2552/08/17

ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด

ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด" นี้ เป็นการถอดความกิ่งแปล จากข้อเขียนเรื่อง Evidence For Karma and Rebirth ของ Amarasiri Weeraratne ในนิตยสาร The Maha Bothi ฉบับประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖ (1972)

เป็นการ "ถอดความกิ่งแปล" โดยพระราชธรรมมุนี (เกียรติ สุกิตฺโต) รองเจ้าอาวาส วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร ถนนจักรวรรดิ แขวงจักวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กทม.โทร. ๐๒-๒๒๒๔๙๔๙ มือถือ ๐๘๙-๖๘๔๗๗๐๐ ปัจจุบันนี้อายุท่าน ๗๖ ปี ซึ่งท่านมาอินเดียตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ และอยู่ในอินเดียตลอดมารวมเวลาได้ ๑๓ ปีเศษทีเดียว

ข้อเขียนนี้เป็นข้อเขียน "ถอดความกึ่งแปล" ได้พิมพ์ลงในหนังสือชื่อ "เกี่ยวกับอินเดีย" ซึ่งการพิมพ์ครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ.....

"มหาชนบท ๑๖ แคว้น ในชมพูทวีปสมัยพุทธการ จดหมายเล่าเรื่องอนาคาริกธัมมปาละ คำบูชาประทักษิณเวียนเทียน ณ สังเวชณียสถาน ๔ แห่ง ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด และนำเที่ยวสถานที่ทางพระพุทธศาสนานอินเดีย" ซึงหนังสือเล่มนี้ ทุกท่านมีโอกาสที่จะได้รับแจก (ฟรี) คอยติดตามตอนท้ายสุดนะคะ.....

ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด (หน้าที่ ๒๐๗-๒๑๖)

มร.เอดการ์ เคซี่ แห่งมลรัฐเคนทักกี้ อเมริกา ผู้ได้ถึงแก่กรรม ไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1956 (พ.ศ. ๒๔๙๙) เป็นมนุษย์ผู้มีญาณพิเศษหรือตาทิพย์แห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งได้ใช้ความสามารถด้านนี้ของตนเพื่อบรรเทาและปลดเปลื้องความทุกข์ของ เพื่อนมนุษย์

เคซี่ได้รับสมญาว่า หมอหลับแห่งอเมริกา" และได้มีคนไข้ทุกประเภทไปขอให้ช่วยรักษา หลังจากที่การรักษาทางอื่นทุกๆอย่างบรรดามี ไม่สามารถบำบัดความเจ็บไข้ของตนได้แล้ว

"หมอเคซี่" ไม่เหมือนแพทย์ทั่วไปทั้งหลายตรงที่มีการศึกษาเพียงชั้นมัธยมเท่านั้น และไม่เคยได้รับการศึกษาทางแพทย์จากสำนักศึกษาแห่งใดเลย

เมื่ออายุ ๒๑ ปี เคซี่ได้จากบ้านเกิดเข้าไปหางานทำนเมือง และได้งานทำทางด้านธุรกิจประกันภัย แต่พอหลังจากนั้นสองสามปีก็ประสบโชคร้าย ถูกโรคหลอดเสียงในคออักเสบเล่นงานอย่างรุนแรง เป้นผลให้พูดอะไรไม่มีเสียง จนต้องทิ้งงานที่ทำอยู่ไปทำงานอืนที่ไม่ต้องช้เสียงมาก ขณะเดียวกันก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะรักษาให้หลอดเสียงที่เสียของตนกลับ คืนดีขึ้นมา แต่ก็ปรากฎว่าไม่มีการรักษาโดยวิธีใดช่วยทำให้ดีได้

ขณะที่เคซี่อยู่ด้ยความสิ้นหวัง ไม่มีทางจะลองรักษาอย่างใดอีกดังกล่าว ก็พอดีมีผู้ชำนาญการสะกดจิตคนหนึ่ง เดินทางไปเผยแพร่วิชาการด้านนี้ ณ เมืองที่เคซี่อยู่ เคซี่จึงได้ไปหาและขอให้ลองใช้วิธีการทางด้านสะกดจิตช่วยรักษาอาการที่เป็น ของตัว

ปรากฎว่าเมื่อยู่ในภาวะถูกสะกดจิต เคซี่สามารถพูดมีเสียงออกมาเช่นปกติ แต่พอพ้นจากถูกสะกดจิต ก็กลับพูดอะไรไม่มีเสียงอีกตามเดิม ผู้ชำนสญการสะกดจิตได้พยายามแล้ว พยายามอีก เพื่อจะแก้ไขให้ได้ แต่ก้ไร้ผล

เพื่อนของเคซี่คนหนึ่ง ชื่อ เลน ซึ่งเป็นนักสะกดจิตสมัครเล่นและสนใจติดตามเรื่องนี้อยู่ด้วย คิดว่าเมื่อเคซี่สามารถพูดได้ในขณะถูกสะกดจิต เมื่อกลับสู่สภาวะตื่นเป็นปกติแล้วก็น่าจะพูดได้ด้วย จึงตั้งใจที่จะทดลองเรื่องนี้ดูด้วยตนเอง

เลนจึงดำเนินการสะกดจิตเคซี่ เสร็จแล้วตั้งคำถาม..."นี่แกบอกฉันได้ไหมว่า อะไรที่เป็นเหตุให้เกิดการตีบตันในลำคอของแก และบอกด้วยได้หรือเปล่าว่าจะรักษาเจ้าโรคที่เป็นนี้ได้อย่างไร"

มหัศจรรย์เกินจะกล่าวได้เกิดขึ้น เลนได้รับคำตอบว่า อาการดังกล่าวเป็นภาวะสัมพันธ์ระหว่างจิตและร่างกาย เลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อบางส่วนในลำคอไม่พอ ให้เลนออกคำสั่งเสียในขณะที่ตนยังอยู่ในภาวะถูกสะกดจิตว่า ให้การอุดตันทางเดินของเลือดหายเสีย ให้เลือดเดินได้สะดวก แล้วเมื่อนั้นการรักษาก็จะได้ผล

เลนทำตามคำแนะนำ ผลปรากฏว่า ชั้วขณะที่เลนจ้องสังเกตะอยู่นั่นเอง ลำคอของเคซี่ก็เปลี่ยนสีเป็นชมพู แล้วก็เป็นแดงอย่างอมเลือดอมฝาดเต็มที่ เคซี่สามารถพูดได้ด้วยเสียงปกติของตัว และเมื่อตื่นจากการถูกสะกดจิตแล้วก็สามารถเรียกสมรรถนะในการพูดกลับมาได้ตาม เดิม แล้วหลังจากนั้นได้มีการทำเพิ่มเติมอีกครั้งสองครั้ง ทุกอย่างก็สมบูรณ์เป็นปกติ

คราวนี้มาถึงคราวของตัวเลนเอง โดยตัวเขามีอาการป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับท้องอยู่ ได้ทดลองรักษามาแล้วทุกตำหรับ แต่ก็ไม่ได้ผลเด็ดขาด เลนตั้งใจจะปรึกษาเคซี่ระหว่างถูกสะกดจิตดูว่า จะสามารถบำบัดอาการป่วยเจ็บของตนได้ไหม
เมื่อเลนทดลองทำตามที่คิด ก็ปรากฎว่าเคซี่สามารถบอกวิธีรักษาให้ได้ โดยแนะนำให้บริหารร่างกายอย่างนั้นๆ ให้รับอาหารพิเศษอย่างนั้นๆ และใช้ยาประกอบอย่างนั้นๆ ซึ่งเมื่อเลนทำตามคำแนะนำดังกล่าวก็พบว่า เป็นไปตามคำทำนายของเคซี่ คือภายในเวลาเพียง ๓ สัปดาห์ เลนก็หายขาดจากอาการโรคที่เป็นมาอย่างเรื่อรัง

คราวนี้เลนได้ประจักษ์ว่า ขณะที่ถูกสะกดจิตเคซี่มีความสามารถมหัศจรรย์ในการรักษา และดดยที่ทราบอยู่ว่า เคซี่เป็นคริสเตียนผู้เคร่งครัด และใจบุญ มีศรัทธาอ่านไบเบิ้ลจากปกหน้าถึงปกหลังทุกปี จึงได้พูดหว่านล้อมขอให้เคซี่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์จำนวนมาก ซึ่งได้รับทุกข์ทรมาณเพราะโรคร้ายนานาชนิด และไม่สามารถหาวิรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งบำบัดได้ ดดยขอให้เคซี่รับและนำวิธีรักษาให้แก่คนเหล่านั้น ขึ้นแรกเคซี่ไม่ตกลง เนื่องจากไม่เชื่อว่าตนเองจะมีความสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เมื่อถูกวิงวอนขอร้องหลายครั้งหลายหนเข้าก็ตกลง รับทดลองรักษาในรายหนักๆซึ่งไม่สามารถหาทางรักษาได้แล้วจริงๆ
แม้เคซี่จะไม่เคยได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยาและการแพทย์เลย แต่ก็ปรากฎว่าเมื่ออยู่ในระหว่างสะกดจิต เขาสามารถตรวจวิเคราะห์โรคได้อย่างแม่นยำ และใช้ศัพท์เทคนิคต่างๆ ที่ในเวลาปกติแล้วเขาไม่เคยรู้เลย.......


กล่าวได้ว่าคนไข้ที่เคซี่รักษาหายหมดทุกราย ไม่ปรากฏว่ามีรายใดทรุดลงกว่าเดิมเลย ในบางรายเคซี่จะบอกว่าไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลมาจาก "กรรม" แต่ชาติก่อน เขาสามารถเพียงแต่จะบอกชื่อยาซึ่งอาจช่วยให้บรรเทาลงได้บ้าง เมื่อเป็นขึ้นมาเท่านั่น เคซี่ไม่รู้เรื่องศานาพุทธหรือฮินดูเลย และยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่อง "กรรมและเรื่องตายแล้วเกิด" เมื่อมีผู้เล่าให้ฟังเคซี่ถึงกับตกใจ และคิดจะเลิกการรักษาที่ทำอยู่นั้นเสีย ด้วยเห็นว่า การกระทำของตนเป็นเรื่องแอนตี้คริสเตียน แต่เพื่อนฝูงก็สามารถชี้แจงทำความเข้าใจ และอ้อนวอนให้เคซี่ให้การรักษาต่อไปจนได้

ในช่วงเวลา ๔๐ ปี เคซี่รักษาคนไข้ให้หายได้รวมจำนวนประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน

มีข้อแตกต่างอย่างมากอยู่ประการหนึ่ง ระหว่างเคซี่กับแพทย์ทั่วไป คือ เคซี่ไม่จำเป็นจะต้องได้เห็นคนไข้ โดยคนไข้อาจจะอยู่ห่างออกไปเป็นระยทางตั้งร้อยไมล์ก็ได้ ที่จำเป็นมีเฉพาะชื่อกับที่อยุ่อันถูกต้องของคนไข้ ซึ่งจะต้องบอกให้เคซี่ทราบเมื่อได้อยู่ในภาวะสะกดจิตแล้ว หากปรากฎว่าคนไข้ไม่อยู่เขาก็จะพักรายนั้นไว้แค่นั้น แล้วตรวจรายอื่นต่อไป

ตอนตรวจรักษา เคซี่ไม่ต้องทำอะไรมาก เขาเพียงแต่จะเข้าไปในห้อง ถอดรองเท้าและผ้าพันคอออก แล้วเอนตัวลงบนที่นอน หลับตา เอามือประสานกันวางที่หน้าผาก หายใจแรง ๗ ครั้ง แล้วชั่วประเดี๋ยวตาของเขาก็จะรู้สึกสว่าง
หลังจากนั้นชั่วครุ่ ภรรยาหรือเลขานุการของเขาก็จะบอกว่า คราวนี้เขาจะได้เห็นคนชื่อนั้นๆ อยู่ที่นั้นๆ ให้เขามาตรวจวิเคราะห์โรคและบอกวิธีรักษาที่จำเป็น จากนั้นสองสามนาทีเคซี่ก็จะพูด


บ่อยครั้งที่เคซี่จะพรรณาสภาพแวดล้อมของที่ที่เขาได้พบคนไข้ เช่นเขาจะบอกว่ามีสุนัขสีขาวตัวหนึ่งอยู่มุมห้อง แม่ของคนไข้กำลังสวด (มนต์) อยู่ คนไข้กำลังขึ้นบันใดมาเป็นต้น ข้อระบุของเคซี่ทำนองนี้พบว่าตรงกับที่เป็นจริงทุกครั้ง จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความเป็นจริงแห่งพลังตาทิพย์ของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ปราฏเลยว่าการตรวจวิเคราะห์โรคและการสั่งยาของเขานั้นไม่ได้ผล แม้แต่เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อไม่สามารถจะตรวจวิเคราะห์โรคให้ทราบแน่นอนได้ ก็ต้องมาพึ่งพลังตาทิพย์ของเคซี่ ที่สถาบันเคซี่มีประกาศนียบัตรที่นายแพทย์ดังกล่าวออกให้เป็นหลักฐานอยู่ หลายใบ

งานของเคซี่มีความสำคัญพิเศษสำหรับเราชาวพุทธ โดยที่จะได้พบประจักษ์พยานเกี่ยวกับเรื่องกรรมและตายแล้วเกิดอย่างมากมาย ในการดูด้วยใจหรือตรวจทางในของเคซี่ บางครั้งเขาบอกว่าความป่วยไข้ของคนไข้บางคนของเขานั้นเนื่องมาจากผลของกรรม ในชาติก่อน ดังนั้นจึงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ การรักษาของเขาเพียงแต่จะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้บ้างเท่านั้น บางครั้งเคซี่จะระบุถึงชาติอดีตของคนไข้บางรายด้วย ซึ่งในชาติดนั้นๆคนไข้เหล่านั้นได้ทำกรรมชั่วไว้ อันได้ส่งผลให้พวกเขาประสบทุกข์ทรมานในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

คนไข้รายหนึ่งซึ่งป่วยด้วยโรคหืด เคซี่บอกว่าชาติก่อนเขาเคยโยนลูกแมวให้จมน้ำตาย ชาตินี้เขาจึงได้รับทุกข์ทรมารจากอาการของโรคหืดหายใจไม่ออก
สามีภรรยาคู่หนึ่งประสบปัญหาเกี่ยวกับคู่ชีวิต เคซี่บอกว่า ทั้งสองเคยเป็นพระและแมชีโรมันคาทอลิกอยู่ที่เกาะอังกฤษ ในชาติดักล่าวทั้งสองได้ล่วงละเมิดศีลและคำปฏิญาณ ชาตินี้จึงได้รับความเดือดร้อนยุ่งยากเช่นที่เป็นอยู่

คนไข้ตาเสียรายหนึ่งได้รับบอกว่า เมื่อชาติก่อนเขาเป็นสามาชิกชาวป่าเปอร์เชียเป่าหนึ่ง คนป่าเผ่านี้จะควักลูกตาของเชลยทุกคนที่จับได้ในการสู้รบออก และหน้าที่ควักลูกตาของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งหลายออกดังกล่าวนั้นเป็นคน ไข้รายที่พูดถึงอยุ่นี้ ดังนั้นในชาตินี้ เขาจึงได้รับผลกรรมเป็นคนตาบอด

คนไข้อีกรายหนึ่งได้รับบอกว่าเป็นเพราะเมื่อชาติก่อนเขาได้มีความยินดีปรีดา ในความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุ ษย์ผู้ตกเป็นเหยื่อ ณ สนามโรมันสเตเดี้ยม ซึ่ง ณ ที่นั้นผู้ถูกจองจำบางพวกถูกโยนลงไปให้เป็นเหยื่อของสิงโต ในบันทึกของเคซี่มีกรณีดังกล่าวนี้อยู่มากมาย

(ย่อหน้านี้ ในประเทศเราเคยมีการพูดและเล่ากันต่อๆมาบ่อยๆ โดยเฉพาะพวกที่ฆ่าวัว ควาย เป็ด ไก่และอื่นๆ ซึ่งในขณะที่กำลังจะหมดลมหายใจ ปรากฎว่าตัวเองต้องดิ้นลนและร้องเหมือนวัว ควายและสัตว์ต่างๆที่ตนฆ่าอย่างน่าเวทนา - กรรมมีจริง!)

เคซี่จะตรวจดูชาติอดีตของเด็กๆ แล้วบอกให้พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นทราบว่าเด็กเคยได้มีความชำนาญมาแล้วในทาง ไหน พร้อมกันนั้นก็จะแนะนำว่าเมื่อโตขึ้นเด็กควรประกอบอาชีพในแนวที่ตนมีความขำ นาญมาแล้ว ผลปรากำว่า ทุกรายที่ทำตามคำแนะนำของเคซี่ ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม

จากข้อเท็จจริงทีปรากฎนี้ ย่อมเป็นที่แจ้งชัดว่าเรื่องกฎแห่งกรรมและเรื่องตายแล้วเกิด เป็นหลักคำสอนที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง ทั้งประจักษ์พยานสนับสนุนเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องนอกจากที่มีกล่าวในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นเรื่องต้องเชื่อด้วย ศรัทธา

บันทึกและเอกสารเกี่ยวกับงานของเคซี่ ยังคงได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ สถาบันเคซี่ เวอร์จิเนียบีช อเมริกา นักค้นคว้าทางจิตและผู้ศึกษาเรื่องกรรมกับตายแล้วเกิด พากันไปที่นั่นบ่อยๆ เพื่อศึกษาบันทึกต่างๆเหล่านี้ โมเรย์ เบเรนสไตน์ สนใจเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด ก็เพราะได้ศึกษาบันทึกของเคซี่ เรื่องนี้ได้กระตุ้นให้เขาพิสูจน์ความจริงของการตายแล้วเกิด ด้วยการสะกดจิตหญิงคนหนึ่งแล้วให้เธอย้อนระลึกไปถึงชาติในอดีตของเธอ

ผลการทดลองดังกล่าวของเบเรนสไตน์ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันทั่วโลก และได้รับการจัดพิมพ์เป็นหนังสือให้ชื่อว่า "The Search for Bridey Murphy" ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของอเมริกาในปี ค.ศ. ๑๙๕๖ งานดังกล่าวรับรองความจริงเรื่องตายแล้วเกิดว่า เป็นภาวะที่อาจพิสูจน์ได้โดยวิธีให้ระลึกชาติได้ด้วยการสะกดจิต จินา เซรา นิมารา ผู้เขียนเรื่อง "Many Mansions and The World within" ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้ศึกษาบันทึกงานของเคซี่อย่างละเอียด และในหนังสือสองเล่มของเธอซึ่งเป็นงานขั้นมาตรฐาน เกี่ยวกับเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด เธอก็ได้อ้างถึงกรณีของเคซี่บ่อยๆ

จำเป็นต้องกล่าวถึงด้วยว่า เคซี่ใช้พลังจิตของเขาเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์แต่อย่างเดียวโดยไม่ เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะใช้ใน ทางร้ายหรือผิดศีลธรรม เขาไม่เคยช่วยพวกนักการพนันหรือบอกใบให้พวกนักเลงเล่นม้า เคซี่ไม่ยอมให้เอาเรื่องของตนไปโฆษณาเลยโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทางหนังสือพิมพ์ ทางวิทยุหรือทางโทรทัศน์ แต่แม้กระนั้นก็เป็นความจำเป็นที่คนไข้จะต้องเข้าคิวรอเป็นเวลาหลายๆเดือน และระยะหลังถึงร่วมปี กว่าจะสามารถกำหนดวันนัดหมายกับเคซี่ได้

การรักษาของเคซีไม่ใช้ตำรายาและวิธีการรักษาแบบของตะวันตกเสมอไป ยาของเขาบางขนานพบว่าตรงกับที่มีในตำรับการแพทย์ของอียิปต์โบราณ ทั้งนี้โดยที่ชาติหนึ่งในอดีตของเขาเคยเกิดเป็นหมอใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่ นั่น

การอ่านชีวประวัติและงานของเคซี่อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถทำให้เราเชื่อได้ในความจริงที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือในข้อที่ว่า "ไม่มีใครมาสู่โลกนี้แบบ "มือเปล่า" อย่างแท้จริงโดยไม่มีทรัพย์สมบัติหรือหนี้สินอะไรติดตัวมาด้วย แต่ละคนนำเอากรรมทั้งที่เป็นส่วนดีและส่วนเลวของตนติดตัวมา และกรรมนั้นเป็นผู้จำแนกรูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัยใจคอ ความชำนาญพิเศษและอะไรต่อมิอะไรอื่น ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับเกินกว่าจะอธิบายได้ไม่ว่าใครจะเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์สุดแต่กรณีในชาตินี้ ส่วนใหญ่กำหนดโดยกองกรรมในอดีตของตน"

พระพุทธดำรัสว่า... "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นที่พึ่งพำนัก...ได้รับการยืนยันโดยผลงานของมนุษย์ตาทิพย์ยุค ปัจจุบันคือ นายเอ็ดการ์ เคซี่ ผู้นี้..." ผู้ซึ่งมิใช่ชาวพุทธ ทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธองค์หรือพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกลับเป็นคริสเตียนผู้เคร่งครัดในศาสนาของตนเองด้วยซ้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น