2553/10/22

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช พระราชาอันเป็นที่รักยิ่งแห่งราษฎร

วันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวัน "ปิยมหาราช" จะมีพิธีวางพวงมาลาและถวายบังคมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงประกาศ “เลิกทาส” อันเป็นรากฐานการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย พระองค์ทรงปฏิรูปและพัฒนาในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การสาธารณสุข การศึกษา การต่างประเทศ และการคมนาคม เป็นต้น ตลอดจนนำพาประเทศให้รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมพ้นในการเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ โดยพระองค์ทรงยอมสูญเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาเอกราชของเราเอาไว้ นอกจากนี้พระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่มและวางแผนให้โครงสร้างของสังคมไทย มีความทันสมัยทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำพิธีเปิดพระบรมรูปทรงม้าในงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ในวโรกาสที่รัชกาลที่ 5 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 40 ปี เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2451 ซึ่งประชาชนทั่งประเทศได้พร้อมใจกันสร้างพระบรมรูปทรงม้าอันสง่างาม พร้อมด้วยการเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “ สมเด็จพระปิยมหาราช ” สร้างเป็นเครื่องประกาศพระเกียรติคุณ และเพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณ


พระบรมรูปทรงม้าหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ทรงเครื่องยศจอมพลทหารบก เสด็จประทับบนม้าพระที่นั่งวางบนแท่นหินอ่อน หากท่านไปยืนด้านหน้าจะมีจารึกบนแผ่นโลหะประดับสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระองค์ จะพบคำว่า “ปิยมหาราช” ปรากฏอยู่เป็นหลักฐาน ซึ่งมีความหมายคือ พระราชาอันเป็นที่รักยิ่งแห่งราษฎร และในปีนี้ (พ.ศ. 2551) เป็นโอกาสที่เป็นมงคลได้เวียนมาครบรอบ 100 ปี พระบรมรูปทรงม้า บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้นำภาพตราไปรษณียากรชุดพระบรมรูปทรงม้า ชนิดราคา 2 บาท ซึ่งเป็นตราไปรษณียากรที่ระลึกพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชสมบัติยาวนานยิ่งกว่าบูรพกษัตริย์องค์อื่นๆ ในพระราชพงศาวดารแต่ก่อนมาทุกพระองค์ มาพิมพ์ลงบนตราไปรษณียากร

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพในวันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับ เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู ณ พระตำหนัก ตึกด้านหลังองค์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชการที่ 4) กับสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี พระองค์ทรงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีทั้งด้านอักษรศาสตร์ โบราณราชประเพณี วิชาการสงคราม และการปกครอง ทั้งยังทรงใฝ่พระทัย ศึกษาพระธรรมวินัย เมื่อมีพระชนมายุ 15 พรรษาทรงได้รับเลื่อนยศขึ้นเป็น กรมขุนพินิจประชานาถ ต่อมา สมเด็จพระราชบิดา ประชวรสวรรคต ด้วยโรคไข้ป่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิจประชานาถจึงได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2411 ขณะนั้นพระองค์ทรงมีชนมายุย่างเข้า16 พรรษาทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์


ตลอดระยะเวลา 42 ปีที่ทรงครองราชย์ ได้ทรงพัฒนาสยามประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศทุกวิถีทางอาทิเช่น ด้านการปกครอง การศึกษา การสาธารณูปโภค การต่างประเทศ และ เศรษฐกิจ เนื่องจากทรงเอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ของประชาราษฎร ด้วยการเสด็จออกไปตรวจราชการ พบปะประชาชน ข้าราชการเสมอๆ นอกจากนั้นทรงเสด็จไปต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ชวา พม่า อินเดีย ตลอดจนถึงยุโรปในหลายประเทศ ทำให้ประเทศไทยได้เป็นที่รู้จักยอมรับและของนานาประเทศ


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบรมราชาภิเษก 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 ในพระชนมายุ 20 พรรษา ทรงมีพระมเหสีและเจ้าจอมรวม 92 พระองค์ ทรงมีพระโอรสและพระราชธิดา รวมทั้งสิ้น 77 พระองค์ สำหรับพระมเหสีที่สำคัญได้แก่

1. สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตนพระบรมราชเทวี (อัครมเหสีองค์แรก) หรือ สมเด็จพระนางเรือล่ม สิ้นพระชนม์เพราะเรือร่ม ขณะกำลังทรงพระครรภ์ 5 เดือนพร้อมกับพระธิดาที่มีพระชนมายุเพียง 2

2. สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (อัครมเหสีองค์ที่ 2) พระองค์ก็คือสมเด็จย่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน

3. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระชนนี ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระปรีชาสามารถด้านวรรณกรรม ทั้งกวีและนักแต่งหนังสือ พร้อมทั้งมีความสามารถแต่งโครง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร้อยแก้ว รัชกาลที่ 5 ทรงมีผลงานพระราชนิพนธ์ เช่น พระราชพิธี 12 เดือน ไกลบ้าน พระราชวิจารณ์ เงาะป่า ลิลิตนิทราชาคริต เสด็จประพาสต้น

กาพย์เห่เรือ ประชุมโคลงสุภาษิต เป็นต้น กวีในรัชสมัยนี้อาทิเช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระยาศรีสุนทรโวหาร และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชาพร ฯลฯ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประชวรพระวักกะ (ไต) พิการ วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 พระองค์ได้เสด็จสวรรคต รวมพระชนอายุ 57 พรรษา ทรงเสวยราชย์ 42 ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินสยาม ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณสุดคณานับทั้งประโยชน์ สุข ความเจริญรุ่งเรือง นำชาติให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ พระคุณสุดล้นที่จะพรรณนาจากใจของประชาชนชาวไทยได้หมด พระองค์จึงเป็นที่รักยิ่งของราษฎร
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
ด้านการปกครอง : เกิดการปฏิรูประเบียบวิธีปกครองให้ทันสมัย ดังนี้

1. ตั้งสภาแผ่นดิน 2 สภา คือสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาและคำคิดเห็นต่างๆ และอีกสภาคือ สภาองคมนตรี ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์และปฏิบัติราชการต่างๆ ตามพระราชดำริ
2. ตั้งกระทรวงขึ้น 12 กระทรวง เพื่อให้การบริหารส่วนราชการสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและปริมาณของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น
3. ยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เปลี่ยนเป็นการปกครองแบบเทศาภิบาล คือรวมหัวเมืองหลายเมืองเข้าเป็นมณฑล
4. ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลให้ทันสมัยและขจัดสิทธิสภาพนอกอาณาเขต มีกระทรวงยุติธรรมรับผิดชอบอย่างแท้จริง ทรงประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญาซึ่งถือเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายอีกด้วย
5. ให้จัดการทหารตามแบบแผนของยุโรป และวางกำหนดการเกณฑ์ทหารเข้าเป็นทหาร แทนการใช้แรงงานบังคับไพร่ตามประเพณีเดิม ทรงจัดตั้งโรงเรียนการทหาร คือ โรงเรียนรายร้อยพระจุลจอมเกล้าขึ้นและ จัดตั้งตำรวจภูธร ตำรวจนครบาล อีกด้วย


6. การเลิกทาส พระองค์ทรงใช้วิธีการอย่างละมุนละม่อมในการเลิกทาส มิให้ทั้งนายและตัวทาสเองได้รับผลเสียและไม่พึงพอใจ ทรงดำเนินการเลิกทาสอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพระองค์ทรงเริ่มจากการจัดระเบียบสังคมเสียใหม่ให้มีการใช้แรงงานจ้าง ทหารประจำการหรือทหารอาชีพแทนการเกณฑ์แรงงาน มีการตราพระราชบัญญัติทหารหลายฉบับ และประกาศใช้ พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 โดยกำหนดให้ไพร่ที่มีอายุ 18 - 20 ปีต้องเข้ารับการคัดเลือกเป็นทหารและประจำการมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี การประกาศใช้พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหารนี้ นับเป็นการยกเลิกระบบไพร่หรือการเลิกทาสอย่างเป็นทางการ ไพร่จึงมีสถานะเป็นคนสามัญ เป็นแรงงานอิสระที่มีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในฐานะมนุษย์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเลิกทาสได้เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2417 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2448 จึงเลิกระบบทาสได้สำเร็จ และได้ออกเป็นพระราชบัญญัติทาส รศ. 128


เป็นเวลานานกว่าสามสิบปี พระองค์ทรงพระอุตสาหะจัดการในเรื่องนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ ดำเนินการได้เรียบร้อย โดยมิได้เสียเลือดเนื้อหรือเกิดการเดือดร้อนประการใด พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ย่อมยังประโยชน์ให้แก่ชาวไทยและประเทศชาติเป็นอเนกประการ

ด้านการศึกษา : พระองค์ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงทรงปฏิรูปการศึกษาโดยให้วัดร่วมมือกับรัฐจัดตั้งโรงเรียนเพื่อสอนความรู้อย่างเป็นระบบแบบแผนที่ทันสมัย คือให้มีสถานที่เล่าเรียน มีครูสอนตามเวลาที่กำหนด และให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นพระบรมมหาราชวัง มีเป้าหมายเพื่อ การเรียน การสอนในการฝึกหัดกุลบุตรของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นสูงที่ถวายตัวเพื่อรับราชการโรงเรียนเหล่านี้ได้แก่ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ใน พ.ศ. 2427 ทรงได้จัดตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม และในเวลาต่อมาก็ได้ทรงตั้ง กรมศึกษาธิการ และกระทรวงธรรมการ (ปัจจุบัน กระทรวงศึกษาธิการ) ตามลำดับ ทำให้การศึกษาขยายสามารถขยายไปทั่วราชอาณาจัก ทำให้ประชนชนมีการศึกษามากขึ้น
ด้านการสาธารณสุข : พระองค์ทรงนำวิทยาการด้านการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาปรับใช้ดำเนินการ ปรับปรุงการแพทย์ด้านต่างๆ เช่น การจัดตั้งสถานพยาบาล การผลิตบุคลากรทางการแพทย์ การผลิตยา การป้องกันโรคระบาด รวมทั้งการจัดองค์กรให้ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในด้านการสาธารณสุข

มีพระราชดำริจะจัดตั้งโรงพยาบาล ให้ทันสมัยเหมือนในต่างประเทศ กำหนดสถานที่ก่อสร้างคือบริเวณพระราชวัง ต่อมาพระราชทานนามว่า “โรงศิริราชพยาบาล ” นับเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของประเทศ และได้ตั้งกรมพยาบาลขึ้นในปีเดียวกันนั้นใน พ.ศ. 2429 ต่อมาในพ.ศ. 2432 โปรดให้ตั้ง โรงเรียนสอนวิชาแพทย์ ขึ้นวิชาที่ตั้งใจสอนเป็นสำคัญคือ วิชาศัลยกรรมมี หมอจอร์จ แมก ฟาร์แลนด์ ( George Mc. Farland ) เป็นผู้สอน

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งที่ได้ทรงจัดทำขึ้นคือ กฏหมายลงโทษผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการอนามัยของประชาชน เช่น ความผิดในการปลอมปนเครื่องอาหาร เครื่องยา การทิ้งของโสโครกในเขตชุมชน การขายสุราให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี และออกประกาศห้ามการสูบฝิ่น และการผสมฝิ่นเป็นยาในพระราชอาณาจักร ออก พระราชบัญญัติกำหนดโทษผู้ทำฝิ่นเถื่อน และในที่สุดได้ทรงยกเลิกโรงฝิ่นในกรุงเทพฯ กว่า 500โรง ในพ.ศ. 2453 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในรัชสมัยของพระองค์ ทรงเล็งเห็นสุขภาพอนามัยประชาชนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปบ้านเมืองอีกด้วย

ด้านศาสนา : ทรงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ร.ศ.121นับเป็นพระราชบัญญัติ
ปกครองฉบับแรกของคณะสงฆ์ของไทย เพื่อให้การปกครองสงฆ์เป็นไปอย่างมีระเบียบ กำหนดให้สมเด็จพระสังราชเป็นประมุขและเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดทางฝ่ายสงฆ์ พร้อมทั้งกำหนดให้มีมหาเถรสมาคม เป็นองค์การปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์อีกด้วย นอกจากนี้ ทรงโปรดให้จัดพิมพ์หนังสือพระไตรปิฎกขึ้นแทนการจารึกลงในใบลาน นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและของโลกที่ได้มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกด้วยระบบการพิมพ์สมัยใหม่ เมื่อพิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้วได้พระราชทานไปตามวัดและห้องสมุด และให้มีงานฉลองพร้อมกับงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก เนื่องในโอกาสทรงเสวยราชย์ครบ 25 ปีอีกด้วย

วัดเบญจมบพิตรในสมัยรัชกาลที่๕ เมื่อกำลังมีงาน ขณะนั้นพระอุโบสถยังสร้างไม่เสร็จ
ด้านเศรษฐกิจ : ทรงยกเลิกการเก็บภาษีแบบเก่า ปรับปรุงระบบเก็บภาษีใหม่โดยทรงจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์เป็นสำนักงานกลาง ต่อมายกฐานะเป็นกระทรวงการคลัง เมื่อ พ.ศ.2435 ทรงทำนุบำรุงการทำมาหากินของราษฎร เช่น จัดตั้งกรมทดน้ำ เมื่อ พ.ศ. 2425 เพื่อช่วยให้การทำนาได้ผลดียิ่งขึ้น ยังมีการจัดตั้งกรมป่าขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2439 ทรงโปรดให้ทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อรักษาดุลภาพและความมั่นคง
ด้านการคมนาคมและการสื่อสาร : ในปี พ.ศ. 2426 ทรงจัดตั้งกรมไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาในปี พ.ศ. 2433 ทรงให้สร้างทางรถไฟเป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมให้การค้าและเศรษฐกิจขยายตัวมากยิ่งขึ้น
ทางรถไฟสายแรก คือเส้นทางระหว่าง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา สายต่อ ๆ ไปที่โปรดให้สร้างขึ้นในภายหลังคือ สายเพชรบุรี สายฉะเชิงเทรา สายเหนือเปิดใช้ถึงชุมทางบ้านดารา จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้สัมปทานเดินรถรางและรถไฟในกรุงเทพ ฯ สมุทรปราการ กับรถไฟในแขวงพระพุทธบาท ตลอดจนจัดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพ ฯ ต่อจากนั้นก็ได้มีการสร้างทางรถไฟไปยังภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ทรงให้ตัดถนนขึ้นหลายสายเช่น ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ทรงให้ตั้งบริษัทรถรางไทย จัดการเดินรถรางขึ้นในพระนครเพื่อให้ประชาชนได้เดินทางไปมาสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และสร้างสะพานข้ามคลองเช่น สะพานผ่านพิภพลีลา สะพานผ่านฟ้าลีลาศ สะพานมัฑวานรังสรรค์ เป็นต้น

ด้านการต่างประเทศ : พระองค์ทรงเสด็จเยือนต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย เป็นต้น การเสด็จต่างประเทศครั้งสำคัญได้แก่การเสด็จยุโรปสองครั้งคือ ครั้งที่แรก ในปี พ.ศ. 2440 ทรงใช้เวลานานถึง 9 เดือนในการเสด็จครั้งนี้ เสด็จไปเยี่ยมซาร์ นิโคลาสที่ 2 จักพรรดิแห่งรัสเซีย และเสด็จไปอีกหลายประเทศในยุโรป ทรงได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติเป็นอย่างดี ครั้งที่สอง ในปี 2450 ได้เสด็จเยือนยุโรปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทรงไปเพื่อพักผ่อนพระราชอิริยาบถและรักษาพระองค์ตามคำแนะนำของแพทย์ ในระหว่างที่เยือนยุโรปทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ “ไกลบ้าน ” ในรัชกาลนี้ได้ทรงเริ่มแต่งตั้ง อัครราชทูตประจำในประเทศต่างๆ ทำให้มีประสิทธิภาพทางด้านการทูตมากขึ้น

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่ได้รับสมัญญานามมหาราช
“สมเด็จพระปิยมหาราช” มีความหมายว่าพระราชาอันเป็นที่รักยิ่งแห่งราษฎร รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราช เพื่อให้พสกนิกรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

นักดาราศาสตร์ตะลึง พบดาวเคราะห์ดวงแรกคล้ายโลก และเหมาะที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

นักดาราศาสตร์เผยพบดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิตเป็นครั้งแรก ไม่ร้อน ไม่หนาวเกินไป เป็นดาวเคราะห์ที่เหมาะพอดีสำหรับสิ่งมีชีวิต อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลดาวฤกษ์ที่เป็นศูนย์กลางมากไป จึงจุน้ำในรูปของเหลวไว้ได้ อีกทั้งตัวดาวเคราะห์เองยังไม่เล็กหรือใหญ่ไปสำหรับการมีพื้นผิว แรงโน้มถ่วงและชั้นบรรยากาศที่เหมาะสม มีคุณสมบัติพอเหมาะเหมือนโลกของเรา

“ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นดาวเคราะห์โกลดิล็อคส์จริงๆ ดวงแรก” อาร์ พอล บัทเลอร์ (R. Paul Butler) จากสถาบันคาร์เนกีแห่งวอชิงตัน (Carnegie Institution of Washington) ผู้ร่วมค้นพบดาวเคราะห์ให้ความเห็น

เอพีรายงานว่า ดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่ค้นพบนี้อยู่ในตรงกลางตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์เรียกว่า “ตำแหน่งที่อาศัยอยู่ได้” (habitable zone) หรือโซนโกลดิล็อคส์ (Goldilocks zone)ซึ่งดาวเคราะห์ที่พบนี้ต่างไปจากดาวเคราะห์ราว 500 ดวงที่นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบนอกระบบสุริยะของเราก่อนหน้านี้ และดวงเคราะห์นี้ยังอยู่ในกาแลกซีละแวกใกล้เคียงกับเรา ซึ่งชี้ให้เห็นว่าดาวเคราะห์คล้ายโลกจำนวนมากโคจรรอบดาวฤกษ์ดวงอื่น
ทั้งนี้ การค้นพบดาวเคราะห์ที่น่าจะเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตได้นั้นเป็นก้าวสำคัญที่จะตอบคำถามอันเป็นอมตะว่า “เราอยู่ในจักรวาลนี้เพียงลำพังหรือไม่?” และการค้นพบของนักดาราศาสตร์ล่าสุดนี้ได้ตีพิมพ์ลงวารสารแอสโทรฟิสิคัลเจอร์นัล (Astrophysical Journal) และได้รับการประกาศจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งสหรัฐฯ (National Science Foundation) เมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น

ก่อนหน้านี้นักดาราศาสตร์เคยด่วนตัดสินใจออกมาประกาศว่า ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรานั้นมีสภาพพอให้อาศัยอยู่ได้ แต่หาได้เอต่อการก่อกำเนิดชีวิต แต่สำหรับหนนี้มีนักดาราศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้นพบถึง 5 รายให้สัมภาษณ์แก่เอพีว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ในเขตที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยได้และดูจะเป็นของจริงอย่างชัดเจน

“นี่เป็นดาวเคราะห์ดวงแรกที่ผมรู้สึกตื่นเต้นด้วยจริงๆ” จิม แคสติง (Jim Kasting) จากเพนน์สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ (Penn State University) สหรัฐฯ กล่าวและให้ความเห็นว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เป็น “ตัวเก็ง” ที่จะเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิต

ทั้งนี้ สิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่มีหมายถึงมนุษย์ต่างดาวตัวเขียวหรืออีที (E.T.) แต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวอย่างแบคทีเรียหรือราก็เขย่าความเชื่อว่าโลกเป็นแหล่งพักพิงของสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวได้

หากแต่ยังคงมีคำถามอีกมากเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ โดยมีมวลมากกว่าโลกถึง 3เท่า และยังมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่า อีกทั้งยังอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ของตัวเองค่อนข้างมาก โดยอยู่ห่างประมาณ 22.5 - 150 ล้านกิโลเมตร ซึ่งนับว่าใกล้มากเมื่อนำมาเปรียบกับระบบสุริยะของเรา และยังโคจรรอบดาวฤกษ์ของตัวเองในเวลาเพียง 37 วัน นอกนี้ยังไม่ค่อยหมุนรอบตัวเอง ซ฿งจำให้ด้านหนึ่งของดาวเคราะห์สว่างอยู่เสมอ ขณะที่อีกด้านมืด

สตีเฟน วอกต์ (Steven Vogt) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาครูซ (University of California at Santa Cruz) ผู้ร่วมค้นพบดาวเคราะห์อีกคน กล่าวว่าอุณหภูมิบนดาวเคราะห์ดวงนี้สูงได้ถึง 160 องศาเซลเซียส และเย็นต่ำได้ถึง -25 องศาเซลเซียส หากแต่ในช่วงที่ดวงอาทิตย์ขึ้นอากาศจะค่อนข้างอบอุ่น

อย่างไรก็ดี เรายังไม่ทราบว่ามีอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้จริงหรือไม่และชั้นบรรยากาศบนดาวเคราะห์นี้เป็นอย่างไร แต่เนื่องจากดาวเคราะห์นี้อยู่ในตำแหน่งอันเหมาะสมที่มีน้ำในรูปของเหลวอยู่ อีกทั้งเพราะดูคล้ายว่าจะมีสิ่งมีชีวิตบนโลกในทุกที่ที่มีน้ำ ดังนั้น วอกต์เชื่อว่ามีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้ 100%

ดาวเคราะห์ดวงนี้โคจรรอบดาวฤกษ์ที่ชื่อกลีส 581 (Gliese 581) ที่อยู่ไกลออกไปจากโลก20 ปีแสงหรือ 190 ล้านล้านกิโลเมตร ซึ่งอาจดูเป็นระยะที่ไกลมากแต่เมื่อเทียบกับเอกภพอันกว้างใหญ่แล้ววอกต์กล่าวว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เหมือนอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ซึ่งทำให้นักดาราศาสตร์ยิ่งเข้าใกล้ดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยได้และดาวเคราะห์ประเภทนี้อาจจะไม่ได้หายากนัก

วอกต์และบัทเลอร์ได้ทำการคำนวณบางอย่างซึ่งให้ผลว่าในกาแลกซีที่พบดาวเคราะห์ดวงนี้มีดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงโลกอยู่ในเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ และจากการประมาณดาวฤกษ์2 แสนล้านดวงในเอกภพ อาจจะมีดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ประมาณ 4 หมื่นล้านดวง แต่ สก็อตต์ เกาดี (Scott Gaudi) จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท (Ohio State University)เตือนให้ระวังความไม่แน่นอนของจำนวนดาวเคราะห์เหล่านี้

วอกต์และบัทเลอร์ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ติดตั้งบนภาคพื้นดินเพื่อติดตามความแม่นยำในการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์นานกว่า 11 ปี และจับตาการส่ายที่ชี้ว่ามีดาวเคราะห์โคจรรอบดาวฤกษ์นั้นอยู่ ซึ่งดาวเคราะห์ที่พบใหม่นี้เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6 ที่โคจรรอบดาวกลีส 581 ซึ่งในจำนวนดาวเคราะห์ที่พบนี้มี 2 ดวงแรกน่าจะเป็นแหล่งที่สิ่งมีชีวิตอาศัยได้ ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นนั้นร้อนเกินไป และดวงที่ 5 ก็หนาวเย็นเกินไป ส่วนดาวเคราะห์ดวงที่ 6 ซึ่งพบใหม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม


ดาวเคราะห์ดวงที่ 6 ของดาวกลีส 581 ได้รับการตั้งชื่อว่า กลีส 581จี (Gliese 581g) ตามลำดับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ที่เริ่มต้นชื่อด้วย “เอ” (a) ต่อท้ายชื่อดาวฤกษ์

วอกต์กล่าวว่าชื่อดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่น่าสนใจนักแต่ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็เป็นดาวเคราะห์ที่สวยงาม และเขาได้ตั้งชื่อดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างไม่เป็นทางการตามชื่อภรรยาของเขาว่า “โลกของซาร์มินา” (Zarmina's World)

สำหรับดาวกลีส 581 นี้เป็นดาวแคระซึ่งมีขนาดเพียง 1 ใน 3 ของดวงอาทิตย์เรา ดังนั้น ด้วยขนาดที่เล็กมากจึงต้องอาศัยกล้องโทรทรรศน์ส่องจากพื้นโลกจึงจะมองเห็น โดยดาวฤกษ์ดังกล่าวอยู่ในกลุ่มดาวตาชั่ง (Libra constellation) แต่ในทางตรงกันข้ามบัทเลอร์กล่าวว่าหากเรายืนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่ค้นพบนี้เราจะเห็นดวงอาทิตย์ของเราได้ง่าย

12 เทคนิคเพิ่มพลังสมอง

หากรู้สึกสมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ลองมาเพิ่มพลังสมองด้วยเทคนิคง่ายๆ ใครๆก็ทำได้กันดีกว่า
1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกันสมองเ่ยว เพราะในสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หากดื่มน้ำน้อยเกินไปเซลล์สมองจะขาดน้ำ การสื่อสารส่งถ่ายข้อมูลระหว่างเซลล์จะช้าลง ทำให้คิดอะไรไม่ออก หรือคิดช้าตามไปด้วย
2. กินอาหารที่มีไขมันดี เพื่อไปทดแทนก้อนไขมันที่สึกหรอในสมอง เช่น น้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาทะเล และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส
3. ตั้งใจทำงาน หากใส่ใจทำอะไรก็ตามสมองจะตั้งโปรแกรมว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น แล้วปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ซึ่งคือการทำงานให้สำเร็จนั่นเอง
4. กระตุ้นสมองให้ทำงานอยู่เสมอ เช่น ฝึกคิดเลขเร็ว เล่นเกมจับผิดภาพ ต่อจิ๊กซอร์ เป็นต้น
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ เพื่อให้ร่างกายหลั่งสารเอนดรอร์ฟิน กระตุ้นพลังออร่า (aura)ให้สว่าง และดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
6. ฝึกสมาธิ พัฒนาอารมณ์หลังตื่นนอนตอนเช้าด้วยการจิตนาการภาพต่างๆ เช่น การเดินเล่นริมทะเล หรือนึกถึงสิ่งดีๆที่จะทำในวันนี้ 7. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน เช่น การกินอาหารร้านใหม่ รู้จักเพื่อนใหม่ เพราะจะทำให้สมองหลั่งสารเอนดรอร์ฟินและโดปามีนซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้
8. รู้จักให้อภัยเพื่อลดภาระของสมอง การไม่ให้อภัยคนอื่น โกรธตัวเอง ขี้โมโห ทำให้เปลืองพลังงานสมองเป็นอย่างยิ่ง
9. ฝึกพูดดีๆกับตัวเอง เพื่อเป็นการส่งผ่านความสุขให้ตัวเรา
10. เขียนบันทึกขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นทุกวัน จะทำให้สมองคิดเชิงบวกและหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ทำให้นอนหลับฝันดี ตื่นมามีสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ 11. ฝึกหายใจให้ลึก สมองจะได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ 12. เข้านอนเวลา 21.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการพักผ่อน หากพักผ่อนไม่เพียงพอสมองจะทำงานหลักและล้า กลายเป็นคนคิดช้าและคิดอะไรไม่ค่อยออก ใครที่อยากเพิ่มพลังสมอง ลองฝึกดูนะคะ ไม่ยากเลย

รู้จักกันไหม...เบาจืด

รู้จักใช่ไหมล่ะ! ก็ส่วนใหญ่เรามักจะคุ้นเคยกับคำว่า "เบาหวาน" ส่วน "เบาจืด" นั้นฟังดูแปลกหู จนหลายคนออกอาการ...งง???

ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับโรคเบาจืด ไปพร้อมๆ กันเลย

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus) เป็นโรคที่มีการสูญเสียหน้าที่การดูดกลับของน้ำที่ไต เนื่องจากมีระดับของฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำลดลง

ส่วนสาเหตุที่ระดับฮอร์โมนลดลงนั้น อาจเกิดจากต่อมใต้สมองส่วนหลังถูกทำลาย มีเนื้องอกไปกด หรือเนื่องจากได้รับอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม กะโหลกศีรษะแตกไปทำลายเนื้อต่อม เป็นต้น

ลักษณะอาการของผู้ป่วยเบาจืด ที่พบบ่อย
คือ ปัสสาวะมากและบ่อย (ในรายที่เป็นรุนแรงจะถ่ายปัสสาวะบ่อยทุกครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมงทั้งกลางวันและกลางคืน) มีการกระหายน้ำ และดื่มน้ำมาก เนื่องจากการสูญเสียของน้ำไปทางปัสสาวะมาก ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตามที่ต้องการ จะกระวนกระวาย คอแห้ง ท้องผูก อ่อนเพลียมาก และอาจหมดสติ อาการที่เกิดอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันได้ค่ะ

ในการวินิจฉัยโรคเบาจืด
แพทย์จะซักประวัติและการตรวจพิเศษบางอย่าง ส่วนการรักษาโรคนี้ อาจจำเป็ฯต้องรักษาที่ต้นเหตุในสมอง หรือการให้ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการดูดกลับของน้ำที่ไต ทดแทนในผู้ป่วยที่ยังมีฮอร์โมนออกมาบ้าง

ส่วนการดูแลผู้ป่วยโรคเบาจืดนั้น
นอกจากจะดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาและปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแล้ว ด้วยเหตุที่ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะบ่อยมาก จึงควรดูแลความสะอาดหลังการถ่ายปัสสาวะทุกครั้ง

ในกรณีผู้สูงอายุจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการลุกเดินไปห้องน้ำบ่อยๆ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนั้นควรดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ และสังเกตว่ามีอาการของการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาลึกโหล เป็นต้น หากปรากฎอาการผิดปกติที่ไม่แน่ใจ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

มะเร็ง โรคที่เกิดจากฝีมือมนุษย์

มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของมนุษย์ งบประมาณมหาศาลถูกใช้เพื่อศึกษาหาสาเหตุ วิธีการรักษา และหนทางป้องกันโรคมะเร็ง แม้จะศึกษาลึกถึงระดับเซลล์นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกถึงสาเหตุของโรคได้เพียงกว้างๆ เท่านั้น เช่น สารพิษ รังสี และเชื้อโรค ที่ไปกระตุ้นให้กลไกการทำงานของเซลล์ผิดปกติและสูญเสียการควบคุมในที่สุด เซลล์ที่ผิดปกตินี้จึงแบ่งตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต เรามักได้ยินคนพูดกันว่า "เดี๋ยวนี้คนเป็นมะเร็งกันมากขึ้นเพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ" เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน? ถ้าจริงก็แสดงว่ายุคโบราณไม่มีใครป่วยเป็นมะเร็งเลยสิ เราจะสามารถศึกษามะเร็งจากฟอสซิลได้หรือไม่? โชคดีที่เรามีฟอสซิลอายุกว่า 2,000 ปี ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี

ใช่แล้วครับ มัมมี่ นั่นเอง

ศาสตราจารย์ไมเคิล ซิมเมอร์แมน (Michael Zimmerman) และ โรซารี เดวิด (Rosalie David) ศึกษาเนื้อเยื่อจากมัมมี่อียิปต์ เพื่อตรวจหาเซลล์มะเร็ง เนื่องจากในสมัยอียิปต์โบราณยังไม่มีวิธีการผ่าตัดรักษาโรคมะเร็ง ดังนั้นหากมีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งก็น่าจะสามารถตรวจพบได้ แต่จากการตรวจสอบเนื้อเยื่อจากมัมมี่จำนวนหลายร้อยศพ พบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งถือว่าน้อยมาก

มัมมี่ที่พบว่าเป็นโรคมะเร็งนั้น ไม่ได้เป็นฟาโรห์หรือขุนนาง แต่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาศัยอยู่ที่โอเอซิสดาคลา (Dakhleh หรือ Dakhla) ในช่วง 200-400 ปีก่อนคริสตกาล แสดงให้เห็นว่าในยุคโบราณแทบจะไม่มีคนป่วยเป็นโรคมะเร็งเลย ซิมเมอร์แมนและเดวิดสรุปว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะในยุคโบราณมีปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งน้อยกว่า แล้วทำไมอยู่ดีๆ โรคมะเร็งกลายมาเป็นโรคยอดนิยมในปัจจุบันไปได้?

ซิมเมอร์แมนและเดวิดเสนอว่าอาหารการกินและมลพิษที่เราสร้างขึ้นคือสาเหตุของโรคมะเร็ง หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องแค่นี้ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว ใช่ครับ แต่งานวิจัยนี้เป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า โรคมะเร็งเกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วนๆ เพราะถ้าในธรรมชาติไม่มีปัจจัยใดๆ ที่ทำให้เป็นมะเร็งได้เลย ก็หมายความว่าโรคมะเร็งเกิดขึ้นจากปัจจัยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองทั้งหมด ทั้งอาหารการกิน อุตสาหกรรม สรุปคือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นแหละ ที่ทำให้เราป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งก็สมเหตุสมผลที่เดียว เพราะปัจจุบันอาหารต่างๆ ที่เรากินนั้น มีการใช้สารปรุงแต่งต่างๆ ใช้วัตถุกันเสีย ไขมันที่ใช้ประกอบอาหารก็ปลี่ยนไปใช้ทรานส์แฟต (trans fat, อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Trans Fat ภัยร้ายใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด) เพื่อลดต้นทุนและความสะดวก นอกจากนี้การเผาผลาญเชื้อเพลิงที่เพิ่มมากขึ้นยังปล่อยก๊าซออกมามากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ดูเป็นการมองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดโต่ง จึงไม่แปลกที่จะมีผู้ออกมาโต้แย้ง

ความเห็นแย้งที่มีมากที่สุดคือ มะเร็งนี่มันเป็นโรคที่เกิดในผู้สูงอายุ คนที่ป่วยเป็นมะเร็งตายก็คนแก่ๆ ทั้งนั้น พวกคนในยุคอียิปต์อายุขัยน้อยกว่าคนยุคนี้ตั้งเยอะ ส่วนใหญ่ตายก่อนแก่กันทั้งนั้น แล้วจะป่วยเป็นมะเร็งได้ยังไงกัน ที่เจอมัมมี่ที่เป็นมะเร็งแค่นิดเดียวก็ไม่เห็นจะแปลก อีกประเด็นหนึ่งคือมัมมี่อียิปต์ผ่านมาตั้งหลายพันปี เนิ้อเยื่อมะเร็งอาจจะสลายไปหมดแล้วเลยตรวจไม่พบก็ได้ เพราะนั้นจะมาโทษแต่มลพิษกับอาหารว่าเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งล้วนๆ ไม่ได้หรอก

แต่ประเด็นนี้ซิมเมอร์แมนและเดวิดก็มีข้อโต้แย้งเช่นกัน จริงอยู่มนุษย์สมัยอียิปต์โบราณ มีอายุขัยน้อยกว่าสมัยนี้ แล้วก็ตายก่อนแก่เป็นส่วนใหญ่ ถึงจะไม่ได้ตายเพราะมะเร็งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นมะเร็งนี่ มัมมี่ที่พบว่าเป็นมะเร็งก็ไม่ได้ป่วยตายเพราะโรคมะเร็ง เพียงแต่ตรวจพบว่ามีเซลล์มะเร็งเฉยๆ ถ้าบอกว่ามะเร็งพบในคนอายุมาก แล้วมันต้องมากขนาดไหนล่ะ? จากการตรวจสอบมัมมี่จำนวนหนึ่งก็พบอาการของโรคหลอดเลือดแดงตีบและโรคกระดูกพรุน ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเป็นโรคที่พบมากในผู้สูงอายุ หมายความว่ามัมมี่เหล่านี้มีอายุมากพอที่จะป่วยเป็นมะเร็งได้ ในทางกลับกันไม่พบมะเร็งกระดูกในมัมมี่ ทั้งที่เป็นมะเร็งที่พบมากในวัยหนุ่มสาว เพราะฉะนั้นอายุขัยจึงไม่ใช่เหตุที่ทำให้คนโบราณไม่ป่วยเป็นมะเร็ง
ส่วนเรื่องที่เซลล์มะเร็งอาจโดนทำลายไปนั้นซิมเมอร์แมนและเดวิดได้ทดลอง จนสามารถพิสูจน์ได้ว่ากระบวนการทำมัมมี่นั้นช่วยเก็บรักษาเซลล์มะเร็งไว้ได้ดีกว่าที่รักษาเซลล์ปกติเสียอีก จึงไม่ต้องห่วงเวลาเซลล์มะเร็งจะสลายไปเพราะเซลล์ปกติของมัมมี่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์

หลักฐานที่บันทึกเกี่ยวกับโรคมะเร็งนั้นแม้แต่หลังจากยุคอียิปต์ก็พบน้อยมาก ในกรีกมีบันทึกเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากเนื้องอกอยู่บ้าง แต่รายงานทางวิทยาศาสตร์จริงๆ ที่เกี่ยวกับมะเร็งนั้น มีขึ้นในปี ค.ศ. 1775 หรือเมื่อประมาณ 200 กว่าปีก่อนเท่านั้น ซึ่งอาจอนุมานได้ว่ามะเร็งพึ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัดในช่วงนี้เอง

งานวิจัยนี้เป็นสิ่งที่ย้ำให้เห็นว่า การที่เราวิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจนเสียสมดุลส่งผลกระทบมากขนาดไหน ขณะที่สังคมพัฒนาไป เราสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมามากมายและขณะเดียวกันก็ทำลายสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กันด้วย ทำให้วิถีชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มะเร็งและอีกหลายโรค จึงเป็นผลกรรมจากสิ่งที่เราเคยก่อไว้เอง อย่างไรก็ตาม เราคงไม่สามารถย้อนกลับไปใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ถ้ำได้ สิ่งที่พอจะทำได้มีเพียงการรักษาสิ่งแวดล้อมเอาไว้ ไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าหากหากธรรมชาติเสียหายมากไปกว่านี้มนุษย์จะได้รับผลกรรมอะไรอีกบ้าง

2553/10/07

ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์

ครั้งหนึ่ง ชายชราบนดวงจันทร์ได้มองลงมาที่ป่าใหญ่บนโลกมนุษย์
เขาเห็นกระต่าย ลิง และ สุนัขจิ้งจอก
ทั้งสามอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น และต่างเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ชายชราอยากรู้ว่าสัตว์ตัวไหนใจดีที่สุดจึงแปลงตัวเป็นขอทาน
แล้วลงจากดวงจันทร์ไปยังป่าที่สัตว์ทั้งสามอาศัยอยู่นั้น

" โปรดช่วยผมด้วย ผมหิว หิวเหลือเกิน" เขาพูดกับสัตว์ทั้งสาม
สัตว์ทั้งสามรู้สึกสงสาร ต่างแยกกันไปหาอาหารมาให้ขอทาน

ลิงนำผลไม้มาจำนวนมาก สุนัขจิ้งจอกจับได้ปลาตัวใหญ่
แต่กระต่ายไม่สามารถหาสิ่งใดมาได้เลย
กระต่ายร้องคร่ำครวญ แต่แล้วก็ได้ความคิดขึ้นมา


" ได้โปรดเถอะ คุณลิง ช่วยกรุณานำไม้ฟืนมาให้ฉันหน่อย
ส่วนคุณสุนัขจิ้งจอก ขอได้โปรดนำไม้ฟืนกองนั้นก่อไฟกองใหญ่ให้ฉันด้วย"

สัตว์ทั้งสองทำตามคำขอของกระต่าย
เมื่อไฟลุกไหม้สว่างดีแล้ว กระต่ายก็พูดกับขอทานว่า
" ผมไม่มีสิ่งใดจะให้คุณ ดังนั้นผมจะโยนตัวเองลงไปในกองไฟนี้
จากนั้นเมื่อผมถูกไฟเผาจนสุกดีแล้ว ขอให้คุณกินเนื้อของผมแทนก็แล้วกัน"

กระต่ายเตรียมพร้อมที่จะกระโจนลงไปในกองไฟและย่างตัวเอง
แต่ทันใดนั้นขอทานก็เปลี่ยนร่างเป็นชายชราบนดวงจันทร์ตามเดิม

" เธอเป็นสัตว์ที่ใจดีมาก เจ้ากระต่าย
แต่เธอไม่ควรทำสิ่งใดที่เป็นการทำร้ายตัวของเธอเอง
เนื่องจากเธอเป็นสัตว์ที่ใจดีที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด
ฉันจึงขอนำเธอกลับขึ้นไปอยู่กับฉัน"

จากนั้น ชายชราบนดวงจันทร์ก็อุ้มกระต่ายนำไปที่ดวงจันทร์
ถ้าเรามองดูดวงจันทร์ให้ดีๆ ตอนที่ดวงจันทร์ส่องแสงนวลแจ่มจรัสนั้น
เราจะเห็นกระต่ายอยู่บนนั้น ซึ่งชายชราเป็นผู้นำไปไว้เมื่อนานมาแล้ว

และนี่ก็เป็นตำนานที่มาของกระต่ายบนดวงจันทร์ของญี่ปุ่น

2553/10/04

กินอาหารถูกวิธีช่วยลดโลกร้อน

ขณะนี้ผู้คนทั่วโลกกำลังตื่นตัวอย่างหนักกับปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) ซึ่งต่างคนต่างวิตกกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะโลกร้อนทั้งทางตรงและทาง อ้อม ยิ่งนานวันผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากภาวะโลกร้อนก็ยิ่งรุนแรงและลุกลาม เพิ่มขึ้น
ฉะนั้นการเตรียมการป้องกันเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนนั้น นับเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนควรเข้าไปมีส่วนร่วม การเลือกซื้อและการบริโภคอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น นับเป็นวิธีหนึ่งที่หากเราทุกคนนำไปปฏิบัติ ก็จะสามารถช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนได้ การเลือกซื้อและการบริโภคอาหารที่ถูกต้อง

1.เลือกซื้อและรับประทานในร้านอาหาร เช่น นั่งรับประทานข้าวในร้านอาหารตามสั่งทั่วๆ ไป โดยไม่ห่อกลับไปรับประทานที่บ้านจะทำให้ช่วยลดการใช้ถุงพลาสติก กล่องโฟม ถุงใส่เครื่องปรุงต่างๆ ได้ หากสถานที่ของร้านอาหารไม่มีที่นั่งรับประทานหรือไม่สะดวก ให้นำภาชนะสำหรับใส่อาหารจากบ้านมาให้ทางร้าน

2.เลือกซื้ออาหารสดที่ตลาดสด เพราะเป็นการช่วยลดการใช้ถาดโฟม ถาดพลาสติก กล่องกระดาษ ซึ่งเป็นภาชนะบรรจุที่เป็นที่นิยมสำหรับใช้บรรจุอาหารที่วางบนชั้นวาง จำหน่ายในห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ดังนั้นเราควรหันไปซื้ออาหารสดในตลาด และควรนำตะกร้าหรือถุงผ้าจากบ้านไปจ่ายตลาดด้วยทุกครั้ง

3.เลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่สามารถซื้อมาเติมใหม่ได้ เพื่อช่วยลดขยะจำพวกห่อของบรรจุภัณฑ์ เช่น สิ่งปรุงรสต่างๆ ที่บรรจุในขวดพลาสติก แล้วหันมาซื้อแบบเติม หรืออาจนำขวดแก้ว โหลแก้วที่มีอยู่แล้วมาดัดแปลงเป็นภาชนะบรรจุ ก็จะสามารถช่วยลดขยะได้อีกทางหนึ่ง

4.เลือกซื้ออาหารตามฤดูกาล เช่น พืช ผัก ผลไม้ต่างๆ เพราะนอกจากจะปลอดสารพิษที่ทำร้ายโลกแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงและอันตรายที่จะเกิดต่อตัวเราอีกด้วย และการหันมาเลือกซื้อพืช ผัก ผลไม้ที่เพาะปลูกในประเทศ จะสามารถช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่ง ลดพลังงานที่ใช้เพื่อการแช่แข็งในระหว่างการขนส่งได้อีกทางหนึ่งด้วย ตัวอย่างเช่น องค์กรชาวไร่ของสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ ยูนแตร์ มีการคำนวณว่าหน่อไม้ฝรั่ง 1 กิโลกรัม ที่มีการนำเข้ามาจากประเทศเม็กซิโกนั้น ต้องใช้น้ำมันสำหรับการขนส่งทางเครื่องบินถึง 5 ลิตร ขณะที่หน่อไม้ฝรั่งในปริมาณเท่ากัน หากผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ใช้น้ำมันเพียง 0.3 ลิตร ก็สามารถขนส่งถึงมือผู้บริโภคได้

5.เลือกบริโภคอาหารจำพวกผักแทนเนื้อสัตว์ให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้มีการปลูกพืชผักมากขึ้น เพราะพืชผักและต้นไม้เป็นตัวดูดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในอากาศ เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ดังนั้นการเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตร หรือแม้แต่การปลูกผักสวนครัวก็นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ มีรายงานการวิจัยที่พบว่า การผลิตและการรับประทานอาหารอเมริกันทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติถึง 1.5 ตันต่อปี และอาหารมังสวิรัติจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 3,000 ปอนด์ต่อคนต่อปีอีกด้วย

6.ลดการบริโภคเนื้อวัวเนื้อ (สเต๊ก) และแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งนอกจากจะดีต่อระบบการย่อยของร่างกายแล้ว ยังช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากมูลวัวและการเรอของวัวอีกทางหนึ่งด้วย รายงานขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่า การทำฟาร์มปศุสัตว์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศมากกว่ารถยนต์ ส่วนก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์จะปล่อยออกมาทางลมหายใจและมูลสัตว์

7.ลดการซื้อและการบริโภคอาหารแช่แข็ง เพราะใช้พลังงานในการผลิตสูงถึง 10 เท่าของการผลิตอาหารทั่วไป นอกจากนั้นยังสามารถช่วยลดการใช้กล่องพลาสติกสำหรับใส่อาหารลดการขนส่ง ลดการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากต้องแช่แข็งตลอดเวลา อีกทั้งเวลารับประทานจะต้องอุ่นด้วยไมโครเวฟ นอกจากนั้น เราอาจนำหลัก 7 R มาใช้ ควบคู่ไปด้วย

1. Rethink : มีความคิดที่จะเปลี่ยน แปลงด้วยตนเอง
2. Reduce : ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ต้อง ใช้เวลาชั่วอายุคนในการย่อยสลาย
3. Reuse : นำบรรจุภัณฑ์มาใช้ซ้ำ หรือหลีกเลี่ยงบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ได้ครั้งเดียว
4. Recycle : นำวัสดุที่หมดสภาพหรือที่ ใช้แล้วมาปรับสภาพเพื่อนำมาใช้ใหม่
5. Repair : สิ่งของหลายอย่างสามารถ ซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ดังเดิม
6. Refuse : การปฏิเสธเป็นช่องทางหนึ่ง ที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่ให้ถูกนำมาใช้หรือ ถูกทำลายเร็วขึ้น
7. Return : การตอบแทนคืนแก่โลก ใครใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติประเภทใดมาก ควรต้องคืนทรัพยากรประเภทนั้นกลับคืนให้แก่โลกมากยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่ารูปแบบการบริโภคของ "มนุษย์" นั้นเป็นตัวกำหนดการใช้พลังงานและผลกระทบที่จะเกิดต่อสิ่งแวดล้อมของโลก ฉะนั้นหากเรายังเลือกบริโภคแบบตามใจปาก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อตนเองต่อเพื่อนมนุษย์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และยังคงรับประทานอาหารตามแบบตะวันตกหรือรับประทานอาหารนอกฤดูกาล ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาในอนาคตได้เร็วยิ่งขึ้น

ทุกๆ คน ควรเปลี่ยนวิถีชีวิตให้กลับมาใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น อาจเริ่มต้นด้วยกลเม็ดง่ายๆ เช่น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต โดยเริ่มจากการเลือกซื้อและเลือกบริโภคอาหารอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยลดหรือชะลอการเกิดปัญหาภาวะโลกร้อนให้ช้าลงและยังส่งผลดีต่อสุขภาพของเราอีกด้วย

วิธีพักสายตาระหว่างการทำงาน

เคยนับๆ ดูบ้างหรือเปล่าคะว่าคุณต้องใช้สายตาเพ่งงานอยู่วันละกี่ชั่วโมง (ใครไม่เคยนับอาจตกใจได้นะคะ) การใช้สายตาอย่างมากมายนี่เองค่ะที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการล้า ปวดเมื่อยสายตา ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ว่าวิธีบรรเทาอาการเพลียตา (ด้านล่าง) นั้นช่วยให้การมองของคุณดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกต่างหากด้วย...

เทคนิค การโฟกัส (สำหรับการพักสายตา)
มองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่าง หรือมองออกไปไกลๆ จากงานที่อยู่ตรงหน้าเท่าที่จะสามารถทำได้
วัตถุที่คุณมองนั้นควรอยู่ห่างจากคุณอย่างน้อย 20 ฟุต
เคลื่อนสายตามองไปรอบๆ และมองไปที่สิ่งอื่นๆ หรือวัตถุอื่นๆ บ้าง
ย้อนกลับมามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
ทำซ้ำตามวิธีนี้บ่อยๆ ในวันทำงานของคุณ

การ ปิดฝ่ามือ (สำหรับการพักสายตา)
ทำมือเป็นลักษณะรูปถ้วยปิดรอบดวงตา วางพักมือบนโหนกแก้ม (หลีกเลี่ยงการกดลงบริเวณลูกตา)
ประสานมือไขว้ไว้เหนือดั้งจมูกเพื่อบังแสงสว่าง
หลับตาลงประมาณ 15 วินาที แล้วให้หายใจเข้า หายใจออกลึกๆ
เปิดฝ่ามือ แล้วลืมตาขึ้น

รู้สึกดีขึ้นไหมคะ...

11 สนามบินประหลาด

เว็บไซต์เดลี่ เทเลกราฟ ได้รวบรวมสนามบินนานาชาติที่ได้ชื่อว่า แปลก ประหลาด และน่ากลัวที่สุดในโลกไว้ดังนี้

1. สนามบินเดนเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
สนามบินนานาชาติเดนเวอร์ถูกวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิด ตั้งแต่มีการเปิดใช้สนามบินครั้งแรกในปี 2538 โดยมี ฟิลิป ชไนเดอร์ วิศวกรด้านโครงสร้างของสนามบินซึ่งเสียชีวิตในปีต่อมา ด้วยสาเหตุที่ยังเป็นปริศนาอยู่ กลายมาเป็นคนเปิดโปงข้อมูลว่าใต้สนามบินมีสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมหาศาล คนจึงสงสัยว่าสนามบินแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อปกปิดค่ายทหารลับหรือค่ายกักกันนักโทษ
นักวิจารณ์สงสัยว่าทำไมรันเวย์ของสนามบินถึงมีรูปร่างเป็นเครื่องหมายสวัดติกะหรือเครื่องหมายของนาซีเยอรมัน ภาพจิตรกรรมทางศาสนาแปลกๆ 4 ภาพที่ติดอยู่บนฝาผนังในเทอร์มินัลก็ถูกสงสัยว่าน่าจะต้องการบรรยายหรือพรรณนาถึงการจัดระเบียบโลกใหม่

2. สนามบินคูเชเวล ประเทศฝรั่งเศส
รันเวย์ของสนามบินแห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับเนินเล่นสกี รันเวย์ซึ่งเป็นพื้นยางมะตอยมีความยาวเพียง 1,700 ฟุตและมีส่วนที่เป็นสโลปหรือเนินลาดเอียงถึง 18.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้เครื่อวบินบินช้าลงอย่างรวดเร็ว นักบินที่จะบินมาลงที่สนามบินแห่งนี้ต้องได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ

3. สนามบินปรินซ์เซส จูเลียน่า เกาะเซนต์ มาร์เท่น
สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินในฝันของนักบิน ที่จะขับเครื่องบินร่อนลงจอดบนสนามบินที่มีคนใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ใน ทะเลแคริบเบียนตะวันออก และอยู่สูงจากนักท่องเที่ยวที่นอนอาบแดดอยู่บนชายหาดเพียงแค่ไม่กี่เมตร เมื่อไม่กี่ปีมานี้เพิ่งมีการขยายรันเวย์จึงทำให้การร่อนลงจอดไม่น่ากังวลมากนัก

4. สนามบินดอนเมือง ประเทศไทย
ถ้ามองเผินๆ สนามบินดอนเมืองไม่ได้ดูแปลกประหลาด แต่ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่ามีสนามกอล์ฟ 18 หลุ่มถูกขนาบข้างโดยรันเวย์ 2 เส้น

5. สนามบินยิบรอลตาร์
ยิบรอลตาร์ เป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ใกล้กับจุดใต้สุดของคาบสมุทรไอบีเรียในบริเวณช่องแคบยิบรอลตาร์ ด้วยความที่มีพื้นที่ราบน้อยมาก ทำให้ต้องสร้างรันเวย์สนามบินตัดขวางกับถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ โดยมีไม้กั้นเหมือนไม้กั้นทางรถไฟเพียง 2 อันที่คอยป้องกันไม่ให้เครื่องบินกับรถยนต์ชนกัน

6. สนามบินคิง ฟาฮัด ประเทศซาอุดีอาระเบีย
สนามบินคิง ฟาฮัดสนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ราว 780 กิโลเมตรของทะเลทรายซาอุดิอาระเบียและมีขนาดใหญ่กว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างบาห์เรนถึง 160 ตารางกิโลเมตร มัสยิดในสนามบินสามารถรองรับคนที่จะมาสักการะได้ถึง 2,000 คน และยังมีเทอร์มินัลแยกพิเศษสำหรับให้บริการสมาชิกราชวงศ์กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียด้วย

7. สนามบินฮวนโช อี ยราสควิน เกาะซาบาห์
ด้วยรันเวย์ของสนามบินที่ยาวเพียง 1,300 ฟุตจึงเหมาะสำหรับเครื่องบินลำเล็กนักบินหลายคนขนานนามสนามบินแห่งนี้ว่าเป็นหนึ่งในสนามบินที่มีความท้าทายมากที่สุด เพราะด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูง ส่วนอีก 3 ด้านเป็นหน้าผา ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นหรือตอนลงก็จะตกลงไปในทะเลทันที

8. สนามบินคันไซ ประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด วิศวกรจึงสร้างสนามบินที่อยู่ห่างจากชายฝั่งโอซากาเพียง 3 ไมล์โดยใช้เวลาสร้างราว 7 ปี และได้สนามบินที่มีขนาดใหญ่มาก จนสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ เมื่อดูจากงบประมาณที่ใช้ก่อสร้างราว 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงถูกวิจารณ์ว่ามันอาจจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะปัญหาเรื่องภาวะโลกร้อนจะทำให้สนามบินนี้จมหายไปในท้องทะเล

9. สนามบินบาร์ร่า ประเทศสก็อตแลนด์
สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะบาร์ร่าและเป็นหนึ่งในสนามบินเพียง 2 แห่งในโลกที่ใช้ชายหาดเป็นรันเวย์ (อีกแห่งอยู่ที่เกาะ Fraser Island ประเทศออสเตรเลีย) แต่ละปีมีเครื่องบินราว 1,000 เที่ยวบินมาลงที่นี่และเปิดเฉพาะเวลาที่น้ำลงเท่าน้น ชายหาดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเก็บหอยอันเลื่องชื่อนักท่องเที่ยวต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนว่าเมื่อใดก็ตามที่ถุงลมลอยขึ้น แสดงว่าในขณะนั้นสนามบินกำลังจะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องรีบออกจากชายหาดทันที

10. สนามบินพาโร ประเทศภูฏาน
สนามบินนี้ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาหิมาลัยสูง 5,000 เมตร นักบินที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ต้องมีคุณสมบัติพิเศษมากกว่านักบินทั่วไป นอกจากนี้อากาศที่มีออกซิเจนน้อยกว่าปกติก็ยังเป็นปัญหากับนักบินด้วย

11. สนามบินฟันชาล เกาะมาเดียร่า ประเทศโปรตุเกส
รันเวย์เดิมของสนามบินแห่งนี้มีความยาวเพียง 5,000 ฟุต จึงทำให้การนำเครื่องบินพาณิชย์ลงจอดทำได้ลำบาก ต่อมามีการขยายรันเวย์ให้ยาวขึ้นอีก 3,000 ฟุต โดยทำส่วนต่อขยายยื่นออกไปในทะเลเหมือนสะพานขนาดยักษ์ที่มีเสา 180 ต้น รองรับน้ำหนัก

โบท็อกซ์ปลอม: อันตรายที่แท้จริง

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "โบท็อกซ์" ผ่านหูกันมาบ้าง คนส่วนใหญ่รู้จักโบท็อกซ์ในฐานะสารที่ฉีดเพื่อลบริ้วรอยบนใบหน้า โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของโปรตีนสารพิษ "โบทูลินัมท็อกซิน เอ" (Botulinum toxin A) ซึ่งผลิตจากแบคทีเรีย คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) แรกเริ่มเดิมทีโบท็อกซ์ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อตา แต่เมื่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ อนุมัติให้ใช้โบท็อกซ์ในการศัลยกรรมเสริมความงามได้ เรื่องการฉีดโบท็อกซ์จึงได้รับความสนใจจากผู้รักสวยรักงามอย่างมาก ตลาดของโบท็อกซ์จึงเปลี่ยนจากการรักษาไปเป็นศัลยกรรมความงามอย่างรวดเร็ว

กระแสคลั่งไคล้โบท็อกซ์
แม้ผลกระทบจากการฉีดโบท็อกซ์จะยังหาข้อสรุปไม่ได้และยังถกเถียงกันอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายต่อผู้ที่ต้องการฉีดโบท็อกซ์เท่าใดนัก ผู้คนยอมเสี่ยงเพื่อแลกกับความงาม สมาคมศัลยแพทย์ศัลยกรรมพลาสติกของสหรัฐอเมริการายงานว่า ปี 2552 มีผู้ฉีดโบท็อกซ์ถึง 4.8 ล้านคน เป็นหญิง 4.5 ล้านคน ชาย 3 แสนคน ในจำนวนนี้เป็นวัยรุ่น (อายุ 18-19 ปี) กว่า 1,1000 คน! แม้ว่ากฎหมายสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศจะห้ามผู้ประกอบการไม่ให้ฉีดโบท็อกซ์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ก็มีรายงานว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ฉีดโบท็อกซ์อยู่บ่อยๆ ตัวอย่างเช่น ข่าวเมื่อเดือนมีนาคม 2553 รายงานว่า Hannah Burge เด็กสาวชาวอังกฤษ อายุ 16 ปี กล่าวว่าเธอได้ฉีดโบท็อกซ์ตั้งแต่เธออายุ 15 ปี! โดยแม่ของเธอเป็นผู้ฉีดให้ เด็กสาวให้เหตุผลว่าเธอต้องการลบรอยย่นที่หน้าผาก 2 เส้น และรอบๆ ปาก เธอไม่อยากรอให้ใบหน้าเธอน่าเกลียดตอนอายุ 25 เธอยังบอกอีกว่าเพื่อนที่โรงเรียนใครๆ ก็พูดถึงโบท็อกซ์กันทั้งนั้น และเธอคิดว่าใครๆ ก็ฉีดกันทั้งนั้น เพียงแต่เธอฉีดเร็วกว่าคนอื่นนิดหน่อย เท่านั้นเอง

กระแสนิยมความงามที่เปลือกนอกผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตโบท๊อกซ์เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะมีกฎหมายควบคุมแต่ดูเหมือนผู้ที่ต้องการโบท็อกซ์ก็สามารถดิ้นรนหามาใช้จนได้ โดยไม่สนใจว่าจะได้มาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ อย่างกรณีของ Hannah Burge แม่ของเธอผู้ผ่านการทำศัลยกรรมพลาสติกมามากว่า 100 ครั้ง สั่งซื้อโบท็อกซ์จากต่างประเทศผ่านทางอินเตอร์เน็ต ผลกำไรมหาศาลในธุรกิจโบท็อกซ์ดึงดูดผู้ประกอบการจำนวนมากให้เข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ การผลิต การขายและการให้บริการอย่างผิดกฎหมายจึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้ว "โบท็อกซ์ปลอม" จำนวนมากจึงมาถึงมือผู้บริโภคในที่สุด มีการประเมินจากผู้ผลิตโบท็อกซ์ว่าบริษัทเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับโบท็อกซ์ปลอมคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียหลายร้อยดอลลาร์ต่อปี

โบท็อกซ์ปลอมมีหลายระดับ
ในช่วงแรกที่โบท็อกซ์ถูกนำมาใช้เสริมความงาม โบท็อกซ์ของแท้ยังผลิตได้ไม่มากนักและมีราคาสูง จึงมีพ่อค้าหัวใสอาศัยช่องว่างนี้นำสินค้าโบท็อกซ์ปลอมมาขาย จากการสำรวจพบว่า 80% ของโบท็อกซ์ปลอมแปลงที่ขายในช่วงนี้ไม่มีโบทูลินัมท็อกซินอยู่เลย โบท็อกซ์ปลอมอาจทำมาจากน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือวิตามินก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่มีสารออกฤทธิ์อยู่เลย เรียกได้ว่าเป็น "โบท็อกซ์ปลอมล้วนๆ" ใช้การหลอกขายกันอย่างซึ่งๆหน้า บางรายใช้วิธีพื้นๆ อย่างการตั้งชื่อให้พ้องเสียงกับของแท้ เช่น "Butox” หรือ “Beauteous" (ของแท้คือ Botox) ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ให้บริการเสริมความงามซึ่งนำไปใช้ฉีดน่องเพื่อเพิ่มความกระชับให้กับผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตามผู้ที่ซื้อโบท็อกซ์ปลอมล้วนๆ ไปใช้ยังถือว่าโชคดี เพราะการฉีดน้ำเกลือหรือวิตามินที่ใส่ขวดหลอกขายเป็นโบท็อกซ์อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้

โบท๊อกซ์ปลอมล้วนๆ ย่อมไม่สามารถหลอกใครได้นานนัก เพราะการใช้เพียงครั้งเดียวก็ทำให้ทราบว่าถูกหลอกขายของปลอม และเมื่อการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลบริ้วรอยได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้ให้บริการด้านความงามก็ต้องพยายามสรรหาช่องทางและวีธีการให้ได้มาซึ่งโบท็อกซ์ที่ราคาถูกและลูกค้าพึงพอใจในผลลัพธ์ จึงต้องเข้มงวดขึ้นเลือกซื้อโบท็อกซ์จากตัวแทนจำหน่าย แต่ผู้ผลิตสินค้าปลอมเองก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ มีการพัฒนาโบท็อกซ์ปลอมด้วยเช่นกัน

ที่โบท็อกซ์ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะปัจจุบันผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตโบทูลินัมท็อกซินความบริสุทธิ์สูง (pharmaceutical grade) สำหรับฉีด ทั่วโลกมีเพียง 7 ราย เท่านั้น ที่จริงยังมีผู้ผลิตโบทูลินัมท็อกซินรายอื่นอยู่อีก เพียงแต่ได้รับอนุญาตและมีความสามารถในการผลิตโบทูลินัมท็อกซินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำกว่า สำหรับการทดลองทางวิยาศาสตร์ (reagent grade) เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือมีราคาถูกกว่ามาก ทั่วโลกมีผู้ผลิตโบทูลินัมท็อกซินสำหรับการทดลองหลายสิบราย จึงเป็นช่องทางในการผลิตโบท็อกซ์ปลอม โบทูลินัมท็อกซินสำหรับทดลองนี้ถูกนำไปบรรจุในหลอดแก้วติดฉลากเป็นโบท็อกซ์แล้วนำไปขายปะปนกับของแท้ ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการเพราะสามารถออกฤทธิ์ได้จริงขณะเดียวกันผู้ให้บริการก็พอใจเพราะราคาถูก และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นผู้ให้บริการก็สามารถอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากผลกระทบของการฉีดโบท็อกซ์ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ รวมทั้งผู้ใช้บริการยังเซ็นยินยอมไว้แล้ว
"โบท็อกซ์ปลอมเกรดสำหรับการทดลอง" ส่วนใหญ่มาจากเอเชียผ่านทางตัวแทนจำหน่ายเถื่อน ไม่มีใครทราบว่าโบทูลินัมท็อกซินสำหรับการทดลองถูกแจกจ่ายให้กับธุรกิจโบท็อกซ์ปลอมได้อย่างไร ทางโรงงานหรือผู้ผลิตมีส่วนรู้เห็นกับการกระบวนการผลิตโบท็อกซ์ปลอมหรือไม่ พ่อค้าคนกลางอาจซื้อโบทูลินัมท็อกซินจากผู้ผลิตเหล่านี้แล้วนำไปบรรจุในหลอดแก้วติดฉลากเป็นโบท็อกซ์แล้วขายให้กับผู้ให้บริการศัลยกรรมความงาม หรือผู้ให้บริการศัลยกรรมความงามเถื่อนอาจสั่งซื้อโบทูลินัมท็อกซินในราคาถูกจากผู้ผลิตสำหรับการทดลองแล้วนำมาฉีดให้กับผู้ใช้บริการ โบท็อกซ์ปลอมแบบนี้คล้ายกับโบท็อกซ์ของแท้มาก ในประเทศจีนมีตัวแทนจำหน่ายเถื่อนอย่างน้อย 20 ราย ทุกรายอ้างตัวเป็นบริษัท มีเวปไซต์ที่ดูน่าเชื่อถือ ประกาศตัวว่าเป็นตัวแทนจำหน่ายทีได้รับอนุญาตอย่างแนบเนียน เพียงแต่ที่ตั้งของบริษัทที่อยู่บนเวปไซต์ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงหรือเป็นที่ตั้งของสำนักงานร้าง ตัวแทนจำหน่ายเหล่านี้ขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตเท่านั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้าผู้ให้บริการเสริมความงามหลายรายจะถูกหลอก

การลักลอบนำโบทูลินัมท็อกซินที่มีความบริสุทธิ์ต่ำไปผลิตโบท็อกซ์ปลอมเป็นวิธีการที่แนบเนียนและมีประสิทธิภาพ แต่ใช่ว่าจะผลิตโบท็อกซ์ปลอมได้มากมายนัก เพราะโบทูลินัมท็อกซินความบริสุทธิ์ต่ำที่ลักลอบมาขายเป็นเพียงบางส่วนที่ผลิตได้ การจะลักลอบนำมาขายให้มากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก จำนวนโรงงานก็มีอยู่จำกัด ทางออกสำหรับผู้ผลิตโบท็อกซ์ปลอมก็คือ ตั้งโรงงานเพื่อผลิตโบทูลินัมท็อกซินเอง วิธีนี้ทำให้สามารถผลิตโบท็อกซ์ปลอมได้เท่าที่ต้องการและยังได้กำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย มีหลักฐานว่าสหภาพโซเวียตเก่าเป็นแหล่งผลิตโบท็อกซ์ปลอมโดยมีแก๊งอาชญากรเกี่ยวข้องด้วย ที่นี่สามารถตั้งโรงงานเถื่อนเพื่อผลิตโบทูลินัมท็อกซินได้เอง เพราะเดิมมีโรงงานผลิตยาปลอมอยู่จำนวนมาก ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงคนหนึ่งกล่าวว่าการผลิตโบท็อกซ์ปลอมนี้ดำเนินมานานกว่า 3 ปีแล้ว โดยมีโรงงานผลิตโบทูลินัมท็อกซินอยู่ในสาธารณรัฐเชชเนียและนำมาบรรจุหลอดแก้วที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ทั้งหลอดแก้ว ฉลาก และห่อบรรจุเหมือนกับโบท็อกซ์ของแท้จนแยกไม่ออก เรียกได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมโบท็อกซ์ปลอมแบบครบวงจ

อันตรายจากโบท็อกซ์ปลอม
โบท็อกซ์ปลอมไม่ว่าจะมาจากการผลิตโดยโรงงานเถื่อนหรือจากการนำโบทูลินัมท็อกซินสำหรับการทดลองทางวิยาศาสตร์มาปลอมแปลงล้วนแล้วแต่มีสิ่งเจือปนสูงกว่าของแท้ทั้งสิ้น สิ่งเจือปนทั้งหลายอาจเป็นพิษโดยตรงหรือก่อให้เกิดภูมิแพ้แก่ผู้ฉีด นอกจากนี้สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าคือโบท็อกซ์ปลอมมีความเข้มข้นของโบทูลินัมท็อกซินไม่แน่นอน โดยปกติการฉีดโบท็อกซ์ต้องคำนวณปริมาณที่ใช้ฉีดให้เหมาะสม การฉีดเกินไปเพียงเล็กน้อยเป็นอันตรายถึงชีวิต เมื่อความเข้มข้นแต่ละหลอดที่นำมาใช้ความเข้มข้นไม่เท่ากัน แม้แพทย์จะคำนวณปริมาณการฉีดได้ถูกต้องแต่คนไข้อาจได้รับโบทูลินัมท็อกซินไม่ตรงตามที่คำนวณ ถ้าได้รับน้อยไปก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าได้รับมากไปก็อาจทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิต อย่างไรก็ตามอันตรายทั้งหลายที่กล่าวเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็ยอมรับความเสี่ยงจากโบท็อกซ์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเทียบไม่ได้เลยกับการที่โบท็อกซ์ปลอมเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ!

ประโยชน์ของวิตามินชนิดต่างๆ

วิตามินเอ
ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน (Night Blindness)
ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
สร้างความต้านทานให้ระบบหายใจ
ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว และช่วยลบจุดด่างดำ
ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

วิตามินซี
เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีของเด็กอ่อน (SIDS : Sudden Infant Death Syndrome)
ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยคลายเครียด

วิตามินอี
เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญโดยมีออกซิเจน เป็นตัวการสำคัญทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี
เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ต้านการแข็งตัวของเลือด ลดความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
บำรุงตับ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมาก
ช่วยในระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ
ช่วยให้ผิวพรรณสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้นและไม่อ่อนเพลียง่าย

วิตามินบี2
เป็นโคเอนไซม์ของปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารอาหารในร่างกาย เช่น โคเอนไซม์ที่ควบคุมการใช้กรดไขมัน กรดอะมิโน กรดไพรูวิก เป็นต้น จึงช่วยให้การจ่ายอาหารเป็นไปตามปกติ
ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต รักษาสุขภาพของผิวหนังและระบบประสาท บำรุงสายตา ช่วยให้เม็ดเลือดแดงคงสภาพ ช่วยในขบวนการใช้ออกซิเจน ทำให้การหายใจระดับเซลล์ดีขึ้น

วิตามินบี6
เป็นตัวสำคัญที่จะทำให้การดูดซึมของวิตามิน บี12 เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ และสมบูรณ์
Decarboxylation ของกรดอะมิโนหรือเมตาบอลิซึมของไขมันและ กรดนิวคลิอิค (Nucleic acid)
ช่วยวิตามิน เอฟ (Linoleic acid หรือ Unsaturated fatty acid) ปฎิบัติหน้าที่ดีขึ้น
วิตามิน บีหก นี้เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ที่สำคัญตัวหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เผาผลาญ และใช้คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
การสร้างเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมน ช่วยในการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ และมีผลต่อการควบคุมการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อ
การสร้างสารภูมิคุ้มกันโรค และสังเคราะห์สารแรกเริ่มของวงแหวนเฟอร์ไฟริน (porphyrinring) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเฮโมโกลบิน
การสร้างกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น อะลานีน กรดกลูทามิก กรดแอสพาร์ทิก ในตับโดยอาศัยปฎิกิริยาเคลื่อนย้ายหมู่อะมิโน (Transamination)
ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดโลหิตแดง
ช่วยในการปล่อยน้ำตาล (Glycogen) จากตับและกล้ามเนื้อออกมาเป็นพลังงาน
ช่วนในการเปลี่ยนทริพโตฟาน (Tryptophan) เป็นไนอะซินหรือวิตามิน บีสาม
วิตามิน บีหก เป็นตัวสำคัญในการสังเคราะห์ และควบคุมการปฎิบัติหน้าที่ของ DNA และ RNA ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งบอกพันธุกรรม
ช่วยในการควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และกระดูก
ป้องกันการคลื่นไส้ระหว่างตั้งครรภ์
มีผลในการรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะต่าง ๆ โรคหัวใจ และเบาหวาน
มีผลในการลดระดับคอเลสเตอรอล
ป้องกันอาการตื่น และไม่สงบของประสาท นอนไม่หลับ
มีคุณสมบัติเป็นยาขับปัสสาวะธรรมชาติ
ช่วยลดอาการบวมในระยะก่อนมีประจำเดือน

ไนอะซิน หรือ วิตามินบี3
เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์นิโคตินาไมด์อะดินินไดนิวคลีโอไทด์ ( nicotinamide adenine dinucleotidw , NAD ) และนิโคตินาไมด์ อะดินีนไดนิวคลีโอไทด์ฟอสเฟต ( Nicotinamide adenine dinucleotide phosphate , NADP )
ซึ่งเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาหลายอย่างในร่ากาย เช่น NAD เป็นโคเอนไซม์ในปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในกระบวนการไกลโคลิซีส (glycolysis ) และกระบวนการขนถ่ายอิเล็กตรอนในลูกโว่ของการหายใจของเซลล์ และ NADP
เป็นโคเอไซม์ในปฏิกิริยาการสังเคราะห์กรดไขมัน และคอเลสเทอรอล และเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเฟนิลอะลานีนไปเป็นไทโรซีน
ช่วยบำรุงสมองและประสาท
ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร
จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ
ช่วยลดระดับ คอเลสเทอรอลในเลือด

กรดโฟลิก หรือ วิตามินบี9
กระตุ้นถุงน้ำดีให้บีบตัวแรงขึ้น เพิ่มพลังผลิตน้ำดีทำให้การย่อยไขมัน และการดูดซึมไขมันดีขึ้น โดยเฉพาะกรดไขมันที่จำเป็นเช่น แคโรทีน และวิตามินเอ ดี อี และวิตามินเค
การใช้น้ำตาล และกรดอะมิโน ร่างกายจำเป็นต้องมีกรดโฟลิคช่วยในกระบวนการนี้
กรดโฟลิคช่วยร่างกายในการสร้างเม็ดเลือดแดง โดยที่จะไปช่วยไขกระดูก ( BONE MARROW ) ให้ผลิตเม็ดเลือดแดง
ทำหน้าที่คล้ายน้ำย่อยทำงานร่วมกับวิตามินบี12 และวิตามินซี เผาผลาญโปรตีน และใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
เป็นตัวสำคัญในการสร้าง NUCLEIC ACID ซึ่งจำเป็นสำหรับขั้นตอนในการเจริญเติบโตของร่างกาย และสร้างเซลล์ทั้งหลายให้กับร่างกายอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ควบคุมการทำงานของสมอง และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีของสมอง และอารมณ์ให้อยู่ในสภาพที่ปกติสมบูรณ์
ทำให้รู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น
กระตุ้นการผลิตกรดไฮโดรคลอริค ( HYDROCHLORIC ACID ) ซึ่งช่วยในการป้องกันตัวกาฝากในลำไส้และป้องกันอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ยังช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของตับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ช่วยในการเผาผลาญ RNA ( RIBONUCLEIC ACID ) และ DNA ( DEOXYRIBONUCLEIC ACID ) ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีนการสร้างโลหิต สร้างเซลล์ และการถ่ายทอดปัจจัยทางพันธุกรรม
และการทำหน้าที่ร่วมกับวิตามิน บี12 รวมทั้งการสร้างภูมิต้านทานโรคในต่อมไธมาส ( THMAS ) ให้แก่เด็กเล็ก และเด็กเกิดใหม่