2552/06/17

มาร์โมเส็ต เรืองแสง

มาร์โมเส็ต เรืองแสง



นักวิชาการบางกลุ่มออกมาตำหนินักวิทยาศาสตร์จากสถาบันทดลองสัตว์กลาง ประเทศญี่ปุ่น ที่สร้างลิงมาร์โมเส็ตที่เรืองแสงสีเขียวในแสงอัลตราไวโอเลตว่า จะเป็นการเปิดทางให้มีการออกแบบทารก หรือ "ดีไซเนอร์เบบี้"

นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเป็นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มแรกของโลกที่นำไวรัสที่มียีนเรืองแสงไปฝังไว้ในไข่ของลิงราว 90 ฟอง จนได้มาร์โมเส็ตเรืองแสง 5 ตัว รวมทั้งฝาแฝดที่มีชื่อว่า "เค" และ "คู" การทดลองมีขึ้นเพื่อศึกษาว่า ลิงสามารถส่งต่อพันธุกรรมไปยังชั้นลูกชั้นหลาน ซึ่งผลที่ได้อาจช่วยในการทดลองเพื่อหาทางรักษาผู้ป่วยที่ เป็นโรคมัลติเพิลสเคิลโรซิส พาร์คินสัน ฯลฯ

แม้ว่าการทดลองจะสามารถทำกับหนูได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเลือกทดลองกับมาร์โมเส็ต เพราะเห็นว่า ลิงเป็นตัวอย่างที่ดีกว่าในการรักษาโรคของมนุษย์

มาร์โมเส็ต เรืองแสง

นางมิเชล ธิว จากกลุ่ม Union for the Abolition of Vivisection ประเทศอังกฤษ มีความเห็นว่า "แทนที่เราจะทำร้ายสัตว์ให้ทรมาน เราควรจะทำการทดลองอย่างอื่นที่ให้ผลอย่างเดียวกันและรักษาโรคในมนุษย์ ไม่ขัดต่อหลักมนุษย ธรรม" ส่วน ดร.เดวิด คิง จากกลุ่ม Human Genetics Alert เห็นว่า "การทดลองสร้างสัตว์เรืองแสงอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพันธุวิศวกรรมในทารก และถ้าไม่มีเสียงค้าน เราก็อาจหลุดเข้าไปในเส้นทางของการสร้างดีไซเนอร์เบบี้"

อย่างไรก็ตาม ดร.คีแรน บรีน จากกลุ่มโรคพาร์คินสัน เห็นว่า "เป็นการทดลองที่ได้ผลเป็นที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง และเนื่องจากลิงเป็นสัตว์ที่มีความคล้ายมนุษย์มากกว่าหนู เราจึงมีตัวอย่างสัตว์ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมชนิดใหม่ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มาศึกษา"

10 อันดับสุดยอดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ ปี 2009

สถาบันสำรวจสิ่งมีชีวิตสากล (International Institute for Species Exploration) มหาวิทยาลัยแห่งรัฐอริโซนา ร่วมกับ คณะกรรมการอนุกรมวิธานสากล (International Committee of Taxonomists) เผยผลการจัด 10 อันดับสุดยอดสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์สปีชีส์ใหม่ประจำปี 2009

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นแหล่งที่มีการค้นพบสัตว์สปีชีส์ใหม่ที่โดดเด่น หลังจากที่เมื่อปี 2008 กิ้งกือมังกรสีชมพูซึ่งค้นพบที่ประเทศไทย ติดอยู่อันดับที่ 3

มาดูกันว่า 10 อันดับสุดยอดของสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ ปี 2009 มีอะไรกันบ้าง

10 ปาล์ม Tahina spectablilis ภาพ John Dransfield
9 แมลง Phobaeticus chani ภาพ Philip Bragg
8 ม้าน้ำแคระ ภาพ John Sear

อันดับ 10

ปาล์มยักษ์จีนัสและสปีชีส์ใหม่ ปาล์มหายากทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาดากัสการ์มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tahina spectablilis มันจะออกดอกเพียงครั้งเดียวในชีวิต โดยจะใช้พลังอย่างมากในการเบ่งดอกนับร้อยนับพัน และหลังจากออกผลแล้วมันจะตายและล้มลง

ปาล์มจีนัสใหม่นี้ไม่มีความคล้ายคลึงกับกับปาล์มชนิดใดๆ ในมาดากัสการ์เลย นักพฤกษศาสตร์เชื่อว่า มันน่าจะเป็นญาติใกล้ชิดกับปาล์ม 3 จีนัส ที่อยู่ในอัฟกานิสถาน ภาคใต้ของประเทศไทย เวียดนาม และภาคใต้ของจีน

อันดับ 9 แมลง Phobaeticus chani

แมลงรูปร่างคล้ายหนามซึ่งยังไม่มีชื่อสามัญ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phobaeticus chani เพื่อเป็นเกียรติแก่ ซี.แอล ชาน

พบที่เกาะบอร์เนียว มาเลเซีย มีลำตัวยาวถึง 35.6 เซนติเมตร หรือ 14 นิ้ว และความยาวทั้งตัวเท่ากับ 56.7 เซนติเมตรหรือ 22.3 นิ้ว ทำให้มันครองตำแหน่งแมลงที่ยาวที่สุดในโลก

อันดับ 8 ม้าน้ำแคระ (Pygmy Seahorse)

ม้าน้ำขนาดจิ๋วเท่ากับเมล็ดถั่ว มีความยาวลำตัวเพียง 0.54 นิ้ว และสูง 0.45 นิ้ว เท่านั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hippocampus satomiae เพื่อเป็นเกียรติแก่ ซาโตมิ โอนิชิ มัคคุเทศน์นักดำน้ำผู้เก็บรวบรวมซากของพวกมันไว้ พบที่ทะเลใกล้เกาะเดราวัณ อินโดนีเซีย

จุดเด่นของมันคือรูปร่างที่มีปุ่มและสีคล้ายกิ่งก้านของกัลปังหาที่มันอาศัยอยู่จนแยกไม่ออก

7 งูเส้นด้ายบาร์เบโดส ภาพ S. Blair Hedges
6 ทากปีศาจ ภาพ Ben Rowson
5 หอยทาก Opisthostoma vermiculum ภาพ Reuben Clements

อันดับ 7 งูเส้นด้ายบาร์เบโดส (Barbados Threadsnake)

งูเส้นด้ายบาร์เบโดส คือ งูขนาดเล็กที่สุดในโลก มีความยาวเพียง 104 มิลลิเมตร หรือ 4.1 นิ้วเท่านั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Leptotyphlops carlae พบใต้ก้อนหิน ใกล้โบสถ์เซนต์โยเซฟ บนเกาะบาร์เบโดส

อันดับ 6 ทากปีศาจ (Ghost Slug)

Selenochlamys ysbryda ได้ชื่อว่าทากปีศาจเพราะพฤติกรรมในการกินสัตว์อื่นและล่าเหยื่อในเวลากลางคืน นอกจากนั้น สภาพแวดล้อมที่พวกมันเกิดก็ยังเป็นความลึกลับอยู่ พบในบริเวณที่มีประชากรหนาแน่นในเมืองกลามอร์แกน และคาร์ดิฟฟ์ แคว้นเวลส์

อันดับ 5 หอยทาก Opisthostoma vermiculum

นี่คือหอยทากที่แสดงวิวัฒนาการลักษณะของเปลือกที่ผิดแผกแตกต่างจากหอยทากอื่นๆ เปลือกหอยกาสโทรพอดส่วนใหญ่จะขดเป็นวงรอบแกนเดียวและขดรอบแกนได้ไม่เกิน 3 แกน ทว่า เปลือกหอยทาก Opisthostoma vermiculum ขดรอบแกนถึง 4 แกนแยกออกจากกัน พบที่เขาหินปูน ในประเทศมาเลเซีย

อันดับ 4 ปลาสลิดหินน้ำเงินทะเลลึก (Deep Blue Chromis)

ปลาสลิดหินน้ำเงินทะเลลึก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Chromis abyssus พบที่แนวปะการังน้ำลึกนอกชายฝั่งเกาะเงเมลิส ประเทศปาเลา ในหมู่เกาะในแปซิฟิก การค้นพบมันแสดงให้เห็นว่าเรายังรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในแนวปะการังน้ำลึกไม่มากนัก

อันดับ 3 แม่ปลาดึกดำบรรพ์ (Mother Fish)

ปลาพลาโคเดิร์ม (Placoderm) สปีชีส์ Materpiscis attenboroughi ในยุคดีโวเนียน เป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ซึ่งออกลูกเป็นตัวเก่าแก่ที่สุดเท่าที่โลกวิทยาศาสตร์เคยรู้จัก ฟอสซิลที่ขุดพบที่แหล่งโกโก ทางตะวันตกของออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่าแม่ปลากำลังออกลูกเมื่อประมาณ 380 ล้านปีก่อน

4 ปลาสลิดหินน้ำเงิน ภาพ Richard Pyle
3 แม่ปลาพลาโคเดิร์ม ภาพ John A. Long
2 ต้นกาแฟชาริเยอร์ ภาพ Piet Stoffelen
1 แบคทีเรีย Microbacterium hatanonis อยู่ในสเปรย์ฉีดผม ภาพ Erik Holsinger

อันดับ 2 ต้นกาแฟชาริเยอร์ (Charrier Coffee)

ต้นกาแฟชาริเยอร์มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coffea charrieriana เป็นต้นกาแฟไร้สารคาเฟอีนสปีชีส์แรกที่พบในอเมริกากลาง อยู่ในประเทศแคเมอรูน ศูนย์กลางความหลากหลายของพืชในจีนัส Coffea

อันดับ 1 แบคทีเรีย Microbacterium hatanonis

สุดยอดของสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ประจำปี 2009 คือ แบคทีเรียเอ็กซ์ทรีมโมไฟล์ (Extremophile Bacteria) ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Microbacterium hatanonis น่าทึ่งทีเดียวนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นค้นพบมันในสเปรย์ฉีดผม

อะแคนทะมีบา ภัย คอนแทคเลนส์

ดวงตา คือ หน้าต่างที่ทำให้เรามองเห็นโลกกว้าง ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ดี ก็อาจทำให้เราก้าวเข้าสู่โลกมืดหรือมีความผิดปกติทางสายตารุนแรงโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากละเลยข้อควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็อาจเป็นเหมือนการเปิดประตูต้อนรับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นอย่าง อะแคนทะมีบา เข้ามารุกรานและทำอันตรายต่อดวงตา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.พญ.พนิดา โกสียรักษ์วงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อะแคนทะมีบา เป็นโปรตัวซัวแบบเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในน้ำและดิน มีช่วงชีวิต 2 แบบ คือ

1. แบบ ซีสต์ มีขนาด 10-25 ไมครอน เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เพียงแต่จะฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ

2. แบบ โทรโฟซอยต์ ที่เคลื่อนไหว มีขนาด 15-45 ไมครอน จะเปลี่ยนรูปร่างจาก ซีสต์ มีฤทธิ์ทำลายดวงตา

อย่างไรก็ตาม เชื้ออะแคนทะมีบา ทั้ง 2 แบบ สามารถทนทานอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ เช่น หนาวจัด ร้อนจัด แห้งแล้ง ขาดอาหาร สระว่ายน้ำที่ใส่คลอรีน หรือแม้แต่บ่อน้ำร้อน

เกี่ยวข้องอย่างไรกับคนใส่คอนแทคเลนส์

ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ สามารถพบกระจกตาอักเสบเนื่องจากติดเชื้ออะแคนทะมีบาได้ โดยส่งผลทำให้เกิดอาการ ดังนี้ ปวดตามาก สู้แสงไม่ได้ กระจกตาขุ่น ฝ้า เป็นแผลอักเสบที่กระจกตา ในบางรายดูคล้ายอักเสบเนื่องจากติดเชื้อไวรัสเริม

วิธีรักษา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ในส่วนของการรักษา โดยทั่วไปจะต้องหยอดตาด้วยยาฆ่าเชื้อนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผสมจากน้ำยาบางชนิดที่ไม่มีขายในท้องตลาด โดยจะต้องหยอดตาบ่อย ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี และเฝ้าติดตามดูอาการเป็นระยะ ๆ นานหลายปี เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบาสามารถมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของซีสต์ได้นานหลายสิบปี ดังนั้นเมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีเชื้อโรคที่ไปเป็นอาหารชั้นดีของเชื้ออะแคนทะมีบา ซีสต์ดังกล่าวก็จะแปลงร่างเป็นโทรโฟซอยต์ทำให้ดวงตาอักเสบทันที

ทำอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ

1. ล้างมือทำความสะอาดโดยการฟอกสบู่หลาย ๆ ครั้ง ก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์

2. น้ำยาทำความสะอาดล้างเลนส์ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 เดือน ไม่เก่าเก็บเกิน 2 เดือนหลังจากเปิดใช้แล้ว

3. ขัดถูล้างเลนส์ทั้ง 2 ด้านเป็นเวลาพอสมควร ตลอดจนล้างขัดถูตลับแช่เลนส์ให้สะอาดทุกครั้งก่อนใส่น้ำยาแช่เลนส์ที่เปลี่ยนใหม่ทุกวัน เพราะโรคนี้มักพบในคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มบ่อยกว่าชนิดแข็ง โดยเฉพาะไม่ล้างทำความสะอาดเลนส์ทุกวันหรือใส่นอน

4. ควรนำตลับแช่เลนส์อบไมโครเวฟทุก 2-3 สัปดาห์ และเปลี่ยนตลับใหม่ทุก 2-3 เดือน เนื่องจากเชื้อโรคนี้อยู่ทนทาน

หากมีอาการหรือพฤติกรรมต่อไปนี้ อย่าใส่คอนแทคเลนส์

1.เปลือกตาอักเสบ

2.ตาแห้ง

3.เป็นโรคภูมิแพ้

4.ไม่มีเวลาดูแลล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์

เนื่องจากเชื้ออะแคนทะมีบา เป็นสาเหตุสำคัญของอาการกระจกตาอักเสบ และยังส่งผลให้เกิดแผลที่ดวงดา ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มีความอดทนต่อยาที่ใช้รักษาทุกชนิด ทำให้ต้องหยอดยาเป็นเวลานาน และในบางรายอาจไม่ตอบสนองต่อยา เป็นผลให้เชื้ออาจมีการลุกลามไปทั่วทั้งกระจกตา จนเกิดอาการอักเสบทั้งลูกตาได้

การรักษาต้องหยอดยาเป็นเวลานาน ถ้ามีอาการอักเสบมาก จักษุแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้ แต่ก็สามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก จึงต้องเฝ้าติดตามดูอาการเป็นเวลานาน และในบางรายอาจมีอาการหนักถึงขั้นที่ต้องได้รับการผ่าตัดเอาลูกตาออกในที่สุดแม้ว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาแล้วก็ตาม เนื่องจากสามารถกลับมามีเชื้อชนิดนี้ได้อีก

ดังนั้น การใส่คอนแทคเลนส์แล้วปฏิบัติตัวไม่ถูกวิธี มีสิทธิติดเชื้อจนตาบอดได้ ยิ่งเห่อใส่ตามแฟชั่น ยิ่งต้องควรระวังมากกว่าปกติ เพราะหากดูแลดวงตาและรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี อาจมีเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย หรือแค่ฝุ่นละอองปลิวเข้าตา ก็อาจพาเชื้อ อะแคนทะมีบา เข้าไปได้ด้วยเหมือนกัน ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาทำความสะอาดล้างเลนส์ แนะนำให้ใส่ชนิดรายวันแล้วทิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นใส่แว่นตาจะปลอดภัยกว่า เพื่อให้ดวงตาคู่สวยของคุณมองเห็นโลกสดใสและจะอยู่คู่ชีวิตคุณได้ตลอดไป.

วิธีป้องกันง่ายๆ หวัดพันธุ์ใหม่ 2009

หวัดพันธุ์ใหม่ 2009

สถานการณ์ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 นับวันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใหญ่ว่าแย่ๆ แล้วถ้าหากได้รับเชื้อเข้าไป ที่น่าห่วงยิ่งกว่าก็คือเด็กๆ ลูกหลานของเรา

ระยะเวลาหลายเดือนที่ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่เริ่มระบาด ศ.น.พ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เดินสายให้ความรู้ในการรับมือไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่มาตลอด เนื้อหาเป็นอย่างไร? คอลัมน์ "Mom Update Report" นิตยสาร "Real Parenting" ฉบับมิ.ย.เก็บความมาฝาก

ในสถานการณ์ระดับโลกเช่นนี้ นัยของการป้องกันที่จะได้ผลคือ ทุกฝ่ายและทุกคนต้องถือเป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อส่วนรวม นอกจากมาตรการรับมือของรัฐที่ต้องชัดเจน เอาจริงเอาจังในการใช้อำนาจรัฐควบคุมโรค เช่น การตรวจร่างกายด้วยเทอร์โมสแกน กักบริเวณผู้ติดเชื้อแล้ว ประชาชนก็ต้องตั้งรับอย่างรับผิดชอบต่อส่วนรวมเช่นกัน ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้

... ปิดปาก-ปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัย (mask) เมื่อลูกๆ หรือตัวผู้ปกครองเองเป็นหวัด เวลาไอ จาม แรงลมแต่ละครั้งนั้นมีความเร็วถึง 167 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเพียงช่วง 1 ใน 10 วินาทีขณะไอหรือจามนั้น ฝอยละอองที่ออกมาสามารถลอยไปได้ไกลถึง 5 เมตร ทางที่ดีที่สุด คุณหมอแนะนำว่า ควรไอหรือจามใส่แขนเสื้อตัวเอง จะเป็นการป้องกันละอองฝอยได้ดีกว่าใช้มือปิด เพราะมือเป็นแหล่งแพร่กระจายได้

... ล้างมือให้บ่อยที่สุด ด้วยน้ำเปล่าหรือแอลกอฮอล์เหลว และควรหลีกเลี่ยงแหล่งที่มีผู้คนมารวมกันมากๆ จำไว้ว่า ต้องกินร้อน-ช้อนกลาง-ล้างมือ

... สำหรับเด็กๆ กลุ่มที่ต้องระวัง คือเด็กวัยเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรเน้นให้ลูกป้องกันตัวเองด้วยวิธีดังกล่าว ส่วนเด็กเล็กที่มักอยู่บ้าน โอกาสเสี่ยงจะมาจากมีคนออกนอกบ้านและนำเชื้อเข้ามา ดังนั้นผู้ใหญ่จึงต้องเป็นผู้ป้องกันและระมัดระวังเป็นหลัก

...สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ คุณหมอไม่เห็นด้วยหากจะนำยาทามิฟลู หรือโอเซลทามิเวียร์ติดตัวไปด้วย เพราะอาจมีผลข้างเคียง ในทางปฏิบัติควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์

แต่วัคซีนนี้ไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ได้

เป็นคำแนะนำที่ทุกคนต้องไม่มองข้าม เพราะเราต้องรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน

ดีไซเนอร์ไทย !คนโปรดสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ :"]

เขาคือ ฐากูร พานิชกุล

ฐากูร พานิชกุล แจ้งเกิดเป็นที่รู้จักในฐานะดีไซเนอร์ดาวรุ่งของนิวยอร์กมาหลายซีซั่น เพราะเป็นขวัญใจ บก.แฟชั่น และนักวิจารณ์ใหญ่ แต่ชื่อเสียงของดีไซเนอร์เลือดไทย ฐากูร พานิชกุล วัย 34 เพิ่งจะมาโด่งดังไปทั่วโลก ก็ตอนที่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา “มิเชล โอบามา” เลือกสวมชุดเดรสผ้าไหมพิมพ์ลาย จากคอลเลกชั่นพรี-สปริง 2009 ของแบรนด์ Thakoon ขึ้นเวทีประชุมใหญ่พรรคเดโมแครต ในวันที่สามี “บารัก โอบามา” กล่าวตอบรับการเป็นตัวแทนพรรคลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว

มิเชล โอบาม่า สตรีหมายเลขหนึ่ง แฟชั่น ฐากูร

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ CoolYellLaughing

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

เทคนิคการทำข้อสอบ อ่านคิดวิเคราะห์ ( GAT ) อย่างเข้าใจง่าย

โจทย์จะกำหนดคำสั่งอย่างนี้มาเสมอ
คำสั่ง
อ่านบทความที่กำหนดให้ ( ในบทความมีข้อความที่พิมพ์ด้วยอักษรตัวเข้ม ) แล้วสรุปความเชื่อมโยงข้อความที่กำหลดแต่ละข้อความที่เหลือให้สอดคล้องกับเนื้อหาในบทความ และเป็นไปตามเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
1.ถ้าข้อความที่กำหนดมีข้อความอื่น ( ซึ่งอาจมีได้หลายข้อความ ) ที่ เป็นผลโดยตรง หรือ เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ให้เติมตัวเลขประจำของข้อความอื่นที่สัมพันธ์และตามด้วย
A
2.ถ้าข้อความที่กำหนดมีข้อความอื่น ( ซึ่งอาจมีได้หลายข้อความ )เป็นส่วนประกอบ / องค์ประกอบ / ความหมาย ให้เติมตัวเลขประจำของข้อความอื่นที่สัมพันธ์และตามด้วย D
3.ถ้าข้อความที่กำหนดส่งผลทำให้ข้อความอื่น (ซึ่งอาจมีได้หลายข้อความ ) ถูกลด/ยับยั้ง/ป้องกัน/ห้าม/ขัดขวาง/บั่นทอน ให้เติมตัวเลขประจำของข้อความอื่นที่สัมพันธ์และตามด้วย F
4.ถ้าข้อความที่กำหนด ไม่มีข้อความอื่นที่เป็นผลโดวยตรง หรือเกิดขึ้นในเวลาต่อมา ไม่มีข้อความใดมาเป็นส่วนประกอบ องค์ประกอบ ความหมาย สมาชิก ยับยั้ง ห้าม ขัดขวาง ดังกล่าวข้างต้น ให้เติม 99H

จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆในภาษาของผมนะครับ

----------------------ทำความเข้าใจง่ายๆเกี่ยวกับคำสั่งข้อที่1---------------------

คำสั่งข้อที่1 เนี่ยนะครับ หมายความว่า ถ้าข้อความที่กำหนดให้นั้น ได้เป็นเหตผลทำให้โดยตรง ทำให้เกิดอะไรขึ้นตามมาในเวลาต่อมา ได้เป็นเหตุให้เกิดผล พูดง่ายๆ ไป ทำไร ให้ใครบางคนเป็นไรอย่างเงี๊ยะ หรือ ไปทำอย่างนั้นมา แล้วผู้หญิงก็ท้องในเวลาต่อมาว่างั้นก็ได้ (ลามกอีกแล้ว -*-)
ยกตัวอย่าง Ex.1
บทความว่า นายดำ (1)ขี้เกียจอ่านหนังสือ นายดำจึง (2)เอนท์ไม่ติด

คำตอบ
ข้อ ข้อความที่กำหนด รหัสคำตอบ
1 ขี้เกียจอ่านหนังสือ 02A
2 เอนท์ไม่ติด 99H

เหตุที่ข้อ 1 ตอบ 02A เพราะว่า ข้อความที่ 1 เป็นเหตุให้เกิด ข้อความที่ 2 ซึ่งเป็นผลในเวลาต่อมานั่นเองครับ
เหตุที่ข้อ 2 ตอบ 99H เพราะว่า ข้อความที่ 2 ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดผลอะไรตามมา ข้อความที่2 เป็นเพียงแค่ผลอันสิ้นสุดของบทความนี้แล้ว

------------------ทำความเข้าใจง่ายๆเกี่ยวกับคำสั่งข้อที่2-----------------------

คำสั่งข้อที่2 เนี่ยเค้าหมายความว่า ถ้าข้อความความที่กำหนดให้นั้น มีข้อความอื่นมาเป็นองค์ประกอบ ส่วนประกอบ สมาชิก ของข้อความที่กำหนดให้ หรือ มีข้อความอื่นมาเป็น ความหมาย ของข้อความที่กำหนดให้ หรือข้อความที่กำหนดให้เป็นเซตที่มีสมาชิกอยู่ พูดง่ายๆคือ "แม่"มีลูก2คนชื่อ "กอล์ฟ ก่ะ ไมค์" หรือ ความหมายของ Bird ก็คือ นก ไรงี้อ่ะครับ

ยกตัวอย่าง Ex.2
บทความว่า ใน (1)สวนสัตว์ มี (2)หมีแพนด้า (3)หมู (4)ลิง

คำตอบ
ข้อ ข้อความที่กำหนด รหัสคำตอบ
1 "สวนสัตว์" 02D 03D 04D {ถ้ามีคำตอบมากกว่า1ให้เรียงเลขจากน้อยไปหามาก}
2 "หมีแพนด้า" 99H
3 "หมู" 99H
4 "ลิง" 99H

เหตุที่ข้อ1 ตอบ 02D 03D 04D เพราะว่า ข้อความที่1 มี ข้อความที่2,ข้อความที่3,ข้อความที่4 มาเป็นองค์ประกอบ,สมาชิก,ส่วนประกอบให้ข้อความที่กำหนดให้
เหตุที่ข้อ 2,3,4 ตอบ 99H เพราะว่า ข้อความที่2,3,4 เหล่านี้ " ไม่ได้ " มี ข้อความใดมาเป็นสมาชิก,องค์ประกอบให้ ข้อความเหล่านี้เป็นเพียงสมาชิก หรือตัวลูก เป็นแค่ข้อย่อยสุด เป็นแค่สมาชิกของเซต มิได้เป็นหัวข้อใหญ่ นั่นเอง


---------------------ทำความเข้าใจง่ายๆเกี่ยวกับคำสั่งข้อที่3------------------------

คราวนี้ในคำสั่งข้อที่ 3 นะครับหมายความว่า ข้อความที่กำหนดให้เนี่ย เป็นผู้กระทำ หรือส่งผลให้ "ยับยั้ง,บั่นทอน,ป้องกัน,ขัดขวาง ต่อข้อความอื่น อย่างเช่น " เขื่อน ป้องกัน น้ำท่วม " ไรงี้นะครับ

ยกตัวอย่าง Ex.3
บทความว่า (1)การสูบบุหรี่ บั่นทอน (2)สุขภาพร่างกาย ทำให้ตายไวนะจ๊ะ

คำตอบ
ข้อ ข้อความที่กำหนด รหัสคำตอบ
1 การสูบบุหรี่ 02F
2 สุขภาพร่างกาย
99H

เหตุที่ข้อ1 ตอบ 02F เพราะว่า ข้อความที่ 1 ได้เป็นผู้กระทำหรือส่งผลให้เกิดการ ยับยั้ง / ห้าม / บั่นทอน / ขัดขวาง ต่อ ข้อความที่ 2 สังเกตุจากคำว่า "บั่นทอน"
เหตุที่ข้อ2 ตอบ 99H เพราะว่า ข้อความที่2 ไม่ได้ กระหรือส่งผลให้เกิดการ ยับยั้ง บั่นทอน ขัดขวาง ข้อความใดๆ หรือ เป็นข้อความหรือเหตุการณ์สุดท้าย

-----------------ทำความเข้าใจง่ายๆเกี่ยวกับคำสั่งข้อที่4-----------------------

ในสั่งข้อที่4 นี้นะครับ มีลักษณะ ต่างจากค่ำสั่งข้ออื่นๆที่ผ่านมา คือ ข้อความที่กำหนดให้ไม่ได้เป็นเหตุ อาจเป็นแค่ผลก็ได้ ไม่ได้เป็นหัวข้อใหญ่ อาจเป็นหัวข้อย่อยสุดก็ได้หรือเป็นแค่องค์ประกอบของข้อความอื่นก็ได้ เป็นเหตุการณ์สุดท้าย ไม่ได้ไป ยับยั้ง ขัดขวาง ห้าม หรือบั่นทอน ข้อความใดๆ ** สังเกตุง่ายๆจากตัวอย่าง 1,2,3 ที่ตอบ 99H ***

ยกตัวอย่าง Ex.4
บทความว่า (1)นายดำและนายแดง เป็นสมาชิก (2)ห้อง15

คำตอบ
ข้อ ข้อความที่กำหนด รหัสคำตอบ
1 นายดำและนายแดง
99H
2 ห้อง15 01D

เหตุที่ข้อ1 ตอบ 99H เพราะว่า ข้อความที 1 ไม่ได้เป็นหัวข้อใหญ่หรือเซตแต่เป็นเพียงหัวข้อย่อยสุดหรือสมาชิกในเซต (ไม่เข้าใจดูข้อ2) ไม่ได้ไปยับยั้ง ขัดขวางข้อความใด ไม่ได้เป็นเหต ให้ข้อความอื่นใดมากเป็นผล เป็นข้อความหรือเหตุการณ์สุดท้าย
เหตุที่ข้อ2 ตอบ 01D เพราะว่า นายดำและนายแดงเป็นสมาชิกในห้อง15อ๊ะ


****ข้อควรจำ***

1. เวลาอ่านบทความเสร็จต้องเชื่อบทความ ถ้าบทความบอกว่าคนบินได้ก็ต้องเชื่อครับ อย่ายึดหลักความจริงนี่ไม่ใช่วิชาคณิตศาสตร์
2. จะใส่ตัวอักษรA,D,F ให้สังเกตุคำ ด้วย เช่น บั่นทอน ต่อมาได้เกิด ทำให้ ป้องกัน ขัดขวาง ประกอบด้วย ฯลฯ เน้น*** ต้องสังเกตุคำ
3. -?. xxA
ต้องเอาเลขประจำข้อความที่เป็นผลมา ตอบในข้อของ ข้อความที่ข้อเหตุ
-?. xxD
ต้องเอาเลขของข้อความที่เป็นองค์ประกอบ/สมาชิก/ตัวลูก มาตอบในข้อของ ข้อความที่เป็นตัวแม่/หัวข้อหลัก
-?. xxF
ต้องเอาเลขของข้อความที่เป็นข้อความที่ถูกกระทำ มาตอบในข้อของ ข้อความที่เป็นผู้กระทำ ผู้ยับยั้ง บั่นทอน
4. ข้อสอบที่เป็นบทความยาวๆ มักจะมีข้อความที่กำหนดให้ซ้ำอยู่หลายตำแหน่ง แต่โจทย์จะเน้นเป็นตัวหนาให้เพียงตำแหน่งแรกครั้งเดี่ยว สังเกตุดีๆอย่าอ่านข้าม
5. กรณีที่บางข้อมีคำตอบมากกว่าหนึ่งคำตอบให้เรียงจาก เลขน้อยไปหามาก เช่น 02A 04D 05F
6.โจทย์จริงจะไม่มีเลขหน้าข้อความที่กำหนดในบทความให้นะครับอันนั้นผมติ๊กไว้ให้เพื่อความชัดเจน เวลาทำจริงๆต้องดูเลขข้อจากตารางแล้วไปติ๊กในโจทย์เอาเอง ส่วนมากโจทย์จะเรียงเลขตั้งแต่1เป็นต้นไปให้ แต่ถ้าเจอโจทย์แบบยาวๆแล้วยังใจร้ายไม่เรียงเลขจาก1ให้ อย่างโจทย์ที่ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆให้ในข้อข้างล่างครับ




-------------------------------โจทย์ ง่ายๆ เรียกน้ำย่อย -------------------------------
เด๋วจะทำให้ดู

บทความตัวอย่าง : นักเรียนดี

นักเรียนดี เป็นอย่างไร หากจะกล่าวอย่างสั้นที่สุดก็คือนักเรียนดีจะต้องมีคุณสมบัติหรือองค์ประกอบอย่างน้อย 2 อย่างคือ เรียนเก่ง และ เป็น คนดี เหตุปัจจัยที่ส่งผลให้นักเรียนเป็นนักเรียนดีมีหลายอย่างเช่น พื้นฐานจิตใจนักเรียน คุณภาพการเรียนการสอน คุณภาพอาจารย์ผู้สอน คุณภาพสถานศึกษา สำหรับคุณภาพการเรียนการสอนนั้น นอกจากเรื่องห้องสมุด อาคารสถานที่ อุปกรณ์ สื่อการศึกษา ฯลฯ ยังขึ้นอยู่กับ คุณภาพอาจารย์ ด้วย นอกจากนี้ จะต้องรู้จักระวังหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง เช่น การคบเพื่อนเลว เพราะย่อมสามารถลดหรือบั่นทอนความเป็นคนดีได้โดยง่าย

แผนผังวิธีคิด

ตารางคำตอบ


ลองคิดดูนะครับว่าทำไมถึงตอบอย่างนี้


--------------------มาลองทำโจทย์ของจริงกันนะ------------------------------
โอยย ง่วง ชะมัด ถ้าพิมพ์ผิดก็ขอโทษด้วยจริง คนพิมพ์เบลอแล้ว ง่วงมากมาย

บทความที่1 : "ชิคุนกุนยา"ไวรัสสายพันธ์ใหม่แพร่จากยุงลาย

ระบาดอีกแล้ว!!! โรคที่มาพร้อมกับยุง...เมื่อบอกอย่างนี้หลายคนคงนึกถึงโรคไข้เลือดออก ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ไข้มาเลเรีย ที่มียุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค แต่ที่น่าตกใจเพราะตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้นแต่กลับมีโรคที่มีชื่อแปลกๆ ว่า "ชิคุนกุนยา" มาทำความรำคาญและแพร่ระบาดหนักอยู่ในภาคใต้ของประเทศเราอยู่
สถานการณ์ล่าสุด!!! หลังจากพบผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา ใน 2 จังหวัดภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาสและปัตตานี ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค เร่งส่งเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งทีมเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่และเฝ้าระวังโรคดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อหาทางยุติการแพร่ระบาทของโรคนี้
เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงยังไม่คุ้นหูกับโรคชิคุนกุนยา ไม่รู้ว่ามันเป็นโรคอะไร???? บ้างก็แตกตื่นว่าเป็นโรคสายพันธ์ใหม่ แต่จริงๆแล้วโรคนี้มีมานานแล้ว โดยถิ่นกำเนิดแรกของมันอยู่ทวีปแอฟริกา และแพร่ระบาดไปหลายประเทศๆ ทั่วโลก หนึ่งในนั้นก็รวมประเทศไทยของเราด้วยซึ่งตรวจพบโรคชิคุนกุนยาครั้งแรกพร้อมกับที่มีโรคไข้เลือดออกระบาดและเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย
น.พ.หม่อมหลวง สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ออกมาบอกถึงโรคดังกล่าวว่า"โรคชิคุนกุนยา"เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยามียุงลายเป็นพาหะนำโรค ส่วนใหญ่แล้วในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่ากับผู้ใหญ่ ซึ่งอาการที่เด่นชัดในผู้ใหญ่คือ อาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ อาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุ่นแรงถึงช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก ที่อาจพบ tourniquet test ให้ผลบวก และจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้
สาเหตุการติดต่อ!! โรคนี้ติดต่อกันได้โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื่อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุงและเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู้ต่อมน้ำลายเมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัดทำให้คนๆนั้นเกิดอาการของโรคได้
ระยะการฟักตัว!!! โดยทั่วไปจะมีการฟักตัวประมาณ 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยประมาณ 2-3 วัน ระยะติดต่อคือระยะไข้สูงประมาณวันที่ 2-4 ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก สำหรับอาการ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน ร่วมกับอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ ปวดศรีษะ ปวดกระบอกตา หรือมีเลือดออกตามผิวหนัง และอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดงที่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว
ดูแล้วเหมือนมันจะอาจจะไม่ค่อยรุนแรง เหมือนโรคไข้เลือดออกสักเท่าไหร่ แต่ถึงแม้จะไม่สามารคคร่าชีวิตของคนเราไปได้ แต่เราควรที่จะระมัดระวังเอาไว้ โดยเฉพาะลูกเด็กเล็กแดง ที่อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ง่าย อีกทั้งช่วงนี้มีฝนตกบ่อยทำให้มีน้ำขัง เหมาะแก่การเจริญเติบโตของยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคอีกด้วย
ส่วนวิธีป้องกัน!!! ถึงแม้ทุกวันนี้ยังไม่มียาหรือวัคซีนตัวใดที่ใช้รักษาได้โดยตรงทั้งโรคไข้เลือดออกและโรคชิคุนกันยา ดังนั้นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ถ้ามีไข้สูง ก็ให้ยาลดไข้ หรือลดอาการปวดข้อ และพักผ่อนให้เพียงพอก็สามารถบรรเทาอาการไปได้ แต่อย่างไรก็ตามการป้องกันการแพร่พันธ์ของยุงเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ สัปหาละ 1 ครั้ง จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดต้องหมั่นตรวจดูที่กักเก็บน้ำ ไม่ว่าจะเป็น บ่อ กะละมัง เพราะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่ จึงจำเป็นต้องมีฝาปิด ที่ใดจำเป็นต้องมีน้ำขังอยู่ก็ให้ใส่ทรายอะเบทลงไปเพื่อป้องกันการขางไข่ และ ควรเลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำธรรมชาติเพราะ
ปลาจะกินลูกน้ำเป็นอาหาร
แต่นอกเหนือจากการป้องกันการแพร่พันธ์ของยุงแล้ว ตัวเราเองก็ต้องป้องกันตัวเราไม่ให้ถูกยุงกัด ด้วย ควรติดมุ้งลวดภายในบ้าน หรือ ทายากันยุงขณะทำงานและออกนอกบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงกัดตอนกล่างวัน และที่สำคัญต้องเฝ้าสังเกตุคนในบ้านว่ามีไข้และอาการคล้ายกับโรคชิคุนกุนยา หรือไม่หากมีให้รีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน
ถึงแม้เวลานี้ โรคชิคุนกันยาจะเป็นโรคใหม่ที่มีชื่อไม่คุ้นหูนัก แต่หากปล่อยให้แพร่ระบาดไปสู่วงกว้างอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรฐกิจได้ ...วันนี้เพียงป้องกันยุงลาย นอกจากนี้จะป้องกันไข้เลือดออกแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคชิคุนกันยาได้ด้วย



2552/06/12

อัจฉริยะสร้างได้ วิทยาการใหม่ฝึกสมอง

"สมองของคนเรามีเซลล์สมองเท่ากับไอน์สไตน์ ดังนั้น ไอน์สไตน์ฉลาดได้เท่าไหน โดยทฤษฎีแล้วเราก็ฉลาดได้เท่านั้น"

ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" ที่เขียนโดย "
วนิษา เรซ" คนไทยเพียงคนเดียวที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำ "อัจฉริยภาพ" ว่า ความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติมาก

เป็นเหตุให้ใครหลายๆ คนคิดว่าการจะเป็นอัจฉริยภาพนั้นยากเกินกำลัง แต่ วนิษาบอกว่า คนทุกคนมีความเป็นอัจฉริยภาพอยู่ในตัวอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแค่ว่าจะหาเจอช้าหรือเร็วเท่านั้น

วนิษาเล่าให้ฟังว่า ในอดีตก่อนที่งานวิจัยทางสมองจะก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน คนมักมีความเชื่อว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใครเกิดมาด้วยไอคิวเท่าไร ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยไอคิวเท่านั้น ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงใดๆ

เมื่อเวลาผ่านไปนักวิจัยได้วิจัยสมองด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พบว่าสมองของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน แม้ในผู้สูงอายุยังมีการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าความฉลาดเป็นสิ่งตายตัวจึงกลายเป็นความคิดที่ล้าหลัง

จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพหลายท่าน ก็ได้คิดค้นทฤษฎีและวิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพสมอง และพัฒนาอัจฉริยภาพสำหรับบุคคล

วนิษาเล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่เลือกเรียนปริญญาโทด้านสมองว่า เริ่มจากเมื่อตอนที่เรียนปริญญาตรี เลือกเรียนด้านการศึกษาและครอบครัว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุกคนในโลกนี้ เรียนแล้วพบว่ามันสามารถใช้ได้จริงกับทุกคน พอจะต่อปริญญาโทจึงตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่า จะต้องเกี่ยวกับทุกคนในโลก และเกี่ยวข้องกับด้านการพัฒนาคน

สิ่งที่ตั้งโจทย์นำไปสู่คำว่า "สมอง" เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากสมอง และสมองเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคน

ที่สำคัญเธออยากรู้ว่าคนเราต้องทำอย่างไรถึงจะฉลาด เป็นอัจฉริยะได้โดยที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้แบบเดินทางสายกลางอย่างมีความสุข ไม่ต้องเรียนแบบหักโหม

พอศึกษาไปก็เจอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" ของ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทฤษฎีที่สอนด้านสมอง ที่ไม่ใช่การผ่าตัด แต่เป็นการเรียนรู้ว่า สมองคืออะไร สมองทำงานอย่างไร และรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรถึงจะใช้สมองได้อย่างคุ้มค่าและมีศักยภาพที่สุด


ซึ่งทั่วโลกมีเพียงที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ดแห่งเดียวที่สอนด้านสมองทฤษฎีพหุปัญญา เป็นทฤษฎีที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยทฤษฎีนี้ค้านกับความเชื่อเดิมที่บอกว่า อัจฉริยภาพมีเพียงด้านคณิตศาสตร์และภาษาเท่านั้น แต่ยืนยันว่า...

"อัจฉริยภาพของคนเรามีอย่างน้อย 8 ด้าน ประกอบด้วย ด้านภาษาและการสื่อสาร, ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว, ด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ, ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์, ด้านการเข้าใจตนเอง, ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น, ด้านการเข้าใจธรรมชาติ และด้านดนตรีและจังหวะ"



ถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่า อัจฉริยภาพสร้างได้จริงหรือ? และสามารถสร้างได้อย่างไร?



วนิษา บอกว่า คนเราสามารถสร้างความเป็นอัจฉริยภาพในตัวเองได้ เพราะความเป็นอัจฉริยภาพนั้นเกิดจากการมีเส้นใยสมอง ซึ่งสมองมีการสร้างเส้นใยสมองอยู่ตลอดเวลา และบวกกับการที่คนเรามีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้เพิ่มเติมได้

การพัฒนาความเป็นอัจฉริยภาพของเรานั้นอันดับแรกต้องดูว่าเราชอบอะไร ต้องการเป็นอัจฉริยะด้านไหน และต้นทุนในการพัฒนาสูงแค่ไหน แต่ความเป็นอัจฉริยะจะต้องเกิดจากการฝึกฝนด้วย ถ้าไม่ฝึกไม่ลองทำก็ไม่รู้ว่าเรามีอัจฉริยภาพด้านนั้นๆ อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น เราควรที่จะหาเวลาและพื้นที่ว่างในการทดสอบและฝึกฝนตัวเองให้เป็นอัจฉริยะ

"นั่นคือ ในการค้นหาอัจฉริยภาพในตัวเองนั้นจะต้องมีการทดลองทำ และฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ที่อยู่รอบตัวเราก่อน"




ส่วนคนที่มักบอกว่าหาตัวเองไม่เจอนั้น วนิษาบอกว่า คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่เคยหยุดคิดและฟังตัวเองว่าต้องการอะไร ชอบอะไร ซึ่งการสำรวจตัวเองตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ที่หมายถึงการกำหนดว่าจะเอาพลังที่เรามีอยู่ไปใช้ได้อย่างไรบ้าง และหากมีอัจฉริยภาพด้านนี้แล้วความเป็นอัจฉริยภาพด้านอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า

อย่างลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่ เป็นทั้งนักศิลปะและนักวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน เขามีความสามารถและพรสวรรค์ทั้งสองอย่างในตัวเอง และสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน และขณะเดียวกันก็ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งอื่นๆ ที่แตกต่างด้วย

วนิษา บอกว่า จากการที่เธอได้ทำการศึกษาเรื่องสมองอย่างจริงจังทำให้พบว่า คนในปัจจุบันขาดการดูแลสมองเป็นอย่างมาก ไม่สนใจและไม่บำรุงสมองเลย ที่สำคัญคนเราคิดว่าการดูแลสมองเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไปหาหมออย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการดูแลสมองนั้นไม่ยากเลยทำได้ง่ายๆ เพียงแค่การกินอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น พืชผัก ข้าวซ้อมมือ การดื่มน้ำมากๆ การออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งการพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งการฝึกกระบวนการคิดที่เป็นระบบ เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการดูแลสมองอย่างง่ายๆ

เรื่องการฝึกสมองให้เป็นระบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการฝึกด้านไหน ซึ่งฝึกได้หลายชนิดมาก เพราะทุกอย่างที่เราทำจะเกี่ยวข้องกับสมองหมดเลย จึงไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะฝึกสมองอย่างไรสมองถึงจะดี



คนเรามีความถนัดแตกต่างกัน สมองก็แตกต่างกันด้วย เช่น สมองของนักบัญชีก็ไม่เหมือนสมองของนักจัดสวน เนื่องจากสมองเป็นตัวรับรู้ เป็นตัวประมวลผล และสั่งให้เราทำ

ที่สำคัญสมองเป็นอวัยวะที่ยืดหยุ่นมากแล้วแต่ว่าเราจะทำอะไรกับสมอง เช่นการรู้จักจัดการสมองตนเองเมื่อเกิดความเครียด

"สมองของคนเราเมื่อมีความเครียดจะหลั่งสารคอร์ดิซอร์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้สมองไม่มีการคิด ทำให้คิดไม่ออก เป็นผลให้ข้อมูลต่างๆ ออกมาไม่ได้ เป็นสารเคมีเป็นพิษต่อสมอง แต่สารนี้จะสามารถสลายไปเมื่อมีสารเอ็นดอร์ฟิน เพราะสารเอ็นดอร์ฟินนี้เป็นสารที่มีความสุข เมื่อเราทำสิ่งที่ชอบจะมีการหลั่งสารนี้ออกมา ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ขณะเดียวกันความเครียดนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง ถ้ามีความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะสามารถบังคับตนเองให้ทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ"
วนิษาสรุป

ฉะนั้น ยิ่งค้นพบความเป็นอัจฉริยะเร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราเท่านั้น เพราะแม้จะมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่หากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องความเป็นอัจฉริยภาพก็มิอาจเปล่งประกายออกสู่สายตาผู้อื่นได้

4 ขั้นตอน การจัดตารางการอ่านหนังสือ')

1. เลือกเวลาที่เหมาะสม
เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาที่น้องต้องการจะอ่าน เวลาที่ว่างจากงานอื่น เวลาที่อยากจะอ่านหนังสือ หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะครับ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงครับ วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก

2. วางลำดับวิชาและเนื้อหา
ขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบนะครับ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน

3. ลงมือทำ
ยังไง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ การลงมือทำคือการลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนกับที่พี่เคยเขียนไว้ว่า อย่าฝากอนาคตของตัวเองไว้กับความขี้เกียจของวันนี้ บางคนลงมือทำ แต่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้นะครับ ขอให้นึกถึงชาวนาแล้วกัน ถ้าลงมือทำนาเริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ แล้วทิ้งค้างไว้แต่ไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ดูแลจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หรือทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว การทำนาก็จะไม่สำเร็จ เราก็จะไม่มีข้าวกิน ดังนั้น ขอให้น้องๆ “ทำอะไร ทำจริง” แล้วกันนะครับ ทำให้ได้จริงๆ

4. ตรวจสอบผลงาน
ผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ พี่ขอแนะนำว่า อ่านแล้วต้องจดบันทึกไว้ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่า เราอ่านไปถึงไหนแล้ว และอ่านไปได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นแหละ ทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ เก็บไว้อ่านตอนใกล้สอบ

อยากจะบอกว่าช่วงนี้ยังมีเวลาเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นที่ดี ยังไม่สายเกินไปหากคิดจะเริ่มอย่างจริงจัง อย่าอ่านเพียงแค่ได้เปิดหนังสือ อย่าโกหกตัวเองว่าได้อ่านแล้ว อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกคนอื่น ความรู้ไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ หลอกคนอื่นอาจหลอกได้ หลอกตัวเองไม่ได้แน่นอน คนที่รู้จักเรามากที่สุดก็คือ ตัวเราเองนี่แหละ ตั้งใจทำ ทำเพื่ออนาคตของตัวเอง

GAT - PAT


GAT PAT ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2553


เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้

องค์ประกอบในการยื่นคะแนนเข้ามาหาวิทยาลัย ปี 2553
ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย
1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %
2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %
3)
GAT 10-50 %
4)
PAT 0-40 %

รวม 100 %

**หมายเหตุ
1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้
2.
GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป
3.
PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ

  1. รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT
    1. เนื้อหา
    - การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%
    - การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%

    2. ลักษณะข้อสอบ
    GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
    - คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง
    - ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair
    - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
    - มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ

    3. สอบปีละหลายครั้ง
    - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
  2. รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT
    1. PAT มี 6 ชุด คือ
    PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์
    เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills

    PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์
    เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ

    PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์
    เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability

    PAT 4
    วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
    เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ

    PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์
    เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ

    PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์
    เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ


    "อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น
    PAT 7 และย่อยลงไปเป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก"ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง

    2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
    - คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง
    - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
    - มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

    3. การจัดสอบ จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง
    - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด


ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553


“สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่” ผอ.สทศ. กล่าว.

2552/06/09

พระราชวังแวร์ซายส์ *


พระราชวังแวร์ซายส์ วิมานบนดินของจักรพรรดิ
วิมานบนดินของจักรพรรดิ ที่สร้างขึ้นอย่างโอฬารที่สุด เป็นสถาปัตยกรรมที่วิจิตรพิสดาร โอ่อ่า และทรงคุณค่าสวยงามที่สุด จนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นหนึ่ง ซึ่งใครเป็นเห็นแล้วต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยากที่มนุษย์ธรรมดาจะได้" นั่นคือ พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส

แวร์ซายส์ เป็นชื่อเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส ซึ่งขนาดนั้นเป็นเมืองชั้นโทที่ห่างไกลความเจริญ มีป่าละเมาะหนาทึบ การเดินทางเต็มไปด้วยความทุรกันดารอย่างยิ่ง แต่....

ในระหว่างศตวรรษที่ 16 รัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส หลังจากที่กรุงปารีสได้รับการเสริมแต่งให้เป็นมหานครที่อุดมด้วยทรัพย์สมบัติ และความงามอันเลอล้ำยิ่งกว่านครใดในพิภพ แล้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ผู้ทรงโปรดการประพาสล่าสัตว์ไดเสด็จออกล่าสัตว์ที่ป่านอกเมืองแวร์ซายส์ประจำ และเพื่อให้มีที่พักถาวรจึงโปรดให้สร้างปะรำพลับพลา เพื่อการประทับส่วนพระองค์ในขณะออกประพาสล่าสัตว์ขึ้น ณ ป่านอกเมืองแวร์ซายส์

ปะรำพลับพลาหลังแรกถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1631 ต่อมา ความผูกพันระหว่างแวร์ซายส์กับราชวงศ์นั้นมีมากขึ้น ระหว่างปี ค.ศ. 1661-1681 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ต้องการให้ชาวโลกได้เห็นว่า ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และความเลอล้ำของโลกมารวมอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งหมด ได้มีการสั่งให้รื้อปะรำพลับพลาที่สร้างไว้ครั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ทิ้ง โปรดให้สร้างเป็นพระราชวังใหญ่ด้วยหินอ่อน และตกแต่งอย่างวิจิตรพิศดาร ด้วยสิ่งประดับที่หาค่ามิได้ ทั้งลวดลายแกะสลักในไม้และหิน เครื่องเคลือบ เครื่องเงิน เครื่องทอง หินอ่อน และงานฝีมือชั้นเยี่ยม โดยช่างชั้นครูที่ได้รับเลือกคัดเลือกมาเพื่อสรรค์สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ให้เป็นที่หนึ่งไม่มีสองของโลก สิ้นค่าก่อสร้างไปเป็นเงินถึง 500 ล้านฟรังค์

ทั่วโลกยกย่องว่า พระราชวังแวร์ซายส์ เป็นที่รวบรวมแห่งเอกลักษณ์แห่งศิลปกรรมของฝรั่งเศสที่เคยกระฉ่อนโลกทั้งมวล จนมีคำกล่าวว่า "คราใดใครได้เยือนแวร์ซายส์ ครานั้นเขาได้เห็นโลกอันศิวิไลซ์ที่แท้จริงแล้ว"
พระราชวังแวร์ซายส์ เป็นพระราชวังที่ประทับที่สมบูรณ์แบบ จัดห้องเป็นสัดส่วนอย่างสมพระเกียรติที่สุด และแต่ละห้องได้สร้างอย่างวิจิตรบรรจง ให้ความสอดคล้องกับเหตุการณ์ และนามของห้องอย่างยิ่ง

วิมานชั้นแรกของพระราชวงศ์แวร์ซายส์ คือ วัดน้อย เป็นโบสถ์ที่ประกอบพิธีทางศาสนาของพระมหากษัตริย์ ณ โบสถ์แห่งนี้พระราชโอรสธิดาเจ้าทั้งหลายได้รับการตั้งพระนาม และทำพิธีอภิเษกสมรด้วย โบสถ์นี้วิจิตรตระการตาด้วยลายสลักหินทั้งแท่ง สูงชะลูดขึ้นไปเป็นระเบียงชั้นบน เพดานวิจิตรด้วยรูปวาดเกี่ยวกับการสร้างสรรค์และเทพฟ้าดิน โออ่ายิ่งนัก

ต่อไปเป็น ห้องเฮอร์คิวลิส เป็นห้องหินอ่อนอิตาลีล้วน จัดเป็นพระอักษรที่ฬหญ่ที่สุดของตัวประสาทบน เพดานวิจิตรตระการตาด้วยภาพวาดเรื่องราวของเทพเจ้าเฮอร์คิวลิส ผู้ทรงพลังตามตำนานกรีก สถาปนิกผู้ออกแบบห้องนี้ คือ โรแบร์ เดอ คอท ห้องวีนัส เป็นห้องพักราชทูตที่เดินทางมาถวายพระราชสาส์นตราตั้งก่อนเข้าเฝ้า กำแพงห้องด้อนหนึ่งเจาะลึก มีรูปปั้นชุนทรงศึกอันภูมิฐาน แบบโรมันของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ตามประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่าโกษาปานราชทูตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ครั้งเดินทางไปถวายสาส์นแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้เข้าพักในห้องวันัสนี้ด้วย)

เพดานห้องวีนัสวิจิตรด้วยภาพเทพธิดาแห่งความงามและความรักล้ำเลิศเป็นที่น่าประทับใจนักห้องต่อไปเป็น ห้องไดอาน่า ห้องนี้ใช้เป็นห้องพักผ่อนในพิธีบิลเลียด ที่ผนังทั้งสองด้านดารดาษด้วย รูปเทพธิดาไดอาน่าประทับรถม้าหลวงออกล่าสัตว์ กล่าวกันว่านามเทพธิดาไดอาน่าเป็นนามเทพีแห่งการล่าสัตว์ห้องมาส์ เป็นห้องโถงใหญ่ ตกแต่งหรูหราด้วยภาพวาดและพรมถัก ใช้เป็นห้องคอนเสิร์ตส่วนพระองค์กับพระสหาย ตั้งนามเทพบุตรแห่งสงคราม
ห้องอพอลโล ตั้งนามเทพอพอลโล เจ้าแห่งแสงสุริยาและความปราดเปรื่อง จัดเป็นห้องทรงพระอักษรอันมโหฬารที่สุด
ห้องกระจกฮอล ออฟ มิเรอร์ ห้องนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของแวร์ซายส์ในรอบ 4 ศตวรรษ ออกแบบได้เลิศวิไล โดยสถาปนิกเอก มอนสาร์ท ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรกำกับการก่อสร้างเอง ทั้งห้องประกอบด้วยกระจกบานยักษ์ 17 บาน เมื่อเปิดออกแล้ว สวนแวร์ซายส์อันสวยสดงดงามดุจสวนสวรรค์จะปรากฏบนกระจกทั้งแถบของกำแพงด้านใน เป็นที่ตระการตาแก่ผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก

ห้องกระจกอันวิเศษสุดห้องนี้ ได้ใช้ต้อนรับแขกเมือง หรือจัดพิธีเลี้ยงรับรองคณะราชทูต เป็นเวลาถึง 300 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ห้องนี้ได้ใช้เซ็นสนธิสัญญาครั้งสำคัญถึง 2 ครั้ง คือ สนธิสัญญาตั้งอาณาจักรเยอรมัน และสนธิสัญญาแวร์ซายส์ "สงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1"

ห้องชุดส่วนตัวของพระราชินี อยู่อีกด้านหนึ่งของวัง ถูกแยกออกไปคนละส่วนกับพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์มีห้องต่างหาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่ว่าจะเป็นห้องฉลององค์,ห้องว่าราชการ,ห้องบรรทม,ห้องเสวย,ห้องงานเลี้ยงต่างๆ ความหรูหราของเครื่องตกแต่งห้องได้รับการเพิ่มเติมตกแต่งหรือดัดแปลงไปตามความโปรดปรานของเจ้านายแต่ละพระองค์ แต่ห้องราชการหลวงจะยังคงอยู่ตามความประสงค์ของรัชกาลเดิม เช่น ห้องโคโรเนชัน,ห้องประชุมองคมนตรี ฯลฯ

ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่ง สำหรับ ห้องชุดพระเจ้าหลุยส์ ได้ถูกสร้างไว้พิเศษม่ก มีประตูและบันไดลับที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ กล่าวกันว่า พระเจ้าหลุยส์ทุกพระองค์จะมีสนมคนละนับไม่ถ้วน สนมคนใดถูกพระทัยจะได้ทรัพย์สินเงินทอง หรอืตำหนักส่วนตัวในห้องลับส่วนพระองค์ เช่น ห้องชุดของมาดามคู บารี่ สนมคนโปรดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ซึ่งพระองค์ดัดแปลงของแกลเลอรีส่วนพระองค์ ให้เป็นตำหนักใหม่ของมาดามคนนี้ที่เดียว

กษัตริย์ฝรั่งเศสทุกพระองค์จะโปรดศิลปะและดนตรีเป็นจิตใจ ดังนั้นในตำหนักหลวงจึงสร้างขึ้นเป็นโรงละครโอเปร่า ประจำพระราชสำนัก โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 รับสั่งให้ กาเบรียล โอเปร่า สถาปนิกที่มีชื่อเสียงเป็นคนออกแบบสร้างขึ้น และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1769 เพื่อใช้สำหรบงานรื่นเริงในโอกาสวันอภิเสกสมรสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับดัชเชสมารี อังตัวเนต ใช้เวลาการตกแต่งใหม่ใช้เวลา 21 เดือน เสริมไม้สลักงดงามทั้งหลัง

อุทยานแวร์ซานส์ เป็นสวนยิ่งใหญ่งดงามที่สุด ที่รายล้อมพระราชวังแวร์ซายส์ สถาปนิกแต่งสวนระดับโลกชื่อ เลอโนทด์ ร่วมกับช่างใหญ่ผู้ออกแบบสร้างวังทั้งสองท่าน คือ เลอบรัง และมอนสาร์ท เริ่มตกแต่งอย่างสมบูรณ์แบบในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15

อุทยานแวร์ซานส์ เป็นอุทยานต้นตำรับแแบบฝรั่งเศสที่ทั่วโลกยอมรับ มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลถึง 14,820 เอเคอร์ ประกอบด้วยสระน้ำเล็กๆขึ้นไป จนถึงทะเลสาบจำลองขนาดใหญ่ พระเจ้าหลุยส์รับสั่งให้สร้างรูปปั้น รูปหล่อทองแดงของธรรมขชาติทุกสิ่งไว้ ตั้งแต่รูปสัตว์จนถึงรูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลายตามตำนานกรีกโบราณ เพื่อประกาศความเกรียงไกรของวัฒนธรรมฝรั่งเศส

เทคนิดการชลประทานแบบใหม่ในครั้งนั้นได้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก โดยขุดคลองต่อจากแม่น้ำเชนน์มาที่แวร์ซายส์ เพื่อใช้เครื่องปั้มน้ำพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุทั้วอุทยาน บรรดาพฤษชาติได้นำมาปลูกทดลองในอุทยาน โดยแยกพันธุ์ให้เข้ากับฤดูการที่ผันแปรไป มีผู้กล่าวกันว่า บรรยากาศโดยรอบพระราชวังแวร์ซายส์นั้น ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อนหรือฤดูหนาว ดูเหมือนจะถูกกำหนดให้เข้ากับอุทยานอย่างน่าอัศจรรย์ ตามประวัติศาสตร์ บันทึกเหตุการณ์อันสยดสยองไว้เกี่ยวกับพระราชวังแวร์ซายส์ว่า

เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์อันล้ำเลิศและมหัศจรรย์ที่สุดในโลกนี้ ได้มาจากภาษีอากรชาวฝรั่งเศส หัวอกชาวฝรั่งเศสทุกคนคุมแค้น ในความฟุ้งเฟ้อของกษัตริย์ยุคนั้นเป็นอย่างมาก และ วันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1789 ประชาชนผู้ยากไร้ ซึงมีหัวใจเต็มไปด้วยความคั่งแค้น ก็ยกกองทัพเฮโลกันเข้ายึดพระราชวังแวร์ซายส์ บังคับให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พร้อมด้วยราชวงศ์เดินทางกลับกรุงปารีส และจับส่งเข้าควบคุมตัวในเรื่อนจำ จนกระทั่งที่สุดถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน พร้อมกับนางมาลีอังตัวเนต นี้คือประวัติให้ของชาติฝรั่งเศส และจุดจบของวังจักรพรรดิที่ครั้งหนึ่งได้รับว่าเป็นนครหลวงแห่งใหม่ของฝรั่งเศสเป็นเวลา 100 ปีเต็ม

ปัจจุบัน พระราชวังแวร์ซายส์ยังทรงความสวยงามเลิศล้ำ เป็นสถานที่รับแขกเมือง ที่ประชุมสำคัญ โดยเฉพาะ จัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกยุคปัจจุบัน ที่ชาวโลกทั้งมวลต่างกล่าวขวัญถึงว่า เลิศล้ำยิ่งใหญ่ที่สุด สมกับเป็นวิมานบนดินของจักรพรรดิจริงๆ

2552/06/04

"ดีไซเนอร์"

แห่เปิดหลักสูตรออกแบบแฟชั่น เอาใจวัยมันฝันเป็น"ดีไซเนอร์"

'แห่เปิดหลักสูตรออกแบบแฟชั่น

ความแรงของ "โครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น" ไม่เพียงปลุกกระแสให้วงการแฟชั่นเมืองไทยตื่นตัวเท่านั้น หากยังปลุกวิญญาณคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจด้านแฟชั่นมากขึ้นอีกด้วย กระแสแรงถึงขนาด "มหาวิทยาลัยศิลปากร" ลงทุนเปิดหลักสูตรใหม่!! "ภาควิชาออกแบบเครื่องแต่งกาย" เพื่อรองรับกระแสวัยมันที่ฝันอยากเป็น "ดีไซเนอร์"

สำหรับที่มาที่ไปของภาควิชาที่ตั้งขึ้นตาม "กระแส" นี้ อ.อนุชา โสภาคย์วิจิตร์ หัวหน้าภาควิชาออกแบบเครื่องแต่งกาย คณะมัฑณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าว่า ภาควิชาออกแบบเครื่องแต่งกาย เป็นภาควิชาน้องใหม่ล่าสุด รับเฉพาะนักศึกษาที่จบการศึกษาระดับ ปวส. หรือมีประสบการณ์ทำงานด้านแฟชั่นมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี ขณะนี้เปิดสอนนักศึกษารุ่นที่ 1 จำนวน 24 คน

"ก่อนจะเปิดภาควิชาออกแบบเครื่องแต่งกาย วิชานี้เคยเป็นหนึ่งในวิชาเลือกของภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์ คณะมัณฑศิลป์ ซึ่งได้ปิดตัวลงไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากไม่ได้รับความสนใจจากนักศึกษา แต่หลังจากเกิดโครงการกรุงเทพฯเมืองแฟชั่น วิชานี้ก็กลับมาได้รับความนิยมจากเหล่านักศึกษาอีกครั้ง และมากถึงขนาดต้องเปิดเป็นหลักสูตรสอนกันอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อสนองความต้องการของนักศึกษาที่อยากเรียนด้านแฟชั่นโดยเฉพาะ และไม่เพียงเฉพาะ ม.ศิลปากรเท่านั้นที่เปิดสอนหลักสูตรนี้ ยังมีอีกหลากหลายมหาวิทยาลัยที่สอนด้านนี้เหมือนกัน อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.ธรรมศาสตร์, ม.เกษตรศาสตร์, ม.รังสิต ซึ่งหลักสูตรนี้ส่วนใหญ่เปิดสอนในคณะศิลปกรรม"

แม้จะเป็นภาควิชาที่เปิดขึ้นตาม "กระแส" แต่เพื่อให้สมน้ำสมเนื้อกับการลงทุน ทางมหาวิทยาลัยจึงเขียนหลักสูตรชนิดเข้มข้น โดยดูตัวอย่างหลักสูตรจากสถาบันสอนแฟชั่นชื่อดัง อาทิ มารอนโกนี่ ประเทศอิตาลี, เซนต์มาร์ติน ประเทศอังกฤษ
"การเรียนการสอนจะเน้นไอเดียสร้างสรรค์ การออกแบบเสื้อผ้าที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ส่วนเหตุผลที่มหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตร 2 ปี เพราะขณะนี้เนื้อที่ด้านการเรียนการสอนจำกัด แต่มีโครงการเปิดหลักสูตร 4 ปี แน่นอน"

แม้จะเปิดสอนได้แค่ปีเดียว แต่นักศึกษารุ่นแรกก็สร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยแล้ว เมื่อมีผลงานออกไป "โชว์" ในงานบางกอกแฟชั่น วีค ที่ผ่านมา และได้รับความสนใจจากผู้เข้าชม ยิ่งไปกว่านั้นผลงานออกแบบแฟชั่นคอลเลคชั่น "What"s Next?" นี้ ยังได้รับการความสนใจจากอเมริกาถึงขั้นขอนำไป "โชว์" ที่โน่นด้วย

เมื่อผลงานได้รับความ "สนใจ" ขนาดนี้ นักศึกษารุ่นบุกเบิก "โน๊ต" พีระเดช รุ่งเรืองบรรเจิด วัย 21 ปี เล่าว่า เป็นผลงานที่ภูมิใจมาก เพราะพึ่งเรียนได้แค่ปีเดียว และใช้เวลาทำเพียง 2 วัน แต่ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานจนเป็นที่ชื่นชมจากคนภายนอก เป็นกำลังใจดีดีที่ทำให้ต้องตั้งใจเรียน เพื่อจะสร้างผลงานออกมาให้ดียิ่งขึ้น

"ต้องขอบคุณกระแสที่ทำให้เด็ก ปวส.อย่างโน๊ตได้เรียนในสิ่งที่รัก ซึ่งพอมาเรียนแล้วรู้เลยว่าวิชาแฟชั่นไม่ใช่แค่เรียนเย็บผ้าแล้วจบออกมาทำงานได้ แต่ต้องรู้ลึกลงไปถึงประวัติศาสตร์แฟชั่นแต่ละยุค มีความรู้เรื่องเทรนด์แฟชั่น ซึ่งทำให้ต้องอัพเดตตัวเองตลอดเวลา รวมทั้งรู้ด้านอุตสาหกรรมในวงการเสื้อผ้า เป็นวิชาที่ต้องใช้ความพยายามและตั้งใจเรียนมาก"
นอกจากจะเป็นวิชาที่ไม่หมูแล้ว "เอ๋" กัลยาณี แช่มสะอาด วัย 31 ปี ยังบอกว่า เป็นวิชาที่มีการบ้านเยอะมาก แต่ไม่ท้อ เพราะอาจารย์ที่มาถ่ายทอดวิชาให้หลายท่านเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับในวงการแฟชั่นไทย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์จากห้องเสื้อพิจิตรา

"แม้เป็นรุ่นแรกของภาควิชาแต่มั่นใจในตัวในมหาวิทยาลัย เพราะที่นี่จะมีการวัดผลทั้งตัวอาจารย์และศิษย์เพื่อหาจุดบกพร่องและนำไปแก้ไขให้ดีขึ้น จึงเชื่อว่าวิชานี้จะไม่เป็นวิชาที่เปิดสอนตามกระแส และจะหายไปเมื่อกระแสหมด หากจะเป็นภาควิชาที่อยู่คู่ศิลปากรไปอีกนาน สำหรับใครที่อยากเรียนวิชานี้ต้องรัก ถ้าไม่รักจะเรียนไม่ได้เลย เนื่องจากเป็นวิชาที่ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เพราะคุณสมบัติของคนที่จะเป็นดีไซเนอร์ที่ดีได้ต้องมีแนวเป็นของตัวเอง"

เป็นการ "ตาม" กระแส ที่สร้างสรรค์ไม่น้อย เพราะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ "อนาคตของชาติ" โดยตรง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่อนาคตของชาติล่ะว่าจะ "ตักตวง" วิชาความรู้ได้มาก-น้อยแค่ไหน