาน ใบปิดหนังดังรวมถึงดาราในดวงใจ พร้อมกับเก็บภาพมุมเก่าๆ ในเพลินวานไว้เป็นที่ระลึก หรือจะแวะส่งโปสการ์ดหาเพื่อนที่ไม่ได้มาให้อิจฉาเล่นก็สามารถทำได้ ตกดึกใครอยากนอนหลับฝันดีสามารถเข้าพักที่ พิมานเพลินวาน ที่พักแนว Retro ได้อีกด้วย

เรียกว่ามาที่เพลินวานแห่ง นี้ อดีตอันงดงามจะย้อนกลับมาให้คุณได้หวนระลึกถึง เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับการพักผ่อนในหัวหิน ร่วมกับครอบครัวหรือคนรัก ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 11.00-24.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด การเดินทางก็ไม่ยาก ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามพระราชวังไกลกังวล หมุดหมายที่ใครๆ ต่างรู้จักดี

หัวหินวันวาน
ในความทรงจำ

“สมัย ก่อนหัวหินเป็นเมืองเงียบ คนไม่พลุกพล่าน มีต้นไม้ใหญ่ การเดินทางสะดวกเพราะสามารถนั่งรถไฟไปได้ สมัยเด็กเวลามาถึงหัวหินจะชอบเก็บเม็ดมะกล่ำตาหนู ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มาเล่นกับพี่น้อง และเก็บดอกลั่นทมมาร้อยเป็นมาลัย แม่โตมากับหัวหิน ซึ่งเป็นที่พบปะของหนุ่มสาว ที่นิยมไปเที่ยวกัน นั่งรถไฟไปด้วยกันนานๆ ได้ชื่นชมเมืองสองฝั่งรถไฟ และเรื่องราวการเดินทางโดยรถไฟไปหัวหิน ทำเป็นนิยายรักหวานชื่นดีๆ ได้เล่มหนึ่งเลยทีเดียว”



เรื่องเล่า รถไฟ รำลึก
ว่ากันว่าสถานีรถไฟหัวหินเป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวอำเภอหัวหินเป็น อย่างมาก เพราะเป็นเสมือนที่ประวัติศาสตร์ เก็บหัวรถจักรไอน้ำเก่าแก่ ที่การรถไฟสั่งซื้อมาจากประเทศอังกฤษ


หัวรถจักรนี้เคยวิ่งให้บริการใน เส้นทางรถไฟตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หินแกรนิตถูกใช้สำหรับวางรางรถไฟ สะท้อนความแข็งแกร่งและสง่างามได้เป็นอย่างดี


ตลาด...
ผู้คนพูดถึงหัวหินว่า “เป็นอำเภอสำคัญในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมาย แต่มีเพียงอำเภอหัวหินเท่านั้น ที่ “ตลาด" เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันลือชื่อ เช่น ตลาดโต้รุ่งหัวหิน แหล่งรวมอาหารนานาชาติสำหรับยามราตรี ยังมีตลาดฉัตรไชย ตลาดเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมา แต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 7"


I ♥ PLEARNWAN.

2553/01/21

ดาหลา :)

ดาหลาเป็นไม้ดอกที่มีการปลูกมาเป็นระยะเวลานานแล้วทางภาคใต้ของไทย ซึ่งเดิมได้มี การนำหน่ออ่อนและดอกมาใช้เป็นผักประกอบอาหารบางประเภท ปัจจุบันได้มีการนำมาปลูก เป็นไม้ตัดดอกมากขึ้น เนื่องจากดาหลาเป็นไม้ดอกที่ให้ดอกดกในฤดูร้อน ขณะที่ไม้ดอกชนิด อื่น ๆ ไม่ค่อยจะมีดอก ประกอบกับดอกมีขนาดใหญ่ สีสดใส รูปทรงแปลกตา ทำให้เป็นที่สนใจ ของผู้พบเห็นและเป็นที่ต้องการของตลาด ดังจะเห็นได้จาก ความต้องการซื้อขายดอกที่ตลาด ปากคลอง มีปริมาณถึง 200-500 ดอกต่อสัปดาห์ มีมูลค่า 3,000 - 7,500 บาท นอกจากนี้ ยังสามารถส่งออกต้นพันธุ์ได้บ้าง แหล่งผลผลิตที่สำคัญได้แก่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร อ.บางกรวย จ. นนทบุรี อ.ด่านมะขามเตี้ย จ. กาญจนบุรี อ. เมือง จ.กระบี่

2553/01/19

เคล็ดลับความขยัน

1.กำหนดเข็มทิศในจิตใจ อย่าทำงานแบบอะไรเข้ามาก็ทำสิ่งนั้น เพราะพี่ๆเชื่อว่าน้องๆชาวเด็กดีดอทคอมวันหนึ่งคงมีการบ้านไม่น้อยดังนั้นเราจึงต้องตั้งหลักให้ดี คือ ตื่นแต่เช้ามาให้วางแผนในใจก่อนเริ่มงานหรือการบ้านของน้องๆ ควรจัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้น สิ่งนี้จะเป็นเข็มทิศในใจที่จะสามารถช่วยให้น้องๆสามารถทำทุกอย่างสำเร็จในคราวเดียวกันจ้า

2.ความสำเร็จของสิ่งเล็กๆน้อยๆ จดสิ่งที่น้องๆต้องทำตลอดสัปดาห์แล้วเลือกสิ่งที่มาสักข้อหนึ่งที่ทำได้ภายใน5 นาที เพราะความรู้สึกเวลาการขีดฆ่าสิ่งนั้นออกไปจะมีผลต่อจิตใจน้องๆคะ ทั้งเรื่องของความสำเร็จที่สามารถเกิดขึ้นง่ายๆ

3.รักษาระดับความลุ่มหลงในงาน เมื่อได้ทำงานที่ชอบหรืออ่านหนังสือที่ชอบเวลาอาจจะผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีกบิน หน้าที่ของน้องๆคือต้องทบทวนว่าในสิ่งที่ทำนั้น มีความสุข ให้น้องๆเขียนประโยคสั้นๆ ไว้ที่โต๊ะหนังสือว่า "โว้ย ๆสู้ตาย" เพื่อเติมแรงใจในวันที่น้องๆเหนื่อย หรือสิ่งที่คิดว่าทำไมน้องจะต้องอ่าน

ค้นหาตัวเองให้เจอได้ใน 6 ขั้นตอน

1.เริ่มจากการล้างใจตัวเองให้สะอาดซะก่อน คือไม่ต้องคิดเรื่องเครียดๆ หรือปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากคนรองข้าง หรือว่าปัญหาของตัวเราเอง ลืมมันไปก่อนชั่วขณะ
2.ลองหาที่เงียบๆ หรือไม่ก็ลองย้ายจากที่ที่วุ่นวายมานั่งในที่ที่เราสามารถอยู่กับตัวเอง โดยที่ไม่มีคนอื่นเข้ามารบกวน ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าหมั่นใจในตัวเองโดยที่ไม่รู้สึกเหงา หรือยังโหยหาคนรอบข้าง
3.เมื่อหาที่เหมาะๆได้แล้วลองตั้งคำถามถามตัวเองว่า....
ถ้าในหนึ่งวันแหล่งทรัพยากรทั้งโลกเป็นของเรา แต่เราไม่ต้องการเงิน คิดว่าวันนั้นเราอยากจะทำอะไรมากที่สุด เช่น วาดภาพระบายสี เขียนหนังสือ เป็นชาวนา หรือไปสำรวจป่าอะเมซอลแบบหลุดโลก
ลองมองย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา มีอะไรบ้างที่เราทำแล้วไม่เคยคิดเสียใจที่เคยทำมัน เราคงจะเสียใจหากไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัวอย่างเพียงพอ เราคงจะเสียใจหากตัดสินใจทำสิ่งนั้น บางครั้งคำถามนี้อยากจะยากสำหรับบางคน แต่ลองตัวคำถามก่อนแล้วเราก็จะมีคำตอบเอง

ค้นหาตัวเองให้เจอได้ใน 6 ขั้นตอน
4.เขียนคำตอบของเราไว้บนกระดาษ เวลาที่เราอยู่คนเดียว เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก เหมือนกานจดเลคเชอร์เวลาเข้าเรียน จดเพื่อให้จำได้ ถ้าเราเขียนมันลงไปในกระดาษหรือสมุดแล้วเก็บไว้อย่างน้อยมันก็ยังเป็นหลักฐาน หากวันไหนที่เรากลับมาดูสิ่งที่จดไว้จะได้เป็นการเตือนสติตัวเอง หากปล่อยให้มันเป็นเพียงความคิด...แน่ใจหรอว่าจะไม่ลืม
5. อัพเดทข่าวสาร ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ ทำยากสิ่งที่เราอยากทำ เช่น อาบน้ำเย็นๆให้สะใจ วาดภาพสีน้ำ หรือเขียนเรื่องสั้นที่อยากจะเล่า ทานข้าวกับครอบครัว หรือเล่าเรื่องตลกให้เพื่อนๆฟัง สิ่งที่เราเคยคิดไว้ว่าเราอยากจะทำ ให้เริ่มทำมันซะตอนที่เรายังมีโอกาสทำ อย่ามัวแต่คิดว่า “พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้”

6.ให้คิดซะว่า “เราพร้อมจะจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ” ลองออกเดินเที่ยวคนเดียวบ้าง โดยที่เราไม่ได้วางแผนล่วงหน้าว่าเราจะไปไหน มองออกไปว่าโลกภายนอกเค้าทำอะไร ผู้คนเป็นอย่างไร หัดสังเกตสิ่งอื่นๆที่อยู่รอบข้างตัวเรา เมื่ออยู่คนเดียว เราก็แค่เป็นตัวของตัวเอง และเคารพตัวเองก่อน แล้วคนอื่นจะเคารพเรา



15 เรื่องจริงเกี่ยวกับญี่ปุ่น (ที่คุณอาจไม่รู้)

1.ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะถนนจะโล่งแค่ไหน หรือจะเป็นตอนดึกที่ถนนว่างไม่มีรถซักคันแค่ไหน คนญี่ปุ่นจะไม่ข้ามถนนเลย แต่จะเดินไปจนเจอ ทางม้าลายและรอไฟเขียวให้คนข้ามถึงจะข้าม (เป็นระเบียบสุดยอดเลย)



2. การให้บริการลูกค้าในญี่ปุ่นเน้นเรื่อง Service Mind เป็นอย่างมาก หากไปญี่ปุ่นแล้วมีโอกาสไปใช้ในห้องสรรพสินค้าหรือตามร้านต่างๆ ก็จะได้รับการบริการเหมือนเป็นพระเจ้าเลยล่ะ หลังจากซื้อของเสร็จ พนักงานจะคอยยืนส่งลูกค้าไปจนลับสายตา เพราะถือว่าหากลูกค้ามองกลับมาแล้วไม่เจอพนักงานจะถือว่าเสียมารยาท
(ชอบๆ จัง ไปซื้อของทีไร พนักงานมองเราหัวจรดเท้าแล้วเชิดหน้าใส่ สงสัยจะดูไม่มีตังค์ 555)


3. คนญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายต่อปีที่สูง หนึ่งในวิธียอดนิยมคือการกระโดดให้รถไฟทับตายแต่รู้มั้ยว่าถ้าหากกระโดดให้รถไฟทับตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล เพราะถือว่าทำความเดือดร้อนให้กับบริษัทรถไฟที่ต้องหยุดวิ่งเพื่อทำความสะอาดรางและรถไฟและต้องสูญเสียรายได้ (จะตายทั้งที ก็อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนนะ ทางที่ดีอย่าตายดีกว่า)




4.ห้ามฟังเพลงจากหูฟังในขณะที่ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน
เพราะทำให้สมรรถภาพการขับขี่ลดลงถ้าตำรวจพบ จะถูกปรับ
(ทำประจำเลยข้อนี้)



5.รวมถึงการซ้อนจักรยาน ถึงจักรยานจะมีเบาะให้ซ้อนก็ห้ามซ้อน
เพราะตำรวจอาจเรียกได้ เบาะซ้อนมีไว้วางของ ยกเว้นเด็กเล็กที่ซ้อนได้
แต่ต้องนั่งเบาะพิเศษของเด็ก (หนุ่มสาวอดซ้อนสวีทกันเลยล่ะสิ)


6.ที่ญี่ปุ่นไม่มีหมาจรจัด มีแต่แมวจรจัดซึ่งก็มีน้อยมากๆ เพราะหมา
จรจัดหรือที่ถูกทอดทิ้งจะถูกเทศบาลจับไปหมด (ได้ยินว่าถูกเอาไปฆ่า
ด้วย สงสารน้องหมาอะ T^T)




7.ถ้าลืมของไว้ที่ร้านอาหารหรือข้างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหาย สองวันผ่านไปมันจะยังคงอยู่ที่เดิม (หรือทางร้านจะเก็บไว้ให้) เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าไปญี่ปุ่นแล้วเห็นมีหมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า แขวนตามต้นไม้ เพราะคนที่เก็บได้เขาจะนำมาแขวนไว้ใกล้ๆ กับที่มีคนทำตกเพื่อให้เจ้าของกลับมาตามหาเจอ (ที่ไทย สองวินาทีหายเรียบ 5555 )


8.ของแฮนด์เมดที่ญี่ปุ่นราคาแพงมากกกกกกกกกก คนจะยกย่องและฮือฮามากถ้าคุณทำของแฮนด์เมดได้ เพราะถือว่ามีฝีมือสุดยอด (เชิญไปชมที่อินดี้อินทาวน์เลยค่ะ)



9.คนท้องจะมีแท็กจากโรงพยาบาลให้พกติดตัวไว้ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อที่คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้ท้องและจะได้บริการให้เป็นพิเศษ เช่น ลุกให้นั่งบนรถไฟใต้ดิน (เพราะบางคนก็อ้วนไง)


10.ห้องพักตามอพาร์ทเมนท์ คอนโด และโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นจะไม่มีห้องหมายเลข 4 เพราะถือว่าเป็นตัวเลขอัปมงคล เพราะอ่านออกเสียงว่า "ซื่อ" ที่แปลว่าตาย (เหมือนที่แถบตะวันตกไม่มีเลข 13 ล่ะมั้ง)


11.ร้านอาหารที่ญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้นำอาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านอื่นมาทานในร้าน แม้กระทั่งน้ำเปล่าจาก 7-11 (อันนี้รู้สึกว่าแอบใจร้ายนะ)



12. 7-11 หรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ มีห้องน้ำให้เข้าฟรี (ดีจัง)


13.เวลาทิ้งขยะที่เป็นขวดกล่องน้ำหรือนม จะต้องล้างขวด
หรือกล่องนั้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยทิ้ง เพราะหากทิ้งลงไปทั้ง
อย่างนั้น ของข้างในอาจบูดเน่าและส่งกลิ่นเหม็น (สุดยอดๆ)





14. สามารถยืนอ่านหนังสือโป๊หรือการ์ตูนโป๊ได้แจ่มๆ ไม่มีใคร
มองด้วยสายตาแปลกประหลาด (555555 จะดีเหรอ)


15. ผู้ชายญี่ปุ่นแทบทุกคนชอบกันคิ้ว เพราะผู้ชายที่นี่รักสวยรัก
งามไม่แพ้ผู้หญิง ถ้าไปทำผมในร้านเสริมสวย ช่างทำผมจะถามแน่
นอนว่าจะกันคิ้วเพิ่มด้วยมั้ย (ผู้ชายญี่ปุ่นเค้าชิคกันมาก)


2553/01/14

สุดสยอง!!!!!!!!++ การทดลอง ตัดหัวหมาแล้วไม่ตาย

( Scientists Kept a Dog’s Severed Head Alive! )


Head Alive ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ มีแต่หัวแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ คำตอบ คือ เป็นไปได้ แต่ เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ โดยหลังจากที่ หัวขาดออกจากร่างกาย แล้วสมองยังจะสามารถทำงานต่อไปได้อีกประมาณ 2 นาที หลังจากหัวใจหยุดเต้น
แต่ได้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ของ สหภาพโซเวียต ในปี 1920 โดย นักวิทยาศาสตร์ชื่อว่า Sergei Brukhonenko ที่ทำการทดลอง ตัดหัวสุนัข (หมา) แล้วสามารถค้ำจุลชีพ ของมันไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถทำให้ หัว ที่ปราศจากร่างกาย ยังสามารถ รักษาประสาทสัมผัส ทั้งความรู้สึก คัน เจ็บ ดมกลิ่น ได้ยินเสียง ให้ทำงานอยู่ได้ โดยการทดลองนี้ได้มีขั้นตอนดังต่อไปนี้


ตัดหัวสุนัข โดยวางยาชา
นำหัวสุนัขมาต่อเข้ากับ เครื่องหัวใจ และ ปอด เทียม หรือที่เรียกว่าเครื่อง Autojector และเครื่องมือนี้จะทำหน้าที่ค้ำจุลชีวิตของสุนัข แทนร่างกาย
หลังจากนั้นทำการ ส่องไฟที่ตาสุนัข สุนัขจะกระพริบตา
เมื่อ ทำาทุบโต๊ะด้วยค้อน หัวสุนัขจะมีปฏิกริยาตอบสนอง กระดิกหู มีการขยับหัว และเห่า

สุริยุปราคา' ห้ามดูด้วยตาเปล่า!!

ย้ำคำเตือนนี้...ทุกครั้ง ที่ต้องการชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาหรือที่เราเรียกกันว่า“สุริยคราส”

เพราะแสงอาทิตย์มีพลังงานสูงไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม หากมองด้วยตาเปล่าหรือใช้อุปกรณ์การดูที่ไม่ถูกต้อง อันตรายต่อดวงตาแน่นอน!!

แม้ไม่เห็นผลฉับพลัน หรือตาบอดทันที แต่อาจทำให้จอรับภาพเสื่อมในระยะยาวได้

สำหรับการชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาในเมืองไทย ครั้งแรกและครั้งเดียวของปี 2553 ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มกราคมนี้ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. แนะวิธีดูสุริยุปราคาอย่างปลอดภัย โดยใช้อุปกรณ์ช่วยในการสังเกตปรากฏการณ์

ซึ่งอุปกรณ์ที่สามารถนำมา มองผ่านได้โดยตรง ก็คือ กล้องโทรทรรศน์ที่ติดแผ่นกรองแสงสำหรับดูดวงอาทิตย์

หรือใช้แว่นดูดวงอาทิตย์ หรือที่เรียกว่าแว่นสุริยะ ที่ติดแผ่นกรองแสงชนิดพิเศษ (Mylar Filter, Black Polymer) ซึ่งส่วนใหญ่ตามสถานที่จัดกิจกรรมการสังเกตสุริยุปราคาของหน่วยงานต่าง ๆ มักจะผลิตขึ้นแจกฟรี ให้กับผู้เข้าร่วมงาน

หากจะดูเอง.. แล้วยังไม่มีแว่นสุริยะ ผู้วชาญด้านดาราศาสตร์บอกว่า อุปกรณ์ใกล้ตัวที่สามารถนำมาใช้แทนได้ก็คือ แผ่นดีวีดี ที่ไม่มีลวดลาย และไม่มีรอยถลอกใด ๆ ปิดรูตรงกลางหรือบริเวณที่แสงผ่านให้สนิทก็สามารถนำมาส่องแทนแว่นตาสุริยะได้ทันที ส่วนแผ่นซีดีนั้นไม่แนะนำเพราะว่าเคลือบฟิล์มบางเกินไป

หรือจะเป็นกระจกช่างเชื่อมเบอร์14 ก็ได้

ทั้งแผ่นดีวีดี และกระจกช่างเชื่อมเบอร์ 14 หลายคนอาจไม่คุ้นและไม่มั่นใจ แต่ได้รับการแนะนำจากสดร. รวมถึงแพทย์ผู้วชาญด้านสายตา อย่าง นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์จากโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า บอกว่า สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย ยังไม่เคยมีกรณีที่ได้รับอันตรายจากทั้งสองอุปกรณ์นี้ แต่ก็ต้องย้ำต้องดูอย่างถูกวิธีเท่านั้น

… และไม่ควรมองดวงอาทิตย์นานเกินครั้งละ 5 วินาที …

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้สังเกตทางอ้อม ก็คือ การฉายภาพดวงอาทิตย์บนฉากรับภาพจากกล้องโทรทรรศน์การดูผ่านกล้องรูเข็ม การสังเกตเงาใต้ร่มไม้
นอกจากนี้ หากต้องการถ่ายภาพ “สุริยุปราคา” สามารถทำได้โดยถ่ายภาพผ่านแผ่นกรองแสงอาทิตย์ (Solar Filter) เพื่อลดความเข้มของแสงจากดวงอาทิตย์ อีกทั้งยังช่วยป้องกัน สายตาไว้มิให้เป็นอันตรายจากแสงอันแรงกล้าของดวงอาทิตย์ และอย่าใช้กล้องส่องไปยังดวงอาทิตย์โดย ตรงอย่างเด็ดขาด

สุดยอด 10 อันดับสัตว์ที่เป็นเกย์ !

10. Guianan--of-the-Rock ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าตัวอะไร เอาเป็นว่ากว่า 40 เปอร์เซนต์ของนกตัวผู้ ชอบผสมพันธุ์กันเองมากกว่า แถมยังมีบางส่วนที่ไม่ยอมมีอะไรกับตัวเมียเลยอีกด้วย



อันดับที่ 9
Walrus วอลรัส หรือ ช้างน้ำ ตัวผู้จะผสมพันธุ์ได้ก็ต่อเมื่อมันอายุครบ 4 ปีแล้ว ก่อนหน้านั้นมันก็เลยชอบกุ๊กกิ๊กกับเพศเดียวกันซะมากกว่า พวกวอลรัสตัวผู้ที่แก่ ๆ หน่อย ก็มักจะเป็นไบเซ็กชวล คือผสมพันธุ์กับตัวเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์ นอกจากนั้นแล้วก็จะหนีไปมีอะไร ๆ กับตัวผู้ด้วยกันเอง


อันดับที่ 8
Black Swan หงส์ดำ (ไม่ใช่หงส์แดงนะ) พวกนี้มักจะกุ๊กกิ๊กกับเพศเดียวกันเป็นจำนวนถึง 20 เปอร์เซนต์เลยล่ะ นอกจากนี้แล้วเกือบ 1 ใน 4 ของครอบครัวหงส์ทั้งหมด มีพ่อและแม่เป็นเพศเดียวกันซะด้วย โดยเค้าบอกว่าพอตัวเมียวางไข่เสร็จแล้ว ตัวผู้ก็จะไล่ตัวเมียออก ไปแล้วก็กกไข่ต่อเองล่ะ



อันดับที่ 7
Kob antelope ชื่อภาษาไทยว่า "ละมั่ง" จ้า สำหรับเจ้าพวกนี้แล้ว เค้าพบว่าตัวเมียมักจะชอบผสมพันธุ์กันเองมากกว่า ตัวผู้คงจะไม่น่าสนใจอีกแล้วล่ะ


อันดับที่ 6
Giraffes ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยีราฟตัวผู้มักจะชอบกันเองซะเป็นส่วนใหญ่ เรียกได้ว่ามากกว่าที่มันจะชอบเพศตรงข้ามซะอีก วิธีการกุ๊กกิ๊กของ เจ้ายีราฟนี่ก็น่ารักนะ โดยเค้าจะเริ่มจากการเอาคอพันกันไปมาซะก่อน และเค้ายังพบอีกว่าในขณะใด ๆ ก็ตาม จะต้องมียีราฟตัวผู้ อย่างน้อย 1 ตัวจาก 20 ตัวที่กำลังพันคอของมันเข้ากับคู่ตัวผู้ด้วยกัน


อันดับที่ 5

Bottlenose Dolphins โลมาจมูกขวดนี้ ชอบเพศเดียวกันเป็นจำนวนพอ ๆ กับที่ชอบเพศตรงข้ามเลยล่ะ ตัวผู้โดยทั่วไปแล้วจะเป็นไบเซ็กชวล แต่ก็หลัง จากที่มันผ่านการชอบไม้ป่าเดียวกันมาแล้วล่ะนะ


อันดับที่ 4
American Bison สำหรับวัวไบซันแล้ว จำนวนตัวผู้ที่ชอบกันเอง มีมากกว่าแบบปกติ (ตัวผู้คู่กับตัวเมีย) ซะอีก นับได้ประมาณ 55 เปอร์เซนต์เลยล่ะ สาเหตุสำคัญก็เพราะตัวเมียเค้าจะยอมมีอะไร ๆ กับตัวผู้แค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น(นั่น แอบเหงา)


อับดับที่ 3
Japanese Macaques เรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า "ลิงแสมญี่ปุ่น" จ้า เค้าบอกว่าลิงตัวเมียเนี่ยเป็นพวกรักเดียวใจเดียว คือ จะมีแฟนแค่ครั้งละคน แต่ที่ว่า ไม่ค่อยดีก็คือ พอถึงฤดูผสมพันธุ์ เค้าจะมีครั้งละคน แต่หลาย ๆ ครั้งน่ะสิ แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียก็มักจะชอบเพศเดียวกัน ซะเป็นส่วนใหญ่


อันดับที่ 2
Bonobo Chimpanzees ไม่น่าเชื่อว่าเกือบทั้งหมดของชิมแพนซีโบโนโบนี้จะเป็นไบเซ็กชวล (หรือก็คือรักหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย) เค้ายังบอก อีกว่าชิมแพนซีที่ชอบเพศเดียวกันนั้น 2 ใน 3 เป็นตัวเมียอีกต่างหาก ...สงสัยตัวผู้จะไม่ดึงดูดใจพอ - -

อันดับที่ 1 !!
มนุษย์เราันั้นเอง

2553/01/07

ช็อค ตะลึ่ง เด็ก 11 ขวบเรียนจบมหาวิทยาลัย แถมยังคว้าเกียรตินิยม อีกด้วย

สถานีเอ็นบีซีและฟ็อกซ์ของสหรัฐรายงานเปิดตัวเจ้าหนูอัจฉริยะ โมเช่ ไค คาวาลิน เด็กชาวอเมริกัน
ลูกครึ่งยิว-ไต้หวัน ที่เรียนจบวิทยาลัยชุมชนอีสต์ นครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
คว้าเกียรตินิยมด้วยเกรดเฉลี่ย 4.00 ด้วยวัย 11 ขวบ

"ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเด็กอัจฉริยะ เพราะโลกนี้มีคนตั้ง 6,500 ล้านคน
และทุกคนก็มีความฉลาดในเรื่องต่างๆ กันไป ความฝันของผม
ผมอยากเป็นดาราหนังแล้วก็ลงแข่งศิลปะป้อง กันตัวในกีฬาโอลิมปิก 2016"
เด็กชายโมเช่ กล่าวและว่า ในอนาคตอยากใช้ความรู้ที่มีช่วยเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้น

เด็กชายฉายแววฉลาดตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ไม่มีโรงเรียนใดอยากรับ

เพราะเก่งกว่าครู พ่อแม่จึงสอนลูกที่บ้านตามแนวทางโฮมสคูล
กระทั่งอายุ 8 ขวบ วิทยาลัยดังกล่าวรับให้เข้าเรียน
ต่อมายังอนุญาตให้ลงทะเบียนเป็นนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์
ขณะที่ด.ช.โมเช่ยังเตรียมเลือกเรียนเอกวิชาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ วิชาโปรด ในระดับมหาวิทยาลัย

ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า โมเช่วางแผนหยุดพักการเรียนชั่วคราวเพื่อทำสิ่งที่ชอบ

เช่น เขียนหนังสือแนะนำเคล็ดลับการเรียนให้เด็กคนอื่นๆ อ่าน
รวมถึงเรียนดำน้ำ และฝึกฝนศิลปะต่อสู้ป้องกันตัวเพิ่มเติม
หลังคว้ารางวัลมาหลายรายการ
ส่วนวิดีโอเกม เด็กชายบอกว่า ไม่ชอบเล่น เพราะเสียเวลา ไม่ได้ช่วยให้มนุษยชาติดีขึ้น






กับเพื่อนๆนักศึกษา

เจ้าหนู อัจฉริยะ โมเช่ ไค คาวาลิน (Moshe Kai Cavalin)
เป็นเด็กอัจฉริยะที่ไม่ยอมให้เรียกเขาว่าเด็กอัจฉริยะ
ปัจจุบันอายุ 11 ปี และความสูงเพียง 4 ฟุต 7 นิ้ว ด้วยส่วนสูงดังกล่าวนี้
ทำให้เวลาที่เขานั่งเรียนในห้องร่วมกับพี่ ๆ เพื่อน ๆ วัย 19 - 20 ปี
ใน East Los Angeles College นั้น เท้าของเขายังแตะไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ



Cavalin กับแม่ Shu Chen Chien ชาวไต้หวัน

พ่อของ Cavalin เป็นชาวอิสราเอล ขณะที่แม่ Shu Chen Chien เป็นชาวไต้หวัน
ครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวนี้อาศัยอยู่ในลอสแองเจลลิส สหรัฐอเมริกา




ส่วน Cavalin แม้ว่าปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ East Los Angeles College
แต่ภายในปีนี้ หากว่าเขาสามารถรักษาเกรด
และทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของสถาบันได้เสร็จสิ้น
เขาจะทรานสเฟอร์ไปศึกษาต่อด้านดาราศาสตร์ ในสาขา astrophysics
ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางฟิสิคส์ของนพเคราะห์และดวงดาวอื่น ๆ
ที่ต้องใช้เวลาในการศึกษานาน 4 ปี

หนึ่งในเรื่องที่เขาสนใจคือ "Wormholes"
ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ยังคงเป็นแค่ข้อสมมติฐาน
แต่ก็มีความเชื่อมโยงกับทฤษฎีของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
โดยเขาตั้งใจว่าจะพิสูจน์ถึงการมีอยู่จริงของ Wormholes และพิสูจน์ว่าทฤษฎีต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง






กิจวัตรประจำวันหลังเลิกเรียนของ Moshe Kai Cavalin นั้น
คือการทำการบ้านวิชาสถิติให้เสร็จ ก่อนจะไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ตามที่เขาสนใจ
โดย Cavalin ยังชอบเล่นฟุตบอล ชอบดูหนังบู๊ของเฉินหลง
สะสมรถยนต์ของเล่น และหมวกเบสบอลที่มีตราเสืออยู่บนหมวก
เพราะเขาเกิดในปีเสือตามปีนักษัตรจีน

แต่ Cavalin ก็ไม่ใช่เด็กที่มีอายุน้อยที่สุดที่สามารถสำเร็จการศึกษาในระดับนี้ได้
หากแต่เป็น Micheal Kearney ที่ได้รับการยกย่อง โดย Micheal
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านมนุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยเซาท์อลาบามา
เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ (ปัจจุบัน Micheal อายุ 24 ปี)



Daniel Judge อาจารย์สอนวิชาสถิติของ Cavalin

"อย่างไรก็ดี เขาเป็นนักเรียนที่เด็กที่สุดเท่าที่เคยมีมาของสถาบันเรา
และก็เป็นคนที่มีความอุตสาหะอย่างสูงในการเรียน
โดยในห้องเรียนเขาเป็นเด็กที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ปรับตัวได้รวดเร็ว และเป็นเด็กที่น่ารักมาก"
แดเนียล จัดจ์ (Daniel Judge) อาจารย์ด้านสถิติของ Cavalin กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2006 Cavalin อายุ 8 ขวบ
และได้เข้าเรียนในคลาสของ Guajao Liao ในวิชา Intermediate algebra
และในช่วงปลายเทอม อาจารย์ผู้สอนได้ให้เขาช่วยเป็นติวเตอร์ให้กับเพื่อน ๆ พี่ ๆ นักเรียนคนอื่น ๆ ในคลาสด้วย

"เราได้เคยคุยกับผู้ปกครองของเด็กแล้วว่า ความสามารถของเขานั้นสูงเกินไปแล้ว
เขาควรจะไปลงเรียนในหลักสูตรที่สูงขึ้นไปแต่ทางพ่อแม่ของเด็กบอกว่า ไม่อยากผลักดันเด็กมากจนเกินไป"

พ่อแม่ของ Cavalin เองก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า "อัจฉริยะ" กับลูกชาย
โดยบอกเพียงว่า ลูกชายของพวกเขานั้นเป็นเด็กธรรมดา เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป
ที่บังเอิญรักการเรียนมากไปหน่อยเท่านั้นเอง

โดยในช่วงวัย 6 ขวบนั้น Cavalin เคยจะเข้าเรียนในโรงเรียนประถมเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป
หากแต่ได้รับการทักท้วงจากครูในโรงเรียนว่า เขาไม่เหมาะกับการเรียนการสอนดังกล่าว
เนื่องจากเขาเข้าใจเนื้อหาที่จะเรียนปรุโปร่งไปหมดแล้ว
ทางครอบครัวจึงต้องจัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูลให้กับเขาที่บ้านแทน

แต่หลังจากนั้นเพียง 2 ปี พวกเขาก็ตัดสินใจส่งลูกเข้าเรียนในระดับวิทยาลัย
โดยในช่วงแรก ทางสถาบันยอมให้เขาลงทะเบียนได้เพียงสองวิชา
คือคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ แต่หลังจากที่ผลคะแนนออกมาและเขาได้ A+ ทั้งสองวิชา
เขาก็ได้รับโอกาสลงทะเบียนเรียนได้ตามที่ใจต้องการ
ทั้งนี้หลังจากที่เขาเรียนมาได้ 1 ปีกว่า ๆ เกรดเฉลี่ยของเขาก็ยังคงอยู่ในระดับ A+ ด้วย

ด้าน Cavalin กล่าวถึงตัวเองอย่างถ่อมตัวว่า
เขาคงไม่นิยามความสำเร็จของตนเองในครั้งนี้ว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ
เพราะคนบนโลกนี้มีอยู่อีกกว่า 6.5 พันล้านคน และแต่ละคนต่างก็มีอัจฉริยภาพที่แตกต่างกัน

ขณะที่อาจารย์ของ Cavalin อย่างแดเนียล จัดจ์กล่าวว่า
"เด็กนักเรียนส่วนมากมักสร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้นความสามารถของตัวเอง
ด้วยการคิดว่าสิ่งต่าง ๆ รอบตัวนั้นช่างเป็นเรื่องยากเกินความสามารถ
นั่นจึงทำให้พวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
แต่เคสของ Cavalin นั้นแตกต่างออกไป
แม้ว่า Cavalin จะพบความยุ่งยากแต่เขาก็เลือกที่จะเดินต่อไป
เรียกได้ว่าเขาพัฒนาความสามารถได้อย่างถูกทาง"

20 สิ่งที่แสดงความเป็น "ผู้ดีอังกฤษ"

1. ยืนต่อแถว ในประเทศอังกฤษการเข้าแถวต่อคิว
ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออาหาร การรอรถบัส หรืออื่นๆ
ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก

2. ถอดหมวกทุกครั้งเมื่อเข้าในร่ม (เฉพาะผู้ชาย)
โดยเฉพาะในโบสถ์ที่ต้องถอดหมวกทุกครั้งเมื่อเข้า
ไป แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีคนจำนวนมากที่ไม่
นิยมถอดหมวกเมื่อเข้าไปในที่ร่ม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง
ที่ไม่สุภาพ

3. พูด "Excuse me" เช่น ถ้ามีคนมายืนขวาง
ทางเรา เราต้องพูด Excuse me เพื่อขอให้เค้า
ช่วยหลีกทาง

4. จ่ายเงินในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนสั่ง เมื่อไปทานข้าว
กับใครก็ตาม ถ้าเราเป็นคนสั่งอาหารหรือเครื่องดื่ม
นั้นให้ฝ่ายตรงข้าม เราต้องจ่ายเงินในส่วนนั้นด้วย

5. Please / Thank you เรียกได้ว่าเป็นคำพูด
ติดปากของคนอังกฤษ ซึ่งหากใครไม่พูดคำนี้เวลา
ขอร้องและขอบคุณ ถือว่าไม่มีมารยาท

6. เมื่อต้องการไอหรือจาม ต้องใช้มือปิดปากทุก
ครั้ง



7. เมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่ ควรทักทายด้วยการจับมือขวา
8. พูดคำว่า Sorry เช่น เดินชนผู้อื่น ถึงแม้จะเป็นความผิดของอีกฝ่าย แต่เราควรจะเอ่ยปากว่า
ขอโทษก่อน
9. ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม หน้าที่ยิ้มคือหน้าที่บ่งบอกการต้อนรับผู้อื่น
10. เปิดประตูให้อีกฝ่าย ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ถ้าใครเดินถึงประตูก่อนคนแรก ต้องเป็นคนเปิดประตู
ให้อีกฝ่ายด้วย

11. ไม่ทักทายกันด้วยการจูบ จะจูบเฉพาะกับเพื่อน
สนิทหรือญาติพี่น้องเท่านั้น

12. ไม่คุยเสียงดังในที่สาธารณะ

13. ไม่จ้องมองคนอื่นในที่สาธารณะ เพราะถือว่าเป็น
การทำลายความส่วนตัว

14. ไม่ถามอายุของผู้หญิง ถือว่าเป็นการไม่
สุภาพอย่างมาก

15. ไม่ถามคำถามส่วนตัว เช่น หนักเท่าไหร่ มีเงิน
เก็บเท่าไหร่ หรือ ทำไมยังไม่แต่งงาน (คนไทยชอบ
ถามกันมากๆ)

16. ไม่พูดคุยในขณะที่มีอาหารอยู่เต็มปาก

17. ไม่เรอเสียงดังหลังจากกินหรือดื่ม แต่ถ้าอดไม่ได้
จริงๆ ก็ให้ปิดปากและเอ่ยว่า Excuse me

18. ไม่ถุยน้ำลายบนถนน ถือว่าเป็นสิ่งที่หยาบคาย
มากๆ

19. ไม่ควรผายลมในที่สาธารณะ ถ้าอดไม่ได้จริงๆ ให้พูดว่า Pardon me หรือ Excuse me
20. ไม่ควรสั่งน้ำมูกในที่สาธารณะ หรือไม่งั้นควรใช้ผ้าเช็ดหน้า