2552/08/17

ทำบุญอะไรจึงได้ไปสวรรค์ในแต่ละชั้น ?

*สวรรค์ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียดสวรรค์อันเป็นทิพย์ ที่มีรัศมีสว่างไสวรอบกายตลอดเวลา มีทั้งหมด 6ชั้น
เหตุที่ทำให้มาเกิดเป็นเทวดา เพราะได้สร้างบุญกุศลไว้เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่ออุบัติขึ้นก็ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มสาวทันที งดงามตลอดเวลา จนกว่าจะถึงเวลาจุติ ไม่มีความแก่บังเกิดขึ้นเหมือนในเมืองมนุษย์
วิมานปราสาท คือ ที่อยู่อาศัยของเทวดา ล้วนมีความวิจิตรงดงาม มีขนาดแตกต่างกัน มีความเป็นอยู่สะดวกสบาย มีอาหารทิพย์บังเกิดขึ้น มีบริวารคอยรับใช้ใกล้ชิด เสื้อผ้าเป็นทิพย์ วิจิตรงดงาม บังเกิดขึ้นให้สวมใส่ กิจกรรมแต่ละวันก็มีการเที่ยวเพลิดเพลินบันเทิงอยู่กับการชมสวน
การสังสรรค์กันระหว่างทวยเทพทั้งหลาย ส่วนจะอุบัติขึ้น ณ สวรรค์ชั้นไหน เป็น เทวดาประเภทใด และอยู่ในฐานะอะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ตัวเองสั่งสมมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ซึ่งได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่37 เรื่อง ทานสูตร สรุปย่อได้ดังนี้
สวรรค์ ชั้น จาตุมหาราชิกา
เกิดบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีจากหลายสาเหตุ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญไม่ค่อยเป็นไม่รู้หลักการทำบุญ และไม่ค่อยได้สั่งสมบุญ นานๆทำครั้งหนึ่ง เมื่อทำก็ทำน้อย หรือทำบุญเอาคุณ บุญที่ได้ก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่สมบูรณ์ บาปในตัวก็มีอยู่ แต่ว่าบุญมากกว่า เมื่อละโลกใจนึกถึงบุญก่อนก็ไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ ณ เชิงเขาสิเนรุ
สวรรค์ชั้นนี้จะมีความหลากหลายมากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิดกับพื้นมนุษย์มากกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ และมีบางส่วนที่มีที่อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ ที่ได้ชื่อ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพราะมีเทพผู้เป็นใหญ่ครองสวรรค์ชั้นนี้อยู่ 4ท่าน คือ
ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์
สวรรค์ ชั้น ดาวดึงส์
เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่ควรทำกระทำแล้วก็สั่งสมบุญ สั่งสมเทวธรรม มีหิริโอตตัปปะด้วย เมื่อละโลกก็จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาสิเนรุ ที่ชื่อว่า ดาวดึงส์ เพราะเป็นที่อยู่ของเทพผู้ปกครองภพถึง 33องค์ โดยมี ท้าวสักกเทวราช หรือ พระอินทร์ เป็นประธาน และที่สำคัญมี พระธาตุจุฬามณี ซึ่งทุกวันพระเทวดาจะมาประชุมกันที่สุธรรมาเทวสภา เพื่อรับฟังโอวาทจากท้าวสักกะ
สวรรค์ ชั้น ยามา
เกิดบนสวรรค์ชั้นยามา คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญเพราะอยากจะสืบทอด และรักษาประเพณีแห่งความดีงามนั้นไว้ ทำนองว่าวงศ์ตระกูลสร้างสมความดีมาอย่างไร ก็อยากจะรักษาประเพณีไว้ หรือผู้หลักผู้ใหญ่สอนอย่างไร บรรพบุรุษทำมาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ทำกันไปตามธรรมเนียม เช่น เห็นปู่ย่าสร้างโบสถ์ บำรุงวัด สร้างพระประธาน ก็ทำตามนั้นด้วย หรือพระภิกษุที่รักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระต้องมีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เมื่อละโลกแล้ว ส่วนใหญ่จะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป
สวรรค์ ชั้น ดุสิต
เกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต หรือในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาเรียกกันว่า ดุสิตบุรี คือ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ทำบุญเพื่อปรารถนาสงเคราะห์โลก ปรารถนาให้ชาวโลกมีความสุข มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อตนเองอย่างเดียว แต่เพื่อสงเคราะห์โลก เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย เมื่อละโลกแล้วก็จะไปสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงถัดจากสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไป
สวรรค์ ชั้น นิมมานรดี
เกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เห็นผู้อื่นทำบุญแล้วได้รับการยกย่องส่งเสริม จึงอยากจะทำบุญนั้นบ้าง อยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เมื่อละโลกแล้วจะไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไป
สวรรค์ ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี
เกิดบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี คือ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ทำบุญด้วยความเลื่อมใส เคารพในทาน ทำแล้วมีความรู้สึกปลื้มใจ ในบุญที่ทำนั้น เมื่อละโลกแล้วจะบังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้ ซึ่งตั้งอยู่สูงจากสวรรค์ชั้นนิมมานรดีขึ้นไป
ความเป็นอยู่ของสวรรค์แต่ละชั้น
ความเป็นอยู่ของชาวสวรรค์แต่ละชั้น จะมีความประณีตยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับชั้น ถ้าใครทำบุญมามาก จนครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ปรารถนาจะไปอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถจะไปสวรรค์ชั้นที่ต้องการได้ เหตุแห่งการกระทำที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสาเหตุหลักๆ เป็นภาพรวมของการทำบุญที่ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ในแต่ละชั้น แต่อาจจะมีองค์ประกอบและปัจจัยอย่างอื่นเสริมอีกด้วย

สวรรค์ 6 ชั้น

สวรรค์ หรือวิมานของเทพยดามี ๖ ชั้น เรียกว่า ฉกามาพจร

๑. สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นต่ำสุด ตั้งอยู่เหนือจอมเขายุคันธร ซึ่งเป็นภูเขาที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อยู่สูงกว่าแผ่นดินขึ้นไปเบื้องบน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ วา คิดเป็นโยชน์ได้ ๔๖,๐๐๐ โยชน์ มีเมือง ๔ เมือง มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ ๔๐๐,๐๐๐ วา กำแพงล้อมรอบประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ สูง ๘,๐๐๐ วา บานประตูทำด้วยแก้ว มีปราสาททองอยู่เหนือประตูทุกด้าน แผ่นดินเป็นแผ่นดินทองคำ แวววาวงดงาม ราบเรียบเหมือนหน้ากลอง เหมือนปูด้วยผ้า แก้วที่ประดับพื้นนั้นถ้าเหยียบลงไปก็อ่อนนุ่มยุบลงเล็กน้อย แล้วก็เต็มขึ้นมาเหมือนเดิม ไม่ปรากฏรอยเท้าที่เหยียบ น้ำใสยิ่งกว่าแก้ว มีดอกบัว ๕ ชนิดบานสะพรั่ง น้ำมีกลิ่นหอมราวกับอบไว้ มีดอกไม้ต้นไม้งามเลิศ มีผลไม้รสอร่อยตลอดปี

เทพยดา ในสวรรค์ชั้นนี้มีอาหารทิพย์ อาหารแห้ง หายเข้าสู่ร่างกาย ไม่มีกากมูลอุจจาระ ปัสสาวะ ไม่เจ็บป่วย อยู่กับครอบครัวลูกเมียเป็นสุขสบาย เทพยดานั้นจะย่อตัวขยายตัวได้ตลอด รูปโฉมโนมพรรณจะสดใสเป็นหนุ่มสาวอยู่ราว ๑๖ ปีตลอด ร่างกายบริสุทธิ์สะอาดหอมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากมลทินใดใด

จาตุมหา ราชิกา มีเทพยดาผู้เป็นใหญ่ คือ พระยาจตุโลกบาล ปกครองเหล่าเทพยดา ครุฑ นาค และยักษ์ทั้งหลาย คือ ท้าวธตรฐ ทิศตะวันออก ท้าววิรูปักข์ ทิศตะวันตก ท้าววิรุฬหก ทิศใต้ ท้าวไพรศรพณ์ ทิศหนือ

ผู้เกิดเป็นเทพยดาได้ ต้องกระทำบุญไว้มากพอ

๒. สวรรค์ชั้นดาวดึงษา เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่เหนือจาตุมหาราชิกาขึ้นไปอีก ๓๓๖,๐๐๐,๐๐๐ วา อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เป็นที่อยู่ของพระอินทร์ สวรรค์ชั้นนี้ มีอาณาเขตกว้าง ๘,๐๐๐,๐๐๐ วา มีเมืองชื่อไตรตรึงษ์ มีประตู ๑,๐๐๐ ประตู มีกำแพงแก้วล้อมเมือง ทุกประตูมียอดปราสาทแก้วงดงามวิจิตรพิสดารเวลาเปิดปิดประตู จะมีเสียงดังไพเราะราวกับดนตรี

กลางนครไตรตรึงษ์ มีไพชยนต์ปราสาท สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา งดงามด้วยแก้ว ๙ ประการ เป็นที่ประทับของพระอินทร์

ทิศ ตะวันออก มีสวนทิพย์ ชื่อ นิภาวัน มีอาณาเขต ๘๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีปราสาทแก้วเหนือประตูทุกประตู มีอุทยาน ซึ่งมีสมบัติทิพย์ ต้นโสออกดอกมาก มีสระใหญ่ชื่อ นันทาโบกขรณีน้ำใสเหมือนแก้วอิภานิล (สีฟ้าเข้ม) มีแท่นแก้ว ๒ แท่น ชื่อ นันทปริฐิปาสาณ และ จุลนันทาปริฐิปาสาณ แผ่นหินแก้วมีรัศมีรุ่งเรือง เวลาจับต้องจะนุ่มราวกับแผ่นหนังเหน

ทิศใต้ มีอุทยาน ผารุสกวัน (ปารุสกวัน) อาณาเขต ๕,๖๐๐,๐๐๐ วา มีกำแพงแก้วและปราสาทเหนือประตู มีสระใหญ่ชื่อ ภัทรโบกขรณี สุภัทราโบกขรณี ริมฝั่งสระมีหินแก้ว ๒ ก้อน ชื่อเดียวกับสระ หินอ่อนนุ่ม

ทิศตะวันตก มีอุทยานจิตรลดา อาณาเขต ๔๐๐,๐๐๐ วา มีสระ จิตรลดาโบกขรณี และ จุลจิตรลดาโบกขรณี มีแผ่นหินแก้ว ชื่อ จิตรปาสาณ

ทิศ เหนือ มีอุทยานใหญ่มิสกวัน ต้นไม้ดอกไม้งดงามราวกับตกแต่งไว้ มีกำแพงแก้วและยอดปราสาททุกประตู อาณาเขต ๔๐,๐๐๐ วา มีสาระใหญ่ชื่อ ธรรมาโบกขรณี และ สุธรรมาโบกขรณี แผ่นดินแก้วชื่อ ธรรมาปริฐิปาสาณ และ สุธรรมาปริฐิปาสาณ

ทิศตะวันออก มีสวนใหญ่ ชื่อ มหาพน กำแพงล้อมรอบเป็นทองคำ มีปราสาทแก้วเหนือประตู อาณาเขต ๖๐๐,๐๐๐ วา มีปราสาททองคำ สวนมหาวัน สวนนันทวัน มีแท่นแก้ว กลดแก้วกางเหนือแท่นมีรถไพชยนต์ มีม้าแก้วเทียมรถทองคำ มีสร้อยมุกดาประดับพร้อมมาลัยดอกไม้ทิพย์ เวลาลมพัดได้ยินเสียงราวฆ้องกลองแตรสังข์ที่เทวดาบรรเลงในชั้นฟ้า

ที่ เขาพระสุเมรุ มีช้างทรงของพระอินทร์ ชื่อช้างเอราวัณ สูง ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา มีเศียร ๓๓ เศียร เมื่อเวลาพระอินทร์จะประทับ ช้างจะเนรมิตกายสูงใหญ่ บนเศียรมีวิมาน มีปราสาท มีอุทยาน มีนางฟ้าร่ายรำ ช้าง ๓๓ เศียร มีงา ๒๓๑ งา สระ ๑,๖๑๗ สระ กอบัว ๑๑,๓๑๙ กอ ดอกบัว ๗๙,๒๓๓ ดอก ๕๕๔,๖๓๑ กลีบ นางฟ้าร่ายรำ ๓,๘๘๒,๔๑๗ นาง บริวารอีก ๒๗,๑๗๖,๙๑๙ นาง

ในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์นี้ยังมีคำอธิบายความงามมหัศจรรย์พันลึกมาก เช่น มีสระ มีพระจุฬามณีเจดีย์ มีต้นปาริชาต (ดอกทองหลาง) ๑๐๐ ปี ดอกจึงจะบาน ดอกที่บานมีแสงสว่างรุ่งเรืองแผ่รัศมีไปไกลถึง ๘๐๐,๐๐๐ วา

๓. สวรรค์ชั้นยามา สูงขึ้นไปจากดาวดึงส์ ๖๗๐,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีอุทยานแก้ว สระโบกขรณี เทวดาในชั้นนี้มีหน้าตารุ่งเรือง กายสูง ๘,๐๐๐ วา ผู้เป็นใหญ่คือ ท้าวสยามเทวราช ไม่มีแสงอาทิตย์เพราะอยู่สูงมาก เทวดามองเห็นสรรพสิ่งได้ด้วยแสงรัศมีจากแก้วทั้งหลาย และรัศมีกายของเทวดาเอง จะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ ดูได้จากดอกไม้ทิพย์ ถ้าเห็นดอกไม้บาน คือรุ่งเช้า ถ้าหุบเป็นเวลากลางคืน อายุเทพยดาในชั้นฟ้านี้ยืนถึง ๒๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๑๔๔,๐๐๐,๐๐๐ ในเมืองมนุษย์

๔. สวรรค์ชั้นดุสิต สูงขึ้นไปจากยามา ๑,๓๔๔,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์ มีปราสาทแก้ว ปราสาททองเป็นวิมาน กำแพงแก้วล้อมรอบ มีความกว้างและสูงกว่าในสวรรค์ชั้นยามา มีสระ สวนสนุกยิ่งใหญ่งดงามรื่นรมย์เหมือนสวร
โดย: [0 3] ( IP )

ความคิดเห็นที่ 1
รค์ ชั้นอื่นๆ ผู้เป็นใหญ่ชื่อ พระสันดุสิตเทพยราช เทพยดาในชั้นนี้ รู้บุญ รู้ธรรม พระโพธิสัตว์ก่อนเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้าก็สถิตสร้างสมบารมีในชั้นฟ้านี้ อายุเทวดาในชั้นนี้ ยืน ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือ ๕๗๖,๐๐๐,๐๐๐ ปีเมืองมนุษย์

๕. สวรรค์ชั้นนิมมานนรดี สูงขึ้นไปอีก ๒,๖๘๘,๐๐๐,๐๐๐ วา หรือ ๓๓๖,๐๐๐ โยชน์ มีสิ่งอำนวยความสุขเหมือนทุกชั้น มีความงดงามยิ่งขึ้นไปอีก เทพยดาในชั้นนี้มีความสุขสมบูรณ์มาก ปรารถนาสิ่งใดจะเนรมิตได้ตามความพอใจ

๖. สวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวัตตี เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด ประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าชั้นฟ้าทั้งหลาย หากปรารถนาสิ่งใด เช่น อาหารทิพย์ ก็จะมีเทพยดาองค์อื่นคอยเนรมิตให้ทุกประการ สวรรค์ชั้นนี้ มีผู้เป็นใหญ่ ๒ องค์ คือ ปรนิมิตวสวัตตีเทวราช เป็นใหญ่ฝ่ายเทพยดา และพระยามาราธิราชเป็นใหญ่ฝ่ายมาร

การสิ้นชีวิตของเทพยดา มี ๔ อย่าง

๑. อายุขัย ได้แก่ สิ้นชีวิตตามอายุในชั้นฟ้านั้น

๒. บุญญขัย สิ้นบุญก่อนถึงกำหนดอายุขัยในชั้นฟ้านั้น

๓. อาหารขัย สิ้นชีวิตเพราะสนุกจนลืมกินอาหาร

๔. โกธาพละ สิ้นชีวิตเพราะความโกรธ ซึ่งหัวใจจะกลายเป็นไฟไหม้ตนเอง

ก่อนเทพยดาจะจุติ (สิ้นชีวิต) จะมีนิมิต ๕ ประการ คือ

๑. เห็นดอกไม้ในวิมานของตนเหี่ยวและไม่หอม

๒. ผ้าทรงดูหม่นหมอง

๓. อยู่ไม่มีความสุข มีเหงื่อไคลไหลจากรักแร้

๔. อาสนะร้อนและแข็งกระด้าง

๕. กายของเทพยดานั้นเหี่ยวแห้ง เศร้าหมอง ไม่มีรัศมี

เรื่อง สวรรค์เป็นเรื่องของความเชื่อ ซึ่งคนโบราณมุ่งจะปลูกฝังสั่งสอนให้คนประพฤติดี ประพฤติชอบ ไม่กระทำบาป คือ ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เพื่อให้ได้เป็นเทวดาเสวยสุขสมบัติ

ภาพ ณ ขุมนรก

สะพานนรกคน ที่ก่อกรรมทำบาปและหลังจากตายแล้ว ดวงวิญญาณส่วนใหญ่จะต้องมาเดินผ่านสะพานแห่งนี้ นักการยมบาลจะตีขับให้ตกลงไปเป็นเหยื่อของฝูงงูพิษที่อยู่ในเหวลึกใต้สะพาน


ขุมนรกควักลูกตานักการยมบาลกำลังทรมานคนจำพวกที่ใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น กับพวกที่ชอบดูภาพลามก

ขุมนรกห้อยหัวลง( สังฆาฎมหานรกที่3 ) นักการยมบาลกำลังลงโทษทรมาน ดวงวิญญาณจากคนที่ดูถูกให้ร้ายผู้เป็นครูอาจารย์ กับพวกอกตัญญูเนรคุณ และพวกที่ประพฤติผิดศิลธรรมประเพณีความสัมพันธ์ภายในครอบครัว.

ขุมนรกน้ำร้อนรวกมือ(โรรุวมหานรกที่4) นักการยมบาลกำลังทรมานดวงวิญญาณจำพวกนักล้วงกระเป๋า ฉกชิงวิ่งราว ลักขโมยและพวกที่หลอกลวง.

ขุมนรกผึ้งพิษฝูง ผึ้งพิษกำลังรุมต่อยร่างวิญญาณจากคนจำพวกที่แอบอ้างชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป หลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทองของผู้บริสุทธิ์ กับพวกที่เบียดบังเอาเงินของศาสนาไปใช้ส่วนตัว และพวกหมอดูที่หลอกรับจ้างทำพิธีสะเดาะเคราะห์โดยมิชอบ.

ด่านยมโลกระหว่าง เดือนสิงหาคมกับเดือนกันยายนของทุกปี ทางการยมโลกจะปล่อยพวกผีวิญญาณที่ต้องโทษสถานเบากับพวกที่จะพ้นโทษแล้ว ให้ออกมารับแจกทานและส่วนบุญกุศลที่โลกมนุษย์.

ขุมนรกตัดเครื่องเพศให้หนูกัดแผลนักยมบาลกำลังตัดเครื่องเพศพวกวิญญาณบาป จากคนจำพวกที่มักมากในกามารมณ์ เช่นพวกอลัชชีกับพวกที่ชอบเป็นชู้ด้วยสามี-ภรรยาผู้อื่น.

ขุมนรกอมลูกกระสุนเหล็กคน จำพวกที่ใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้อื่นตกหลุมพรางของตนแล้วบังคับขู่เข็ญเอา สิ่งที่ตนต้องการ บ้างใช้เล่ห์ลิ้นพูดหว่านล้อมให้คนหลงเชื่อแล้วกระทำอนาจาร บ้างโกหกมดเท็จเพื่อหลอกลวง เอาทรัพย์สินผลประโยชน์ของผู้อื่นไป บ้างพูดให้ร้ายส่อเสียดทำลายผู้อื่นโดยมิชอบ และพวกที่ติดยาเสพติดชนิดต่างๆ คนจำพวกนี้หลังจากตายไปแล้ว ร่างวิญญาณของพวกเขาต้องถูกทางการยมโลกลงโทษทรมานดังภาพ.

ขุมนรกสาวไส้นัก ยมบาลกำลังใช้มีดผ่าอกสาวไส้ร่างวิญญาณของพวกคนที่ ใช้อำนาจหน้าที่ในราชการกระทำทุจริต กับพวกที่ปลูกพืชไร่ใส่ยาฆ่าแมลงยังไม่ทันหมดพิษยาก็นำออกจำหน่าย กับพวกพ่อเล้าแม่เล้าและพวกล้มแชร์ให้สุนัขกิน.

ขุมนรกน้ำมันเดือดนักการ ยมบาลกำลังทรมานร่างวิญญาณจากคนจำพวกที่เป็นโจรปล้น ตีชิงวิ่งราว ลักขโมย กับพวกที่ฆ่าคนตายด้วยอาวุธ ยาพิษ พวกฉ่อราษฎร์บังหลวง พวกประพฤติผิดกามผู้เป็นสายเลือด พวกอกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า และพวกที่ใช้คาถาอาคมทำลายคนด้วยไสยเวท

ขุมนรกตัดลิ้นร้อยกรามนัก บวชที่ประพฤติผิดธรรมวินัยทางปาก เช่นกล่าวหาให้ร้ายศาสนาอื่น และเทศนาที่มีความหมายทำนองสองแง่สามง่าม กับพวกที่กล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นโดยมิชอบ ตลอดจนใช้วาจาแช่งด่าหยาบคาย หลังจากตายไปแล้ว ร่างวิญญาณจะถูกทรมานดังภาพ

ขุมนรกบดร่างวิญญาณพวก ที่อกตัญญู พวกฆ่าทำลายชีวิตคนและสัตว์ กับพวกมักมากในกามารมณ์ คนจำพวกนี้เมื่อจบชีวิตลงร่างวิญญาณของพวกเขา นอกจากต้องถูกลงโทษทรมานตามผลกรรมอย่างหนักแล้ว สุดท้ายยังต้องถูกนำตัวมาบดอัดจนร่างแหลกละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อปรับปรุงความเป็นคนเสียใหม่ ก่อนที่จะให้ไปเกิดและชดใช้หนี้กรรมยังโลกมนุษย์.

ขุมนรกตัดทอนแขนขาพวก ที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่สุจริตและฉวยโอกาสหวังรวยทางลัด พวกลักขโมยฉกชิงวิ่งราวปล้นฆ่า และพวกที่ใช้กำลังทุบตีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ คนจำพวกนี้หลังจากตายไปแล้ว ร่างวิญญาณของพวกเขาต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในขุมนรกดังในภาพ

ขุมนรกน้ำมันกระเดนใส่ร่างพวก เขียนหนังสือกับถ่ายภาพลามก และพวกที่ปรุงยาปลุกอารมณ์ทางเพศ พวกโรงพิมพ์ตลอดจนผู้ขาย คนพวกนี้เป็นภัยต่อสังคสเป็นอย่างยิ่ง ก่อความมัวหมองทางด้านจิตใจให้แก่ชาวโลกโดยมิชอบ หลังจากตายไปแล้วร่างวิญญาณของเขา ต้องถูกลงโทษดังในภาพเป็นเวลาอันยาวนาน

ขุมนรกประหารใจเป็น ขุมนรกประหารใจวิญญาณบาปจากคนจำพวก ใจอิจฉาริษยา ใจอธรรมลำเอียง ใจโหดเหี้ยมอำมหิต ใจที่มีแต่เคียดแค้นพยาบาท ใจที่เห็นแก่ตัวและจงเกลียดจงชังผู้อื่น ใจที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณ ใจที่วิปริตหมกหมุ่นแต่กามารมณ์ ใจทรยศคดโกง ฯลฯ.

ขุมนรกกรอกยานักค้ายาปลอมและสิ่งเสพติด ในที่สุดก็จบลงดังภาพนี้

ขุมนรกตัดลอกถลกหนังหน้าคน ที่ไม่มีความละอาย ต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมของตน หลังจากตายไปแล้วดวงวิญญาณจะถูกนักการยมบาลในนรก ลงโทษทรมานด้วการตัดลอกถลกหนังหน้าออกดังภาพ.
“อันสตรี ไม่มีศีล ก็สิ้นสวย
บุรุษด้วย ไม่มีศีล ก็สิ้นศรี
อันนักบวช ไม่มีศีล ก็สิ้นดี
ข้าราชการ ศีลไม่มี ก็เลวทราม”

สาส์นจากยมบาล

สาส์นจากยมบาล

ผู้คนอย่าดูเพียงชาตินี้ชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีจริงผลที่รับในชาตินี้สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจนหรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดินหรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศลผู้ที่มีบุญวาสนาก็ยิ่งต้องรักบุญกุศล สะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลงเคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง
]
ตลอดชีวติของคนตอนที่ใกล้จะตายให้สังเกตอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรร่างกายแข็งทือหรืออ่อนนิ่มใบหน้าปกติหรือไม่ จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือลงสู่ขุมนรกให้พิจารณาดูดังนี้ :


1. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติร่างกายอ่อนนิ่มสีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทือ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจนั่นแสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ถ้าตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อหน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ชึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะจะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกัน

กฎสวรรค์และหน่วยบุญบาปของมนุษย์



กฎสวรรค์และหน่วยบุญบาปของมนุษย์


กฎสวรรค์ เทพเจียง เจ้ากรมบัญชีบาป-บุญได้ทำบัญชีบาป-บุญเอาไว้...ว่าผู้ใดสร้างสมบุญและบาป เมื่อหักลบกันแล้ว
ถ้าจำนวนบาปมีมากกว่าจำนวนบุญ ให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตามกรรมแห่งตน
ถ้าจำนวนบุญมีมากกว่าจำนวนบาป แต่ ไม่ถึง 3 000 บุญ จักได้เกิดเป็นมนุษย์อีก
ถ้าจำนวนบุญมี มากกว่าบาปตั้งแต่ 3,000 บุญขึ้นไป จักได้เป็นเทพชั้นล่าง
จำนวนบุญมีมากกว่า 10,000 บุญขึ้นไป จักได้เป็นเทพ ชั้นกลาง
จำนวนบุญมากกว่า 15,000 บุญขึ้นไป จักได้เป็น เทพชั้นสูง
จำนวนบุญครบ 100,000 บุญขึ้นไป จักได้เป็น พุทธะ เทพเจ้า ณ สุขาวดีแสนสุขสันต์
ส่วนผู้สร้างบาปหนัก จักตกอเวจีตลอดกาล
หน่วย บาป บุญ (เราท่าน..สามารถพินิจคำนวณบุญบาปของตัวเองได้ดังต่อไปนี้)
- พูดเท็จ กล่าวคำหยาบ นินทาผู้อื่น 1 ครั้ง 1 บาป
- เสียสัจจะ ผิดนัด 1 ครั้ง 3 บาป
- เล่นการพนัน 1 ครั้ง 5 บาป
- ตั้งบ่อนการพนัน 1 ครั้ง 100 บาป
- เมาสุรา 1 ครั้ง 6 บาป
- กินเนื้อวัว เนื้อสุนัข 1 ครั้ง 1 บาป
- พิมพ์หนังสือธรรมะแจก 1 เล่ม 3 บุญ
- ทำบุญให้ทาน 10 หยวน (ไต้หวัน) 1 บุญ
- ค้างหนี้ไม่ชำระ 10 หยวน 0.6 บาป
- ลักทรัพย์, ฉ้อโกง, ทุจริต,รับทรัพย์อันมิชอบธรรม 10 หยวน 1 บาป
- ขายของปลอม ของเสื่อมคุณภาพ 1 ครั้ง 5 บาป
- โกงตาชั่ง 1 ครั้ง 10 บาป
- เสียภาษีครบถ้วน 1 ครั้ง 5 บุญ
- หลีกเลี่ยงภาษี 1 ครั้ง 8 บาป
- ทะเลาะวิวาท ฟ้องร้องกัน 1 ครั้ง 2 บาป
- ถอนคดี, ถูกหมิ่นประมาทอดกลั้นไม่เอาเรื่อง 1 ครั้ง 50 บุญ
- การให้บำเหน็จ การลงโทษขาดยุติธรรม 1 ครั้ง 3 บาป
- ลงโทษผู้ไร้ความผิด 1 คน 100 บาป
- โยนความผิดให้ผู้อื่น 1 เรื่อง 100 บาป
- ทิ้งขยะลงถนน, คู คลอง 1 ครั้ง 0.4 บาป
- ปิดกั้นสัญจรทางน้ำหรือทางบก 1 ครั้ง 400 บาป
- เที่ยวซ่อง 1 ครั้ง 100 บาป
- ข่มเหงรังแกผู้อ่อนแอกว่า 1 ครั้ง 3 บาป
- ไม่ยอมรับสินบนทำตามหน้าที่เคร่งครัด 1 ครั้ง 8 บุญ
- ช่วยเหลือผู้ประสบภัย 1 ครั้ง 10 บุญ
- พบเห็นคนประสบอุบัติเหตุไม่ช่วยเหลือ 1 ครั้ง 10 บาป
- ภรรยาบ่นว่าสามี 1 ครั้ง 3 บาป
- สามีภรรยาทะเลาะกัน 1 ครั้ง 2 บาป
- หญิงครองหม้ายไม่ด่างพร้อยตลอดชีวิต 10,000 บุญ
- คบชู้ 1 ครั้ง 100 บาป
- แย่งสามีหรือภรรยาผู้อื่น 1 คน 1,000 บาป
- มีสามีเดียวหรือภรรยาเดียวตลอดชีพ 1,000 บุญ
- ทิ้งลูกทิ้งสามีหรือภรรยา 1 คน 1,000 บาป
- เชื่อฟังบิดามารดา 1 ครั้ง 5 บุญ
- ขัดคำสั่งบิดามารดา 1 ครั้ง 10 บาป
- เลี้ยงดูบิดามารดา 1 ครั้ง 1 บุญ
- ไม่เหลียวแลบิดามารดา 1 วัน 0.5 บาป
- เนรคุณบิดามารดา 2,000 บาป
- ปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความกตัญญูตลอดชีวิต 100,000 บุญ
- โกรธเคืองพ่อแม่ 1 ครั้ง 1 บาป
- พี่น้องสามัคคีไม่แก่งแย่ง 100 บุญ
- พี่น้องโกรธเคืองกัน 100 บาป
- ถูกดูหมิ่นไม่โกรธ 1 ครั้ง 1 บุญ
- โกรธไม่หาย 1 ครั้ง 3 บาป
- ดื่มสุรา 1 ชาติ 900 บาป
- คืนดีกัน, ให้อภัย 1 ครั้ง 3 บุญ
- พยาบาท คิดแก้แค้น 1 เรื่อง 3 บาป
- สวดมนต์ไหว้พระ 1 ครั้ง 1 บุญ
- กิริยาวาจาสุภาพ 1 ครั้ง 0.5 บุญ
- ผู้น้อยรับใช้ผู้อาวุโส 1 ครั้ง 3 บุญ
- ลบหลู่ครูอาจารย์ 1 ครั้ง 1 บาป
- ยกย่องครูอาจารย์ 1 ครั้ง 1 บุญ
- ประพฤติตนเป็นคนดี l ชาติ 1,000 บุญ
- ประพฤติเกเร เป็นอันธพาลไม่กลับตัว l ชาติ 1,000 บาป
- ช่วยชีวิตคน 1 ชีวิต 100 บุญ
- ฆ่าคน 1 ชีวิต 1,000 บาป
- ฆ่าตัวตาย 1,000 บาป
- ฆ่าข่มขืน 1 ชีวิต 10,000 บาป
- สละชีพเพื่อชาติ 1,000 บุญ
- ก่อการจลาจล, ทำให้เกิดความวุ่นวายแก่บ้านเมือง 1 ครั้ง 1,000 บาป
- ใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคน 1 ครั้ง 80 บาป
- บำเพ็ญธรรมจริงจัง (ละชั่วทำดี) 10,000 บุญ
- ทำแท้ง 1 ครั้ง 1,000 บาป
- ทิ้งธัญญาหาร (ข้าว) 10 เม็ด 1 บาป
- บริการให้ความสะดวกผู้อื่น 1 ครั้ง 1 บุญ
- ปล่อยนกปล่อยปลา 1 ตัว 1 บุญ
- พูดล้อเลียนคนอัปลักษณ์ มีปมด้อย 1 คำ 5 บาป
- พูดตำหนิศาสนาอื่น 1 ครั้ง 100 บาป
- บริจาคยารักษาโรค 1 ครั้ง 3 บุญ
- ส่งเสริมคนทำชั่ว 1 ครั้ง 4 บาป
- พูดหยาบคายลามก 1 ครั้ง 10 บาป
- ทำหน้าที่แม่บ้านดูแลบ้านเรือนเรียบร้อย 1 วัน 3 บุญ
- สร้างหนังสือลามก 1 เรื่อง 3,000 บาป
- แสดงหนัง-ละครลามก 1 ครั้ง 100 บาป
- อดกลั้นตัณหาราคะ 1 ครั้ง 10 บุญ
- ฆ่ากุ้งหอยปูปลาปรุงอาหาร 10 ตัว 1 บาป

ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด

ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด" นี้ เป็นการถอดความกิ่งแปล จากข้อเขียนเรื่อง Evidence For Karma and Rebirth ของ Amarasiri Weeraratne ในนิตยสาร The Maha Bothi ฉบับประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๖ (1972)

เป็นการ "ถอดความกิ่งแปล" โดยพระราชธรรมมุนี (เกียรติ สุกิตฺโต) รองเจ้าอาวาส วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร ถนนจักรวรรดิ แขวงจักวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กทม.โทร. ๐๒-๒๒๒๔๙๔๙ มือถือ ๐๘๙-๖๘๔๗๗๐๐ ปัจจุบันนี้อายุท่าน ๗๖ ปี ซึ่งท่านมาอินเดียตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ และอยู่ในอินเดียตลอดมารวมเวลาได้ ๑๓ ปีเศษทีเดียว

ข้อเขียนนี้เป็นข้อเขียน "ถอดความกึ่งแปล" ได้พิมพ์ลงในหนังสือชื่อ "เกี่ยวกับอินเดีย" ซึ่งการพิมพ์ครั้งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับ.....

"มหาชนบท ๑๖ แคว้น ในชมพูทวีปสมัยพุทธการ จดหมายเล่าเรื่องอนาคาริกธัมมปาละ คำบูชาประทักษิณเวียนเทียน ณ สังเวชณียสถาน ๔ แห่ง ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด และนำเที่ยวสถานที่ทางพระพุทธศาสนานอินเดีย" ซึงหนังสือเล่มนี้ ทุกท่านมีโอกาสที่จะได้รับแจก (ฟรี) คอยติดตามตอนท้ายสุดนะคะ.....

ประจักษ์พยานเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด (หน้าที่ ๒๐๗-๒๑๖)

มร.เอดการ์ เคซี่ แห่งมลรัฐเคนทักกี้ อเมริกา ผู้ได้ถึงแก่กรรม ไปแล้วเมื่อปี ค.ศ. 1956 (พ.ศ. ๒๔๙๙) เป็นมนุษย์ผู้มีญาณพิเศษหรือตาทิพย์แห่งยุคปัจจุบัน ซึ่งได้ใช้ความสามารถด้านนี้ของตนเพื่อบรรเทาและปลดเปลื้องความทุกข์ของ เพื่อนมนุษย์

เคซี่ได้รับสมญาว่า หมอหลับแห่งอเมริกา" และได้มีคนไข้ทุกประเภทไปขอให้ช่วยรักษา หลังจากที่การรักษาทางอื่นทุกๆอย่างบรรดามี ไม่สามารถบำบัดความเจ็บไข้ของตนได้แล้ว

"หมอเคซี่" ไม่เหมือนแพทย์ทั่วไปทั้งหลายตรงที่มีการศึกษาเพียงชั้นมัธยมเท่านั้น และไม่เคยได้รับการศึกษาทางแพทย์จากสำนักศึกษาแห่งใดเลย

เมื่ออายุ ๒๑ ปี เคซี่ได้จากบ้านเกิดเข้าไปหางานทำนเมือง และได้งานทำทางด้านธุรกิจประกันภัย แต่พอหลังจากนั้นสองสามปีก็ประสบโชคร้าย ถูกโรคหลอดเสียงในคออักเสบเล่นงานอย่างรุนแรง เป้นผลให้พูดอะไรไม่มีเสียง จนต้องทิ้งงานที่ทำอยู่ไปทำงานอืนที่ไม่ต้องช้เสียงมาก ขณะเดียวกันก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะรักษาให้หลอดเสียงที่เสียของตนกลับ คืนดีขึ้นมา แต่ก็ปรากฎว่าไม่มีการรักษาโดยวิธีใดช่วยทำให้ดีได้

ขณะที่เคซี่อยู่ด้ยความสิ้นหวัง ไม่มีทางจะลองรักษาอย่างใดอีกดังกล่าว ก็พอดีมีผู้ชำนาญการสะกดจิตคนหนึ่ง เดินทางไปเผยแพร่วิชาการด้านนี้ ณ เมืองที่เคซี่อยู่ เคซี่จึงได้ไปหาและขอให้ลองใช้วิธีการทางด้านสะกดจิตช่วยรักษาอาการที่เป็น ของตัว

ปรากฎว่าเมื่อยู่ในภาวะถูกสะกดจิต เคซี่สามารถพูดมีเสียงออกมาเช่นปกติ แต่พอพ้นจากถูกสะกดจิต ก็กลับพูดอะไรไม่มีเสียงอีกตามเดิม ผู้ชำนสญการสะกดจิตได้พยายามแล้ว พยายามอีก เพื่อจะแก้ไขให้ได้ แต่ก้ไร้ผล

เพื่อนของเคซี่คนหนึ่ง ชื่อ เลน ซึ่งเป็นนักสะกดจิตสมัครเล่นและสนใจติดตามเรื่องนี้อยู่ด้วย คิดว่าเมื่อเคซี่สามารถพูดได้ในขณะถูกสะกดจิต เมื่อกลับสู่สภาวะตื่นเป็นปกติแล้วก็น่าจะพูดได้ด้วย จึงตั้งใจที่จะทดลองเรื่องนี้ดูด้วยตนเอง

เลนจึงดำเนินการสะกดจิตเคซี่ เสร็จแล้วตั้งคำถาม..."นี่แกบอกฉันได้ไหมว่า อะไรที่เป็นเหตุให้เกิดการตีบตันในลำคอของแก และบอกด้วยได้หรือเปล่าว่าจะรักษาเจ้าโรคที่เป็นนี้ได้อย่างไร"

มหัศจรรย์เกินจะกล่าวได้เกิดขึ้น เลนได้รับคำตอบว่า อาการดังกล่าวเป็นภาวะสัมพันธ์ระหว่างจิตและร่างกาย เลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อบางส่วนในลำคอไม่พอ ให้เลนออกคำสั่งเสียในขณะที่ตนยังอยู่ในภาวะถูกสะกดจิตว่า ให้การอุดตันทางเดินของเลือดหายเสีย ให้เลือดเดินได้สะดวก แล้วเมื่อนั้นการรักษาก็จะได้ผล

เลนทำตามคำแนะนำ ผลปรากฏว่า ชั้วขณะที่เลนจ้องสังเกตะอยู่นั่นเอง ลำคอของเคซี่ก็เปลี่ยนสีเป็นชมพู แล้วก็เป็นแดงอย่างอมเลือดอมฝาดเต็มที่ เคซี่สามารถพูดได้ด้วยเสียงปกติของตัว และเมื่อตื่นจากการถูกสะกดจิตแล้วก็สามารถเรียกสมรรถนะในการพูดกลับมาได้ตาม เดิม แล้วหลังจากนั้นได้มีการทำเพิ่มเติมอีกครั้งสองครั้ง ทุกอย่างก็สมบูรณ์เป็นปกติ

คราวนี้มาถึงคราวของตัวเลนเอง โดยตัวเขามีอาการป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับท้องอยู่ ได้ทดลองรักษามาแล้วทุกตำหรับ แต่ก็ไม่ได้ผลเด็ดขาด เลนตั้งใจจะปรึกษาเคซี่ระหว่างถูกสะกดจิตดูว่า จะสามารถบำบัดอาการป่วยเจ็บของตนได้ไหม
เมื่อเลนทดลองทำตามที่คิด ก็ปรากฎว่าเคซี่สามารถบอกวิธีรักษาให้ได้ โดยแนะนำให้บริหารร่างกายอย่างนั้นๆ ให้รับอาหารพิเศษอย่างนั้นๆ และใช้ยาประกอบอย่างนั้นๆ ซึ่งเมื่อเลนทำตามคำแนะนำดังกล่าวก็พบว่า เป็นไปตามคำทำนายของเคซี่ คือภายในเวลาเพียง ๓ สัปดาห์ เลนก็หายขาดจากอาการโรคที่เป็นมาอย่างเรื่อรัง

คราวนี้เลนได้ประจักษ์ว่า ขณะที่ถูกสะกดจิตเคซี่มีความสามารถมหัศจรรย์ในการรักษา และดดยที่ทราบอยู่ว่า เคซี่เป็นคริสเตียนผู้เคร่งครัด และใจบุญ มีศรัทธาอ่านไบเบิ้ลจากปกหน้าถึงปกหลังทุกปี จึงได้พูดหว่านล้อมขอให้เคซี่เห็นแก่เพื่อนมนุษย์จำนวนมาก ซึ่งได้รับทุกข์ทรมาณเพราะโรคร้ายนานาชนิด และไม่สามารถหาวิรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งบำบัดได้ ดดยขอให้เคซี่รับและนำวิธีรักษาให้แก่คนเหล่านั้น ขึ้นแรกเคซี่ไม่ตกลง เนื่องจากไม่เชื่อว่าตนเองจะมีความสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่เมื่อถูกวิงวอนขอร้องหลายครั้งหลายหนเข้าก็ตกลง รับทดลองรักษาในรายหนักๆซึ่งไม่สามารถหาทางรักษาได้แล้วจริงๆ
แม้เคซี่จะไม่เคยได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยาและการแพทย์เลย แต่ก็ปรากฎว่าเมื่ออยู่ในระหว่างสะกดจิต เขาสามารถตรวจวิเคราะห์โรคได้อย่างแม่นยำ และใช้ศัพท์เทคนิคต่างๆ ที่ในเวลาปกติแล้วเขาไม่เคยรู้เลย.......


กล่าวได้ว่าคนไข้ที่เคซี่รักษาหายหมดทุกราย ไม่ปรากฏว่ามีรายใดทรุดลงกว่าเดิมเลย ในบางรายเคซี่จะบอกว่าไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากความเจ็บป่วยนั้นเป็นผลมาจาก "กรรม" แต่ชาติก่อน เขาสามารถเพียงแต่จะบอกชื่อยาซึ่งอาจช่วยให้บรรเทาลงได้บ้าง เมื่อเป็นขึ้นมาเท่านั่น เคซี่ไม่รู้เรื่องศานาพุทธหรือฮินดูเลย และยิ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทฤษฎีเรื่อง "กรรมและเรื่องตายแล้วเกิด" เมื่อมีผู้เล่าให้ฟังเคซี่ถึงกับตกใจ และคิดจะเลิกการรักษาที่ทำอยู่นั้นเสีย ด้วยเห็นว่า การกระทำของตนเป็นเรื่องแอนตี้คริสเตียน แต่เพื่อนฝูงก็สามารถชี้แจงทำความเข้าใจ และอ้อนวอนให้เคซี่ให้การรักษาต่อไปจนได้

ในช่วงเวลา ๔๐ ปี เคซี่รักษาคนไข้ให้หายได้รวมจำนวนประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน

มีข้อแตกต่างอย่างมากอยู่ประการหนึ่ง ระหว่างเคซี่กับแพทย์ทั่วไป คือ เคซี่ไม่จำเป็นจะต้องได้เห็นคนไข้ โดยคนไข้อาจจะอยู่ห่างออกไปเป็นระยทางตั้งร้อยไมล์ก็ได้ ที่จำเป็นมีเฉพาะชื่อกับที่อยุ่อันถูกต้องของคนไข้ ซึ่งจะต้องบอกให้เคซี่ทราบเมื่อได้อยู่ในภาวะสะกดจิตแล้ว หากปรากฎว่าคนไข้ไม่อยู่เขาก็จะพักรายนั้นไว้แค่นั้น แล้วตรวจรายอื่นต่อไป

ตอนตรวจรักษา เคซี่ไม่ต้องทำอะไรมาก เขาเพียงแต่จะเข้าไปในห้อง ถอดรองเท้าและผ้าพันคอออก แล้วเอนตัวลงบนที่นอน หลับตา เอามือประสานกันวางที่หน้าผาก หายใจแรง ๗ ครั้ง แล้วชั่วประเดี๋ยวตาของเขาก็จะรู้สึกสว่าง
หลังจากนั้นชั่วครุ่ ภรรยาหรือเลขานุการของเขาก็จะบอกว่า คราวนี้เขาจะได้เห็นคนชื่อนั้นๆ อยู่ที่นั้นๆ ให้เขามาตรวจวิเคราะห์โรคและบอกวิธีรักษาที่จำเป็น จากนั้นสองสามนาทีเคซี่ก็จะพูด


บ่อยครั้งที่เคซี่จะพรรณาสภาพแวดล้อมของที่ที่เขาได้พบคนไข้ เช่นเขาจะบอกว่ามีสุนัขสีขาวตัวหนึ่งอยู่มุมห้อง แม่ของคนไข้กำลังสวด (มนต์) อยู่ คนไข้กำลังขึ้นบันใดมาเป็นต้น ข้อระบุของเคซี่ทำนองนี้พบว่าตรงกับที่เป็นจริงทุกครั้ง จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ถึงความเป็นจริงแห่งพลังตาทิพย์ของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ปราฏเลยว่าการตรวจวิเคราะห์โรคและการสั่งยาของเขานั้นไม่ได้ผล แม้แต่เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อไม่สามารถจะตรวจวิเคราะห์โรคให้ทราบแน่นอนได้ ก็ต้องมาพึ่งพลังตาทิพย์ของเคซี่ ที่สถาบันเคซี่มีประกาศนียบัตรที่นายแพทย์ดังกล่าวออกให้เป็นหลักฐานอยู่ หลายใบ

งานของเคซี่มีความสำคัญพิเศษสำหรับเราชาวพุทธ โดยที่จะได้พบประจักษ์พยานเกี่ยวกับเรื่องกรรมและตายแล้วเกิดอย่างมากมาย ในการดูด้วยใจหรือตรวจทางในของเคซี่ บางครั้งเขาบอกว่าความป่วยไข้ของคนไข้บางคนของเขานั้นเนื่องมาจากผลของกรรม ในชาติก่อน ดังนั้นจึงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ การรักษาของเขาเพียงแต่จะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้บ้างเท่านั้น บางครั้งเคซี่จะระบุถึงชาติอดีตของคนไข้บางรายด้วย ซึ่งในชาติดนั้นๆคนไข้เหล่านั้นได้ทำกรรมชั่วไว้ อันได้ส่งผลให้พวกเขาประสบทุกข์ทรมานในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

คนไข้รายหนึ่งซึ่งป่วยด้วยโรคหืด เคซี่บอกว่าชาติก่อนเขาเคยโยนลูกแมวให้จมน้ำตาย ชาตินี้เขาจึงได้รับทุกข์ทรมารจากอาการของโรคหืดหายใจไม่ออก
สามีภรรยาคู่หนึ่งประสบปัญหาเกี่ยวกับคู่ชีวิต เคซี่บอกว่า ทั้งสองเคยเป็นพระและแมชีโรมันคาทอลิกอยู่ที่เกาะอังกฤษ ในชาติดักล่าวทั้งสองได้ล่วงละเมิดศีลและคำปฏิญาณ ชาตินี้จึงได้รับความเดือดร้อนยุ่งยากเช่นที่เป็นอยู่

คนไข้ตาเสียรายหนึ่งได้รับบอกว่า เมื่อชาติก่อนเขาเป็นสามาชิกชาวป่าเปอร์เชียเป่าหนึ่ง คนป่าเผ่านี้จะควักลูกตาของเชลยทุกคนที่จับได้ในการสู้รบออก และหน้าที่ควักลูกตาของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งหลายออกดังกล่าวนั้นเป็นคน ไข้รายที่พูดถึงอยุ่นี้ ดังนั้นในชาตินี้ เขาจึงได้รับผลกรรมเป็นคนตาบอด

คนไข้อีกรายหนึ่งได้รับบอกว่าเป็นเพราะเมื่อชาติก่อนเขาได้มีความยินดีปรีดา ในความทุกข์ทรมานของเพื่อนมนุ ษย์ผู้ตกเป็นเหยื่อ ณ สนามโรมันสเตเดี้ยม ซึ่ง ณ ที่นั้นผู้ถูกจองจำบางพวกถูกโยนลงไปให้เป็นเหยื่อของสิงโต ในบันทึกของเคซี่มีกรณีดังกล่าวนี้อยู่มากมาย

(ย่อหน้านี้ ในประเทศเราเคยมีการพูดและเล่ากันต่อๆมาบ่อยๆ โดยเฉพาะพวกที่ฆ่าวัว ควาย เป็ด ไก่และอื่นๆ ซึ่งในขณะที่กำลังจะหมดลมหายใจ ปรากฎว่าตัวเองต้องดิ้นลนและร้องเหมือนวัว ควายและสัตว์ต่างๆที่ตนฆ่าอย่างน่าเวทนา - กรรมมีจริง!)

เคซี่จะตรวจดูชาติอดีตของเด็กๆ แล้วบอกให้พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นทราบว่าเด็กเคยได้มีความชำนาญมาแล้วในทาง ไหน พร้อมกันนั้นก็จะแนะนำว่าเมื่อโตขึ้นเด็กควรประกอบอาชีพในแนวที่ตนมีความขำ นาญมาแล้ว ผลปรากำว่า ทุกรายที่ทำตามคำแนะนำของเคซี่ ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม

จากข้อเท็จจริงทีปรากฎนี้ ย่อมเป็นที่แจ้งชัดว่าเรื่องกฎแห่งกรรมและเรื่องตายแล้วเกิด เป็นหลักคำสอนที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง ทั้งประจักษ์พยานสนับสนุนเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องนอกจากที่มีกล่าวในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นเรื่องต้องเชื่อด้วย ศรัทธา

บันทึกและเอกสารเกี่ยวกับงานของเคซี่ ยังคงได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ สถาบันเคซี่ เวอร์จิเนียบีช อเมริกา นักค้นคว้าทางจิตและผู้ศึกษาเรื่องกรรมกับตายแล้วเกิด พากันไปที่นั่นบ่อยๆ เพื่อศึกษาบันทึกต่างๆเหล่านี้ โมเรย์ เบเรนสไตน์ สนใจเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด ก็เพราะได้ศึกษาบันทึกของเคซี่ เรื่องนี้ได้กระตุ้นให้เขาพิสูจน์ความจริงของการตายแล้วเกิด ด้วยการสะกดจิตหญิงคนหนึ่งแล้วให้เธอย้อนระลึกไปถึงชาติในอดีตของเธอ

ผลการทดลองดังกล่าวของเบเรนสไตน์ ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันทั่วโลก และได้รับการจัดพิมพ์เป็นหนังสือให้ชื่อว่า "The Search for Bridey Murphy" ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของอเมริกาในปี ค.ศ. ๑๙๕๖ งานดังกล่าวรับรองความจริงเรื่องตายแล้วเกิดว่า เป็นภาวะที่อาจพิสูจน์ได้โดยวิธีให้ระลึกชาติได้ด้วยการสะกดจิต จินา เซรา นิมารา ผู้เขียนเรื่อง "Many Mansions and The World within" ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้ศึกษาบันทึกงานของเคซี่อย่างละเอียด และในหนังสือสองเล่มของเธอซึ่งเป็นงานขั้นมาตรฐาน เกี่ยวกับเรื่องกรรมและตายแล้วเกิด เธอก็ได้อ้างถึงกรณีของเคซี่บ่อยๆ

จำเป็นต้องกล่าวถึงด้วยว่า เคซี่ใช้พลังจิตของเขาเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์แต่อย่างเดียวโดยไม่ เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะใช้ใน ทางร้ายหรือผิดศีลธรรม เขาไม่เคยช่วยพวกนักการพนันหรือบอกใบให้พวกนักเลงเล่นม้า เคซี่ไม่ยอมให้เอาเรื่องของตนไปโฆษณาเลยโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นทางหนังสือพิมพ์ ทางวิทยุหรือทางโทรทัศน์ แต่แม้กระนั้นก็เป็นความจำเป็นที่คนไข้จะต้องเข้าคิวรอเป็นเวลาหลายๆเดือน และระยะหลังถึงร่วมปี กว่าจะสามารถกำหนดวันนัดหมายกับเคซี่ได้

การรักษาของเคซีไม่ใช้ตำรายาและวิธีการรักษาแบบของตะวันตกเสมอไป ยาของเขาบางขนานพบว่าตรงกับที่มีในตำรับการแพทย์ของอียิปต์โบราณ ทั้งนี้โดยที่ชาติหนึ่งในอดีตของเขาเคยเกิดเป็นหมอใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่ นั่น

การอ่านชีวประวัติและงานของเคซี่อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถทำให้เราเชื่อได้ในความจริงที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง คือในข้อที่ว่า "ไม่มีใครมาสู่โลกนี้แบบ "มือเปล่า" อย่างแท้จริงโดยไม่มีทรัพย์สมบัติหรือหนี้สินอะไรติดตัวมาด้วย แต่ละคนนำเอากรรมทั้งที่เป็นส่วนดีและส่วนเลวของตนติดตัวมา และกรรมนั้นเป็นผู้จำแนกรูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัยใจคอ ความชำนาญพิเศษและอะไรต่อมิอะไรอื่น ซึ่งเป็นเรื่องลี้ลับเกินกว่าจะอธิบายได้ไม่ว่าใครจะเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์สุดแต่กรณีในชาตินี้ ส่วนใหญ่กำหนดโดยกองกรรมในอดีตของตน"

พระพุทธดำรัสว่า... "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นที่พึ่งพำนัก...ได้รับการยืนยันโดยผลงานของมนุษย์ตาทิพย์ยุค ปัจจุบันคือ นายเอ็ดการ์ เคซี่ ผู้นี้..." ผู้ซึ่งมิใช่ชาวพุทธ ทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธองค์หรือพระพุทธศาสนา ตรงกันข้ามกลับเป็นคริสเตียนผู้เคร่งครัดในศาสนาของตนเองด้วยซ้ำ

ภัยลึกลับในอนาคต แห่งวัฏสงสาร

ภัยลึกลับในอนาคต แห่งวัฏสงสาร
จากหนังสือ "กรรมทีปนี" พ.ศ. ๒๕๑๗ หน้า ๑๐๘๙
โดย พระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดดอน กรุงเทพมหานคร


ใน ปัจจุบันกาลนี้ ถึงแม้ว่าเราจะโชคดีโดยได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่บรรจุคำสอนเรื่องกรรมไว้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วก็ ตามที แต่ก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจในความเป็นผู้โชคดีของเราให้มากมายไปนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเรายังไม่หมดกรรม ยังมีกรรมอยู่มากมาย ตราบใดที่ยังเผาผลาญสังหารกรรมไม่ได้ คือ ยังมีกรรมมีเวรเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้น ปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านเตือนว่าให้คอยระวัง ! ระวังอะไร ระวังภัยลึกลับในอนาคต ที่คอยจ้องตะครุบสัตว์โลกเอาไปบริโภคเป็นอาหารอยู่ตลอดกาล เพราะมีฤทธิ์เดชร้ายกาจนักหนา ภัยลึกลับในอนาคตมีฤทธิ์ร้ายที่ควรนำมากล่าวไว้ มีอยู่ดังต่อไปนี้

"นานาสัตถุอุลโลกนภัย"
ภัยลึกลับในอนาคต ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นศัพท์ว่า "นานาสัตถุอุลโลกนภัย" นี้ ได้แก่ภัยอันเกิดจากการคอยแหวนหน้ามองดูศาสนาต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ในชาตินี้เรามีโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มีโอกาสพบเคารพเลื่อมใสพระบวรพุทธศานาวิเศษ โดยมีสมเด็จพระสรรเพชญสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นองค์พระศาสดา เป็นศาสนาประเสริฐ มีคำสอนสมบูรณ์ถูกต้องตามสภาพธรรมความเป็นจริง เมื่อมีใจศรัทราอุตสาหะปฏิบัติตามหลักการพระพุทธศาสนา ก็อาจจะคว้าเอาสมบัติตามจิตปรารถนาบรรดามี คือ มนุษย์สมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ ตลอดจนถึงนิพพานสมบัติ มาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนได้โดยง่าย


หากว่า เราตายจากโลกนี้ไปแล้ว มีคติผ่องแผ้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกในอนาคต การที่ว่าจะมีโอกาสสดใสได้พบพระพุทธศาสนาอีกนั้น เป็นอันยากยิ่งยากนักหนา ทั้งก็เพราะว่า พระบวรพุทธศาสนาวิเศษแห่งเรานี้ ใช่ว่าจะเป็นศาสนาที่อยู่ประจำโลกเมื่อไรเล่า ปรากฏอยู่ในโลกเป็นครั้งคราวชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วก็จะถึงกาลล่วงลับดับสูญไป เมื่อเราเกิดมาใหม่ไม่พบพระพุทธศานาแล้วจะพบอะไร ก็ต้องพบศาสนาที่ศาสดาอื่นประกาศขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นศาสนาอะไรก็ได้มีไม่ใช่บวรพระพุทธศาสนา ด้วยว่า ธรรมดาสันดานของมนุษย์ทั้งหลายมักชอบอวดรูอวดฉลาดอยู่เป็นวิสัย เห็นใครโง่กว่าตน ก็มักอวดตนเป็นผู้วิเศษโดยแสดงตนเป็นศาสดา ประกาศลัทธิศาสนาไปตามสติปัญญาอันโง่เขลาแห่งตน เช่น ศาสดาปูรณกัสสปผู้ประกาศลัทธิศาสนามิจฉาทิฐิเป็นต้น มนุษย์ที่ชอบแสดงตนเป็นศาสดาเจ้าลัทธิประกาศศาสนาตามใจชอบนี้ ย่อมมีประจำมนุษย์โลกอยู่เนืองนิตย์ เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์ในอนาคตแล้วได้ฟังคำสอนผิดๆ จากปากของผู้ที่แสดงตนเป็นศาสดา ซึ่งประกาศออกมาว่า

''เจ้า ทั้งหลายเอ๋ย ! บาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี คุณแห่งบิดามารดาไม่มี คนเราตายไปแล้วก็แล้วกัน ฉะนั้น เจ้าทั้งหลายไม่ต้องประหวั่นพรั่นพรึงอะไร อยากทำการสิ่งใดจงทำไปเถิดตามใจชอบ อย่ากลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษหรือนรกสวรรค์ ที่คนโบราณว่าให้เสียเวลาเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นไปไม่ได้ คือไม่มี เป็นสิ่งที่คนโบราณเพ้อฝันไปเองต่างหากเล่า''

" เออ...เห็นจะจริงอย่างท่านว่า" ตัวเราเองในอนาคตผู้ไม่ค่อยจะรู้ประสีประสา ซึ่งมีกิริยาแหวนหน้าฟังศาสดาประกาศศาสนาในภายหน้า อาจจะอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสเป็นใจความว่าฉะนี้ แล้วก็ยินดีประพฤติปฏิบัติไปตามคำสอนของศาสดาป่าเถื่อนและโง่เขลานั้น ประพฤติการอันเป็นบาปชั่วช้าล่วงอกุศลกรรมบถนานาประการ เมื่อวายปราณตายไปจะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปสู่อบาย เพราะอกุศลกรรมชักนำไป เช่นเดียวกับเหล่าสาวกของปูรณกัสสปเดียรถีย์ ซึ่งต้องไปเกิดเป็นผีนรกเพราะประพฤติตามคำสอนอันเป็นมิจฉาทิฐินั้น ครั้งพ้นจากทุกข์โทษในอบายได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ย่อมจะต้องพบหน้ามนุษย์ซึ่งอ้างว่าตนเป็นศาสดาผู้วิเศษอื่นๆ ซึ่งเราจำต้องฟังคำสอนของเขาอีก และเขาก็สามารถพาเราผู้ซึ่งแหวนหน้าฟัง และประพฤติตามคำสอนของเขาให้ไปลงนรกได้อีกเช่นกัน สภาพการณ์จะปรากฏมีอยู่อย่างนี้ไปไม่มีวันสิ้นสุด เพราะว่าศาสดาเหล่านั้นไม่ใช่พระอรหันต์สมัมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล่าวว่า นานาสัตถุอุลโลกนภัย คือ การที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสอนของศาสดาในภายหน้านี้ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัวซึ่งกำลังจ้องคอยตัวเราอยู่ในอนาคตกาล

"อปายิกภัย"
ภัยลึกลับในอนาคตอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นชื่อเรียกเป็นศัพท์ว่า "อปายิกภัย" นี้ ได้แก่ ภัยที่เกิดจากการไปอุบัติเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ! หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าในชาตินี้เราโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในมนุษย์โลกซึ่งจัดว่าเป็นสุคติภูมิ แล้วยังประสบโชคดีเป็นซ้ำสอง เพราะได้เกิดมาพบบวรพระพุทธศาสนา หากว่ามีความประสงค์จะได้บรรลุธรรมวิเศษคือมรรคผลนิพพาน เพื่อนำตนให้พ้นภัยในวัฏสงสารถึงความเป็นผู้สิ้นเวรกรรม เราก็สามารถที่จะกระทำได้ ด้วยการปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกา แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ เพราะวาสนาบารมียังไม่แก่กล้าสมบูรณ์ดี แต่ก็อาจจะเป็นอุปนิสัยปัจจัย เพื่อให้ได้บรรลุธรรมวิเศษในอนาคตกาลภายหน้า


หากว่า เราปล่อยให้ความโชคดีซึ่งเราได้รับอยู่นี้ผ่านไป โดยไม่ได้ทำอะไรให้สมกับโอกาสดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายจากชาตินี้ไป การที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนในชาตินี้อีก ในฐานะที่เป็นปุถุชนคนมีกรรมอยู่เช่นนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะพึงได้ยากนักหนา ปราชญ์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บรรดามนุษย์ที่ตายไปจากมนุษย์โลกนั้น เขาต่างพากันไปสู่อบายภูมิมากกว่าสุคติภูมิ อุปมาเหมือนกับขนโคกับเขาโค คือ มนุษย์ทั้งหลายที่ทำกิริยาตายลงไปทุกวันนี้น่ะ เขาพากันไปเกิดในจตุราบายภูมิ โดยไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรภูมิบ้าง ไปเกิดเป็นเปรตในเปตติวิสยภูมิ ไปเกิดเป็นอสุรกายในอสุรกายภูมิบ้าง และไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานในเดรัจฉานภูมิบ้าง ต่างไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ นี้ มีปริมานมากมายเท่าขนโค ส่วนมนุษย์ที่โชคดีได้กลับมาเป็นมนุษย์ในมนุษย์โลก และจะได้ไปเŦ5;ิดเป็นเทวดาในเทวโลกเป็นสุคติภูมิ มีปริมาณน้อยยิ่งนักเทียบได้กับเขาโคเท่านั้น โคตัวหนึ่งมี 2 เขา แต่มีขนเท่าไรเล่า ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย โอ...มีจำนวนมากมายจนไม่มีใครอยากจะนับทีเดียว ขนโคทั้งตัวที่มีจำนวนมากมายนั่นแล เทียบได้กับเหล่ามนุษย์ที่พากันไปเกิดในจตุราบาย ฝ่ายเหล่ามนุษย์ที่มีโกาสกลับมาเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทดา ย่อมมีแต่เพียงคู่หนึ่ง ซึ่งเท่ากับจำนวนเขาโค

สมมุติ ว่าตัวเราซึ่งกำลังได้รับโชคดีได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศานาอยู่ขณะนี้ หากมีอันเป็นแก่ถึงกาลกิริยาไปมิใช่อยู่ในประเภทเขาโค แต่บังเอิญไพล่เข้าไปอยู่ในประเภทขนโค โซซัดโซเซพลัดไปอุบัติเกิดในจตุราบายอันชั่วร้ายภูมิใดภูมิหนึ่งเข้าแล้ว จะเป็นอย่างไร คงจะวุ่นวายน่าเสียดายนัก เมื่ถึงขั้นนี้แล้ว อย่าว่าแต่จะปรารถนาเอามรรคผลนิพพานอันเป็นยอดสมบัติเลย แม้แต่มนุษย์สมบัติ เทวดาสมบัติ คือ การได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไปเกิดเป็นเทวดา ก็เป็นอันเหลือวิสัยที่จะสมปรารถนา ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า อปายิกภัย คือการที่ต้องไปอุบัติเกิดเป็นสุตว์ในอบายภูมิ เป็นภัยลึกลับที่น่ากลัว ซึ่งกำลังจ้องคอยตัวเราอยู่ในอนาคตกาล

ท่าน ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ภัยที่เกิดจากการที่ต้องตั้งคอแหวนหน้าคอยฟังคำสั่งสอนของศาสดาต่างๆอย่าง ไม่มีวันสิ้นสุด และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายให้ได้รับความทุกข์ ทรมานในอนาคตกาลภายหน้าเช่นกล่าวมานี้ ล้วนเป็นภัยลึกลับที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง น่าเกรงกลัวยิ่งกว่าภัยที่ปรากฏเฉพาะหน้า เช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย โจรภัย ราชภัย และวาฬภัย เป็นต้น ซึ่งให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในปัจจุบันชาตินี้เสียอีก เพราะเหตุใร ! เพราะเหตุว่า ภัยอันตรายเหล่านี้สามารถจะใหเผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนเฉพาะในชาติ ปัจจุบันชาติเดียวเท่านั้น แล้วก็แล้วกันไป แต่ภัยลึกลับร้ายกาจซึ่งเกิดจากการต้องคอยแหวนหน้าดูศาสดาต่างๆที่เป็นศาสนา ที่สั่งสอนแบบผิดๆ และภัยที่เกิดจากการที่ต้องไปอุบัติเป็นสัตว์ในจตุราบายนั้น นอกจากจะให้ผลร้ายในชาติปัจจุบันแล้ว ยังสามารถฉุดกระชากลากไปเกิดในอบายภูมิทั้งหลายได้ หลายชาติหลายภพหนักหนา มิใช่ว่าแต่เพียงชาติเดียวภพเดียว และการไปเกิดในอบายภูมิ เช่น การไปเกิดเป็นสัตว์นรกนั้น แม้แต่ไปเกิดอยู่เพียงชาติเดียว ก็ฌป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวสะดุ้งใจยิ่งนัก หากมีญาณวิเศษได้เห็นความเป็นไปในนรกภูมิแล้วไซร้ คงจะเกิดความสะดุ้งใจเกรงขามไปตามๆกัน ทั้งนี้ก็เพราะในนรกบางขุมนั้น ปรากฏมีหม้อน้ำทองแดงอันเดือดพล่าน ตั้งแต่ปากหม้จนถึงก้นหม้ สัตว์นรกที่เคยเป็นมนุษย์แต่ตายไปตกนรกหม้อทองแดง จะมีโอกาสโผล่ขึ้นมาแต่ละครั้งนานแสนนาน ท่านกล่าวว่า ระยะเวลาที่สัตว์นรกจมลงไปและลอยขึ้นมาแต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว ก็ต้องใช้เวลานานถึง ๖๐,๐๐๐ ปี พอโผล่ขึ้นมาที่ปากหม้อได้ไม่ถึงอึดใจก็ให้มีอันจมลงไปในหม้อนรกนั้นอีกเสีย แล้ว ลอยขึ้นและจมดิ่งลงอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวต่อกี่เที่ยวจึงจะพ้นจากทุกข์โทษ และนรกบางขุมปรากฏว่ามีไฟนรกอันร้อนแรงเผาไหม้อยู่ตลอดกาล บรรดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกขุมนั้น ย่อมจะถูกไฟนรกเผาไหม้เป็นนิรันดรกาล จนกว่าจะสิ้นชาตินรกซึ่งนับเวลานานเป็นแสนเป็นล้านปี เช่นนี้แล้วจะเป็นอย่างไร หมายความว่าสัตว์นรกเหล่านั้น จะได้รับความทุกข์ทรมาน ด้วยความร้อนแรงแห่งไฟนรกขนาดไหน เพียงแต่หัวไม้ขีดไฟกระเด็นถูกอวัยวะร่างกายนิดหน่อย เราทั้งหลายก็ให้มีอันสะดุ้งโหยงกันแล้ว เพราะฤทธิ์ที่เกิดจากความร้อนของไฟธรรมดา ถ้าไปถูกไฟนรกเผาไหม้ทั้งร่างกายนานนับเป็นร้อยเป็นพันศตวรรษเล่า จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวได้รับความทุกข์ทรมานสักเพียงใด ขอให้ท่านผู้มีปัญญา
ทั้งหลายจงพิจารณาไตร่ตรองดูเถิด จะอย่างงไรก็ดีใคร่ขอย้ำความไว้ในที่นี้ เพื่อให้รับทราบโดยตระหนักว่า มหาภัยลึกลับอันมีฤทธิ์ร้าย ซึ่งสามารถจะฉุดกระชากตัวเราผู้มีกรรมไปสู่อบายภูมิในอนาคตกาลภายหน้านั้น มันกำลังจ้องคอยเราอยู่ด้วยความกระหาย


เมื่อ หยั่งทราบความเป็นไปในปัจจุบันว่า ตัวเรานี้เป็นผู้โชคดีเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ซึ่งปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นมหาลาภอันประเสริฐสุด และหยั่งทราบในอนาคตภายหน้าว่า หากตัวเรามีมหาลาภในปัจจุบันนี้ ยังมีกรรมติดตัวก็ย่อมจักต้องมีมหันภัยลึกลับจ้องคอยเราอยู่ด้วยความกระหาย ในกรณีนี้จะทำอย่างไรดี ก็ต้องหาวิธีป้องกันภัยลึกลับไม่ให้ตกต้องมาถึงตัวเราได้เท่านั้นเอง วิธีป้องกันที่ถูกต้องและดีที่สุดก็คือ ต้องพยายามปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีแห่งสมเด็จพระชินสีห์เจ้า โดยการเข้าบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานจนกระทั่งได้บรรลุพระอริยะมรรคญาณอัน ประเสริฐ แต่พอพระอริยมรรคญาณบังเกิดขึ้นในขันทสันดาน พระอริยมรรคญาณนั้นจะกลายเป็นไฟเผาผลาญสังหารกรรมทันที ตอนนี้เอง กรรมอันเป็นตัวการสำคัญซึ่งทำหน้าที่ชักนำให้ไปพบกับภัยลึกลับในอนาคต ก็จักถูกเผาผลาญสังหารให้หมดสิ้นออกไปตามลำดับ และเมื่อกรรมอันเป็นตัวการสำคัญถูกสังหารเผาผลาญทำลายลงเช่นนี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ปลอดแคล้วจากภัยลึกลับที่จ้องคอยอยู่นั้นโดยไม่ต้องสงสัย

นอก จากจะเป็นวิธีป้องกันภัยลึกลับในอนาคตได้อย่างเด็ดขาดดังกล่าวมา การบำเพ็ญวิปัสนากรรมฐานตามกระแสพระพุทธฏีกา ยังอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกประการ ตั้งแต่ประโยชน์สุขชั้นต้นจนถึงประโยชน์สุขชั้นสูงสุดคือพระนิพพาน ดังนั้นจึงใคร่จะขอโอกาสกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายไว้ในที่นี้ว่า อีกไม่ช้านาน เราก็จะพากันถึงแก่กาลกิริยาตายจากบวรพระพุทธศาสนาไปแล้ว แต่ก่อนที่จะจากไป สมควรที่จะได้แสวงหาสมบัติแก้ว คือพระนิพพานเอามาเป็นสมบัติแห่งตนให้จงได้ อย่ามัวพะวงหลงใหลเที่ยวไขว่ขว้าแสวงหาสมบัติอื่นใดให้วุ่นวายไปนักเลย ไม่สำเร็จประโยชน์ที่แท้จริงหรือเป็นแก่นสารอย่างไรหรอก จงเชื่อเถิด ทั้งนี้ก็เพราะสมบัติทั้งหลายอื่นไม่สามารถชักนำเราผู้มีกรรมให้พ้นไปจากเวร Ŧ5;รรมได้ แต่พระนิพพานสมบัติอันมีอยู่แต่เฉพาะพระพุทธศาสนา ควรจะนับได้ว่าเป็นยอดสมบัติทรงคุณประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติทั้งปวง เพราะอาจช่วยเราให้ล่วงพง้นจากกองทุกข์ใหญ่ในวัฏสงสาร อันเป็นการหมดสิ้นเวรกรรมทั้งหลายได้อย่างแน่นอน

ด้วย เหตุนี้ จึงขอให้ทานผู้มีปัญญาจงอนุสรณ์ถึงพระนิพพานสมบัติ แล้วรีบเร่งวิปัสสนากรรมฐานตามกระแสพระพุทธฏีกา เพื่อคว้าเอาพระนิพพานสมบัติมาไว้ในอุ้งหัตถ์แห่งตนเสียแต่บัดนี้ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ขอจงรับทราบไว้โดยตระหนักเถิดว่า เวรกรรมของเรานี้จะไม่มีวันสิ้นสุดลงไปเป็นอันขาด หากว่าไม่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามพระโอวาทานุสาสนี แต่เวรกรรมของเรานี้จะถึงความสิ้นสุดลงไปได้ ในเมื่อมีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามครรลองแห่งพระพุทธโอวาส ปราชญ์ทั้งหลายสรรเสริญสดุดีผูปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานว่า เป็นผู้สร้างปราการอันแข็งแกร่งสำหรับปิดกั้นอบายภูมิให้กับตน อันจะเป็นเหตุให้ล่วงพ้นมุขมณฑลแห่งมฤตยู เพื่อเดินทางเข้าไปสู่สถานถิ่นที่สิ้นเวรกรรมคืออมตมหานฤพาน ด้วยประการฉะนี้.

เทวดามีมากกว่าประชากรมนุษย์บนโลก

คนเราเกิดมาแต่ละคนเป็นแสนๆ ชาติ ในแต่ละชาติ บางครั้งเราเกิดเป็นคนจน บางครั้งเกิดเป็นเศรษฐี บางครั้งเราอาจจะได้เป้นกษัตริย์ บางครั้งเราอาจจะได้เป็นสัตว์ บางครั้งเราอาจจะลงนรก บางครั้งเราอาจจะขึ้นสวรรค์ เวียนว่ายตายเกิดไปตามบุญ ตามกรรม

การที่เราได้เกิดอยู่ในสามภพนี้ หนึ่งในภพเทวดา ในภพมนุษย์สอง แล้วก็ในภพสัตว์ต่างๆ หรือในนรกนะครับคือภพที่สาม เวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร เวียนว่ายตายเกิดกัน
ว่ากันว่า ปริมาณของคน จำนวนของคนมีน้อยมาก ถ้าคิดเป็นพื่นที่ อัตราส่วน เมื่อเทียบกับจำนวนเทวดา จำนวนคนมีเท่ากับปลายเข็มเย็บผ้า ในขณะที่จำนวนของเทวดา มีเท่ากับพื้นที่ของผิวโลกนี้ทั้งใบ คิด ดูนะครับ จำนวนคนแค่ปลายเข็บเย็บผ้าเท่านั้นเอง แต่ที่จำนวนเทวดาเยอะกว่ามากๆ เพราะมีเท่ากับพื้นที่โลกทั้งใบนั้น เทวดานี้มีเยอะๆ มากๆ

เทวดาก็คือสิ่งที่ขึ้นไปเสวยสุขแค่นั้นเอง โอกาสที่จะ ปฎิบัติกรรมสู้มนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์เรามีกาย มีเวทนา แต่เทวดาเขาก็ทำได้เหมือนกัน อย่างที่ผมเล่าให้ฟังนะครับ จำนวนเทวดามีเยอะๆ มากกว่าจำนวนคน แต่จำนวนเทวดาเท่ากับปลายเข็มหมุดคือ ปลายเข็บเย็บผ้า จำนวนสัตว์นรก หรือสัตว์เดรัจฉานต่างๆ มีเท่ากับจำนวนพื้นที่ผมโลกเช่นกัน

หลายคนเคยถามผมว่า "อาจารย์ครับ ผมไม่เชื่อเรื่องชาติก่อนชาติหน้า ชาติหลัง จำนวนมนุษย์เพิ่มขึ้นทุกๆปี จะเป็นไปได้อย่างไร"

ผมก็ตอบไปว่า"ก็เทวดาเขาลงมาเกิดไง หรือสัตว์ต่างๆ ขึ้นมาเป็นคนไง" ฉะนั้น การที่จำนวนมนุษย์เพิ่ม ก็ไม่ได้เกี่ยวกับอะไร

เรื่อง ของการเวียนว่ายตายเกิดนี่น่ากลัวมาก ถ้าเราไปเกิดในชาติซึ่งไม่มีใครมาสอนเราเรื่องการหลุดพ้น เรื่องของการดูจิต เรื่องของการเข้านิพพาน ก็เสียชาติเกิดไป

ผมจะอุปมาว่า วัฎสงสาร การเวียนวายต่ายเกิดต่างๆ อุปมาเหมือนทะเลเวิ้งว้างกว้างใหญ่ นิพพานคือเกาะๆ หนึ่งที่เรามองไม่เห็น ทะลนี้มืดมิดมาก เป็นตอนกลางคืน

ถ้าเราทำบุญมาเยอะ เท่ากับเราอยู่บนทุ่น เคยเห็นทุ่นไหมครับ? ที่เด็กเขาใช้ว่ายน้ำกันน่ะ ห่วงยางก็ได้ ทุ่นอันใหญ่แล้วเราก็ลอยตัว ในขณะที่เราได้บุญมาเยอะ ลอยตัว ก็เป็นคนนวย เป็นคนสวย เราไม่รู้ว่า ทิศทางที่จะเข้านิพพานไปทางไหน เรามัวหลง มัววุ่นวายในทางโลก วุ่นวายในทางสร้างสมมติ วุ่นวายในการแก่งแย่งสมมติ ในการชิงดีกัน วุ่นวายกับเรื่องไร้สาระต่างๆ

อายุเราตั้งแต่เกิด จนถึงยี่สิปปี วุ่นวายอยู่กับการเรียนหนังสือ อายุยี่สิบถึงสามสิบ ก็มาวุ่ยวายอยู่กับการทำงาน หาคู่ครอง สามสิบถึงสี่สิบวุ่นวายถึงการเลี้ยงลูก การสร้างฐานะ สี่สิบถึงห้าสิบ วุ่นวายถึงการรักษาฐาน การสะสมทรัพย์ ห้าสิบถึงหกสิบ ก็วุ่นวายถึงเรื่องหลังเกษียณอายุจะทำอะไร พอเกษียณถึงหกสิบ ก็มาวุ่นวายถึงเรื่องที่ไม่ได้ทำมาตั้งแต่เด็ก บางคนก็มาบ้าต้นไม้ บางคนก็บ้ากอล์ฟ ทำโน่นทำนี่ พอเจ็ดสิบ ก็ต้องมาเลี้ยงหลาน หรือป่วยไข้เสียก่อนแล้วก็ตายไปในที่สุด

ชีวิตคนเราผ่านอะไรๆ มาแล้วมาก คำว่าวัยนี้ "วัย" มันน่าจะสะกด คำว่า "ไว" ไวจริงๆ เห็นไหมครับว่าการเวียนว่ายตายเกิดแต่ละครั้ง เราได้เกิดมาเปนคนแล้ว เมื่อไหร่ล่ะเราจะหัดมาดูจิต การที่เราเห็นจิตเกิดอาการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มาเข้าใจการทำงานของขันธ์ 5 ให้รู้ว่านี่คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาทำงานกันอย่างไร โดยที่เห็นจริงๆ ไม่ได้รู้จากการอ่านหนังสือ เรามาเห็นการทำงานของจิต รู้เท่าทันการปรุงแต่งของจิต ก็เริ่มเห็นทางเข้าสู่นิพพานแล้ว

อุปมา เราลอยอยู่ในทะเลวัฎสงสาร แต่เรารู้ทิศทางที่เราจะว่ายไปแล้ว ออกแรงว่ายไปซะ อีกไม่นาน ด้วยบุญอันนี้ ก็จะพาเราไปให้ถึงฝั่งนิพพาน บางคนทำบุญมาเยอะ กินบุญเก่ามาเยอะ บางคนเป็นเศรษฐี อุปมามีห่วงยางใหญ่ลอย แต่ว่ายไปผิดทาง ห่วงยางอันนี้ พอเราตายไปก็ต้องเริ่มทำกันใหม่อีก คราวนี้อาจจะจมอยู่ใต้ทะเลาวัฎสงสารก็ได้ แล้วอาจจะหายไปเลยก็ได้นะครับ ผมก็อยากจะฝากพวกท่านว่า การเกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย

การฝึกธรรมะ อย่าไปแบ่งว่านี่เรื่องธรรมะนี่เรื่องของสมมติ เราไปแบ่งสมมิตกับธรรมะ อุปมาแบ่งเป็นซ้ายเป็นขวา อันนี้ผิด ผมอยากให้เห็นว่า ธรรมะกับเรื่องของทางโลก หรือที่เรียกว่า "สมมติ" อยู่ด้วยกัน

ธรรมะอยู่ในอก หรือที่เราเรียกว่าใจ สมมติมันอยู่ภาพนอก มันไปด้วยกันได้ เราอย่าไปมองว่า ธรรมะกับสมมติ มันอยู่กันคนละข้าง คนละตาชั่ง อยากให้มองกันใหม่ดั่งเรามองฝ่ามือ มันอยู่ด้วยกันนะครับ หลังมือเป็นสมมติ หงายมือออกมาก็เป็นวิมุตติ

หรืออยากจะอธิบายว่า เราทำงานของเรา เราก็ดูจิตไปด้วย อันนี้เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำงานไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย วัดนั้นอยู่ที่ใจ ไม่จำเป็นว่าเราต้องวิ่งไปหาวัด แต่ช่วงใหม่ๆ เราก็ต้องไป หาวัดก่อนในเบื้องต้น แต่พอเรียนรู้วิธีที่จะดูจิต ดูใจของเรา เราก็ยกวัด มาไว้ที่ใจ สถานที่ทำงานก็คือสถานที่ปฎิบัติธรรม ดูสิว่า โกรธเจ้านายไหม โกรธลูกน้องไหม โกรธลูกค้าไหม หลงไหม ตามความคิดเข้ามาทันไหม อันนี้เขาเรียกว่า บวชอยู่กับงาน

เมื่อกลับไปถึงบ้าน คู่ครองของเรานั่นแหละ คือครูสอบอารมณ์ ที่ดีที่สุดเลย ยิ่งมีลูกร้องกระจองงอแง ดูจิตไว้ อย่าจิตตก ลูกร้องกรี๊ด !! จิตแม่ก็ตกแล้ว ดูใจก่อน อย่าเพิ่งดูลูก ขณะเดียวกัน ก็ต้องดูลูกด้วย อย่าเอาแต่ดูใจ ของพวกนี้มันไปด้วยกัน ไปคู่กัน ขนานกัน ก็ต้องดูลูกด้วย อย่าเอาแต่ดูใจ ของพวกนี้มันไปด้วยกัน ไปคู่กัน ขนานกัน อุปมาคือ มือที่ยื่นออกไป แยกไม่ออกว่า อันไหนคือหน้ามือ อันไหนคือหลังมือ ฉนั้นการปฏิบัติธรรมอื่นนั้น เพราะว่าโอกาสเกิดเป็นคนน้อยมาก

การเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่แน่นะครับ ว่าเราตายไป เราจะได้เป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ เราอาจจะพลาด เราอาจจะเผลอ สติพลาดทำบาปลงไปโดยไม่รู้ตัว เราอาจจะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออาจจะขึ้นไป เป็นเทวดา ซึ่งการฝึกธรรมะนั้นยาก

ฉะนั้นอยากจะเข้านิพพานนะครับ รีบดูจืตไว้ ดูขันธ์ 5 ตามดู ความคิดให้ทัน หมั่นภาวนา และการรักษาศิล คือดูจิตนั่นเอง ทำทาน คือการทำทานที่ตัว ทานคือการให้ ให้สิ่งของที่ดี แต่ต้องมีสติด้วย แต่การทานที่ดี คือทานกิเลสออกจากใจ การให้อภัย การเสียสละ การอดทน อดกลั้น

ศิล 5 ก็เหมาะกับฆราวาส ศิล 227 ข้อก็เหมาะกับพระภิกษุสงฆ์ แต่ศิลที่ดีมากๆ ก็คือ อธิศิล นั่นคือ การรักษาจิตใจให้นิ่ง สงบ ไม่หวั่นไหวประดุจศิลา อันนี้เขาเรียกว่า ถือศิลข้อเดียว คือข้อที่เรียกว่า จิตว่าง ข้อเดียว คือการทำจิตให้ว่าง ยากกว่าถือศิล 5 เป็นไหนๆ แต่ถือว่าเป็นศิลขั้นสูง

ส่วนการภาวนา คือการทำจิตใจให้สงบ ใจจะสงบได้อย่างไร เราก็ต้องรู้ต้นตอสาเหตุว่า อะไรเป็นตัวการที่ทำให้ใจเราไม่สงบ ก็เจ้าขันธ์ 5 นั่นแหละ

หัดฝึกจิต อ่านหนังสืออย่างเดียวไม่สามารถช่วยพวกท่านได้ ต้องลองไปฝึกนะครับ กลัวตรงไหน ไปตรงนั้น ตามดูให้เท่าทัน ให้รู้ ถ้าเป็นไปได้ คบคนที่เขาเคยไปฝึกทางนี้มาแล้ว มีครูบาอาจารย์คอยช่วยเหลือ คอยแนะนำ จะทำให้การฝึกนั้นสนุกสนาน อย่าเอาแต่อ่านอย่างเดียว ฟังอย่างเดียว มันช้า อุปมาเหมือนกับเราไปสอบหนังสือเรียนคนเดียว อ่านหนังสือคนเดียวแล้วไปสอบ โอกาสได้คะแนนสูงมันน้อย สมัยนี้ต้องเรียนเป็นกลุ่ม เรียนแบบผุ้เรียนเป็นสำคัญ ช่วยกันติว ช่วยกันฝึก อ๋อ!! ขันธ์ 5 เขาดูกันอย่างนี้เองหนอ อันนี้เขาเรียกว่า ขันธ์ 5 เอง อ๋อ!! ความคิดจร เรียกกว่าสังขาร อ๋อ!! จิตเกิดเป็นอย่างนี้เอง อ๋อ!! ความคิดเกิดเป็นอย่างนี้เอง ความคิดเข้าไปกระตุ้นให้จิตเกิดนะครับ ดูให้ทัน

ผมจะพูดอีกทีนะครับ หนึ่ง ดูให้ทันความคิดที่มาทำให้จิตเกิดอาการ สอง ความคิดที่ออกมาจากจิต เกิดอาการออกไปแล้ว

อันที่หนึ่ง ความคิดที่ทำให้จิตเราเกิด อันนี้ส่วนใหญ่จะเกิดตอนที่จิตเราว่างๆ ไปสักพักหนึ่ง มีความคิดประหลาดเข้ามา ทำให้เราฟุ้งซ่านมีความแค้น ตรงนี้ดูให้ทัน หรือดูตัวนี้ไม่ทัน ดูง่ายกว่านี้นิดหนึ่ง คือเกิดอาการอกุศล ความคิดบ้าๆ บอๆ จะเยอะ รู้ตัวให้เท่าทัน เช่นรู้ตัวว่าโกรธสามี จังหวะนี้ ยังไม่ต้องเจรจาอะไรใดๆ ทั้งสิ้น รอก่อน รอให้นิ่งก่อน มิฉะนั้นจะเกิดเรื่องใหญ่...

ชาติที่แล้วคุณทำไรมา


1.
เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2.
เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3.
เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจนไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4.
เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5.
เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­รุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6.
เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7.
เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปั­­าดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8.
เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9.
เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือไม่ดูแคลนคนไร้­าติในชาติก่อน

10.
เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11.
เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12.
เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13.
เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14.
เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15.
เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­าอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16.
เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17.
เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18.
ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19.
ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

เวลาของโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ

พวก เราทุกคนเคยได้รู้มาได้ฟังมาว่า เวลาของสวรรค์ นรก หรือ เวลาของผู้ที่ตายไปนั้นช้ากว่าเวลาของโลกเรามากๆเช่น 1000ปีบนโลกมนุษย์อาจเท่ากับ1วันบนสวรรค์ เป็นต้น

หรือการที่มีคน บอกว่าคนตายกว่าจะรู้ตัวเองว่าตายไปนั้นก็ตั้ง3วัน 7วัน มีบ้างบางคนที่ฟื้นขึ้นมาเขาบอกว่าเวลาที่เขานอนหลับไป7วันนั้นน่ะ เขายังไม่ได้ไปไหนเลยเพียงแค่เห็นหมู่คนมากมายคุยกันยังไม่กี่คำก็ฟึ้นขึ้น มา

และจริงๆแล้วเรื่องเวลาที่แตกต่างกันนี้พระพุทธองค์ก็ได้พูดถึงมากว่า2500 ปีแล้วดังที่เราจะเห็นได้ในพระไตรปิฎก



จริงๆแล้วก็มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับกันในปจุบันที่ไอสไตน์ได้อธิบายไว้
แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจดังนี้ก่อนนะครับว่า
นักวิทยาศาสตร์อาจทำใจยอมรับวิญญาณได้ หากมองว่าวิญญาณเป็น พลังงานอย่างหนึ่ง

และหากเรามองเหมือนนักวิทยาศาตร์ว่าวิญญาณคือ พลังงานอย่างหนึ่ง
ผมจะอธิบายด้วยตัวอย่างง่ายๆนะครับ ซึ่งอัลเบิร์ต ไอสไตน์ พูดถึงเรื่องพลังงานดังนี้ครับ

1.วัตถุ ใดมีขนาดเล็กมากไปถึงขนาดของอะตอม เรียกวัตถุนั้นว่า พลังงาน เช่นถ้าเราสามารถย่อตัวเราให้เล็กลงไปถึงขนาดอะตอม ตัวเราก็จะถูกเป็นพลังงานเช่นกันครับ
2.วัตถุใดที่เคลื่อนที่ได้เร็ว เวลาบนวัตถุนั้นจะช้ากว่า เช่นถ้ามีรถอยู่2คัน แล้วเราเอาคนฝาแฝดไปอยู่บนรถคนละคันนะครับ รถคันแรกวิ่งเร็วกว่ารถคันที่สอง โดยรถคันแรกวิ่งด้วยความเร็ว 3000 กิโลเมตรต่อ ชั่วโมง รถคนที่สองวิ่งด้วยความเร็ว300กิโลเมตรต่อชั่วโมง แฝดที่อยู่บนรถคันแรกจะแก่ช้ากว่าแฝดอีกคนที่อยู่บนรถคันที่สองครับ เพราะเคลื่อนที่เร็วกว่า เวลาจะเดินช้ากว่า ความคิดนี้เองเป็นบ่อเกิด time machine เครื่องเดินทางข้ามอนาคตขึ้นมา
3.โดยปกติพลังงานส่วนมากการ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง คือ ประมาณ300000กิโลเมตรต่อวินาที ถ้าคิดไม่ออกว่าเร็วขนาดไหน ให้ลองสังเกตดูว่าตอนที่เราคุยโทรศัพท์กับเพื่อนต่างจังหวัดน่ะ เช่นคุยกับเพื่อนที่อยู่เชียงใหม่เพื่อนพูดมาเราได้ยินทันทีเลยหรือเราพูดไป เพื่อนก็
ได้ยินทันทีเลย เพราะว่าสัญญาณเสียงถูกส่งออกไปกับสัญญาณวิทยุที่มีความเร็วประมาณ300000กม./วินาที



ทีนี้จาก3ข้อด้านบนแล้วเราลองมาคิดตามนะครับ

1.ถ้า วิญญาณเป็นพลังงาน ก็แสดงว่าวิญญาณก็เคลื่อนที่ได้เร็วเช่นกัน มีคนเคยบอกว่า คนตายนั้นเพียงแค่เขาคิดถึงใครวิญญาณเขาก็ปิ๊งไปหาคนนั้นทันที คิดถึงอะไรก็จะไปหาสิ่งนั้นทันทีเลย
2.ถ้าวิญญาณเคลื่อนที่ได้เร็วขนาด นั้น ก็เข้าสู่กฎที่ว่า วัตถุใดมีความเร็วใกล้ความเร็วแสงเวลาที่วัตถุนั้นจะช้ามาก ทีนี้ก็ตรงกับที่เราได้ฟังมาว่า เวลาของสวรรค์ นรก และโลกคนตายจะช้ากว่าโลกมนุษย์ครับ

นักวิทยาศาตร์เชื่อทฤษฎีนี้ก็ ตอนที่มีดาวเทียมขึ้นไปลอยรอบโลก เพราะเวลาบนดาวเทียมจะช้ากว่าเวลาบนโลกครับ ก็ดาวเทียมโคจรรอบโลกประมาณ 24000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงต้องมีการชดเชยเวลาที่เสียไปเมื่อดาวเทียมทวนสัญญาณมายังโลก

แผนที่นรก จากจารึกโบราณ




ภาพ แนวตัด และ แนวขวางไล่เอาเองนะ ไม่ยาก เว้น โลกันตนรก
สิ่งที่ควรรู้ 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร

ตายแล้วไปไหน ?

ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิ ได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ

1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท

- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก

เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?

ดวง วิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่

วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับ งานศพ

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก

วิญญาณผู้ตาย ต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรม ดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สอง

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สาม

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด

เจ็ดวันรอบที่ สี่

เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ ห้า

วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่ หก

เมื่อวิญญาณผู้ ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด

เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...

ภพ 31 ภูมิ ในตำแหน่งต่างๆ ของจักรวาฬ



ภพ 31 ภูมิ
ในตำแหน่งต่างๆ ของจักรวาฬ

-วัฏสงสาร-


การ ที่สัตว์ในโลกทั้งปวงทุกรูปทุกนาม ต้องท่องเที่ยววนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหลายคือต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก ต่างๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุดนั้นในทางพระพุทธศาสนาเรียกชื่อว่า วัฏสงสาร = การท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิด เพราะวัฏฏะวนเวียน วัฏสงสารนี้ เมื่อจะจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ก็มีอยู่ด้วยกัน ๓ ประเภท คือ ๑. เหมฐิมวัฏสงสาร การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นต่ำชั้นทรามอันมีความทุกข์มาก หรือมีทุกข์โดยส่วนเดียว กล่าวคือ นิรยภูมิ เปตติวิสยภูมิ อสุรกายภูมิ ติรัจฉานภูมิ ๒. มัชฌิมวัฏสงสาร การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นกลาง เป็นโลกชั้นดี มีโลกิยสุขพอประมาณคือมีสุขบ้างทุกข์บ้างหรือมีสุข โดยส่วนเดียวแต่เป็นสุขชั้นโลกีย์ ซึ่งมีอยู่ ๗ ภูมิ คือ มนุสสภูมิ จาตุมหาราชิกาภูมิ ตาวติงสภูมิ ยามาภูมิ ตุสิตาภูมิ นิมมานรดีภูมิ ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ๓. อุปริมวัฏสงสาร การท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตายอยู่ในภูมิชั้นสูง อันเป็นภูมิชั้นดีวิเศษมีสุขมากแต่ยังเป็นสามิสสสุข คือเป็นสุขเจือทุกข์ ซึ่งมีอยู่ ๒๐ ภูมิคือรูปภูมิ ๑๖ ภูมิและอรูปภูมิ ๔ ภูมิ บรรดา ภูมิทั้ง ๓๑ ภูมินี้ ยกเว้นสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ แล้ว ย่อมเป็นที่ อุบัติเกิด เป็นที่อยู่และเป็นที่ตายแห่งสัตว์ทั้งหลายทุกรูปทุกนามสัตว์โลกทั้งหลาย ย่อมต้องท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตาย อยู่ในภูมิ เหล่านี้เรื่อยไปไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ต้องอยู่ภายในวัฏสงสารนี้ มิภูมิใดก็ภูมิหนึ่งอย่างแน่นอน

ภูเขาสิเนรุ
เป็นศูนย์กลางของมงคลจักรวาล คือ จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้
เป็นเขาที่ละเอียดมองไม่เห็นด้วยตา
จักรวาลหนึ่ง ๆ วัดโดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์
ส่วนที่เป็นพื้นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์
โดยมีพื้นน้ำรองรับหนา ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์
น้ำนี้ตั้งอยู่บนลม ซึ่งมีความหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์
เขาสิเนรุ เป็นภูเขาสูงสุดตั้งอยู่ท่ามกลางจักรวาล
ยอดเขาสิเนรุ เป็นผืนแผ่นดินแห่งแรก
ที่โผล่ขึ้นหลังจากโลกธาตุได้ถูกทำลายลงด้วยน้ำ
ซึ่งทำลายขึ้นไปจนถึงเทวโลก และพรหมโลก
คือ ถึง ชั้นสุภกิณหา (ตติยฌานภูมิ ๓)
แผ่นดินที่โผล่เป็นครั้งแรกนี้ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น ดาวดึงสาภูมิ
ภูมิที่อยู่สูงขึ้นไป คือ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี
ต่อจากนั้นก็เป็นภูมิของ รูปพรหม ๑๖ ชั้น และ อรูป พรหม ๔ ตามลำดับ
ภูมิเหล่านี้สถิตอยู่สูงขึ้นไป ต่อจากยอดเขาสิเนรุทั้งสิ้น

ขุนเขาสิเนรุ สูง ๑๖๘,๐๐๐ โยชน์
จมอยู่ในมหาสมุทรสีทันดรครึ่งหนึ่ง
คือหยั่งลงสู่ห้วงน้ำ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
และสูงขึ้นไปในอากาศ ๘๔,๐๐๐ โยชน์
วัดรอบเขาได้ ๒๕๒,๐๐๐ โยชน์ พื้นดินยอดเขาประกอบด้วย
รัตนะ ๗ ตามไหล่เขา ๔ ด้าน...ด้านตะวันออกเป็น เงิน
ด้านตะวันตก เป็น แก้วผลึก...ด้านใต้ เป็นแก้ว มรกต
ด้านเหนือเป็น ทอง...น้ำในมหาสมุทร อากาศ ต้นไม้ ใบไม้
ที่อยู่ในด้านนั้น ๆ จะเป็น สีน้ำเงิน สีผลึก สีเขียว สีทอง
ตามสีของไหล่เขานั้นด้วย

กลางเขาสิเนรุ เป็นที่ตั้งของเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกาภูมิ
รอบเขาทั้ง ๔ ทิศ เป็นที่สถิตของท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ
ท้าวธตรัฏฐ ประจำอยู่ทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหก ประจำอยู่ทิศใต้
ท้าววิรุฬปักข์ ประจำอยู่ทิศตะวันตก และท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
ประจำอยู่ทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ เป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแล
เทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ทั้งหมด รวมทั้งมนุษยโลกของเราด้วย

ตอนกลางของภูเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงตอนใต้พื้นมหาสมุทร
มีชานบันไดเวียน ๕ รอบ คือ
ชั้นที่ ๑ ที่อยู่ใต้พื้นน้ำ เป็นที่อยู่ของพญานาค
ชั้นที่ ๒ เป็นที่อยู่ของครุฑ
ชั้นที่ ๓ เป็นที่อยู่ของ กุมภัณฑ์เทวดา
ชั้นที่ ๔ เป็นที่อยู่ของยักเทวดา
ชั้นที่ ๕ เป็นที่อยู่ของ จาตุมหาราชิกา ๔ องค์

รอบเขาสิเนรุ มีภูเขาล้อมรอบอยู่ ๗ รอบ
เป็นภูเขาทิพย์ เรียกว่า สัตตบรรพ์
รอบที่ ๑ ชื่อว่า ยุคันธร
รอบที่ ๒ ชื่อว่า อีสินธร
รอบที่ ๓ ชื่อว่า กรวิก
รอบที่ ๔ ชื่อว่า สุทัสสนะ
รอบที่ ๕ ชื่อว่า เนมินธร
รอบที่ ๖ ชื่อว่า วินัตตถะ
รอบที่ ๗ ชื่อว่า อัสสกรรณ

นอกจากนี้ ยังมีภูเขาจักรวาล ซึ่งเป็นภูเขาที่กั้นระหว่างจุฬโลกธาตุด้วย

ในสารัตถทีปนีฎีกา กล่าวไว้ว่า
มหานรก ทั้ง ๘ ขุม และ อุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกบริวารของมหานรก
ตั้งอยู่ที่ใต้พื้นดินธรรมดา ลึกลงไปตรงกันกับชมพูทวีป
รวมเนื้อที่กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ สูง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นรูปสี่เหลี่ยม

ตำนานแห่ง ผีเปรต



ใน ไตรภูมิพระร่วง ตอนเปรตภูมิ

กล่าว ถึงพวกเปรตมากมายหลายจำพวก มีถิ่นฐานอยู่รอบเมืองราชคฤห์ หลางสมุทร เหนือเขา กลางเขา ที่มีปราสาทอยู่ก็มี ที่มีพาหนะยวดยานเที่ยวไปในอากาศก็มี เมื่อเดือนแรมเป็นเปรต เดือนขึ้นเป็นเทพยดา หรือกลับกันก็มี แฝงต้นไม้ใหญ่อยู่ หรืออยู่บนที่ราบก็มี เป็นพวกผีเสื้อ ผีในต้นไม้ก็มี เป็นพวกผีปีศาจซ่อนตนอยู่ในแผ่นดินก็มี มีอายุยืนต่างๆกัน ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ตลอดถึงกัปกัลป์พุทธันดร ต้องทนอดอยากทุกข์ยากต่างๆ จำพวกหนึ่ง

ตัว งามดั่งทอง ปากเหม็นหนักหนา หนอนเต็มปาก บ่อนกินปากเจาะกินหน้าตา เพราะได้รักษาศีลเมื่อก่อนจึงมีตัวงาม ปากเหม็นหนอนบ่อนกินปาก เพระได้ติเตียนยุยงสงฆ์ให้ผิดกัน จำพวกหนึ่งเป็นหญิง (หรือชาย) มีตนเหม็นหนักหนา

แมลงตอมอยู่ทั่ว เจาะกินตนผอมหนักหนา หาเนื้อมิได้เลย เอ็นหนังพอกกระดูกอยู่ อดอยากหนักหนา กินเนื้อลูกตนเอง เพราะ เมื่อเป็นคนอยู่ หลอกให้ยาแท้งแก่หญิงมีครรภ์ และสบถว่า ถ้าให้ยาลูกตกก็ให้เป็นเปรตเหมือนอย่างนั้น

จำพวกหนึ่งเป็นหญิง (หรือชาย) อดอยากหนักหนา

เห็น ข้าวน้ำหยิบมาก็เป็นก้อนอาจม เป็นเลือดเป็นหนอง เห็นผ้าเอามาห่มก็กลายเป็นแผ่นเหล็กแดงไหม้ทั้งตัว เพราะเมื่ออยู่เป็นคน ขึ้งเคียดด่าทอสามี (หรือภรรยา) ผู้บริจาคทาน ให้ไปกินข้าวน้ำที่กลายเป็นอาจมเลือดหนอง ให้ใช้ผ้าผ่อนที่กลายเป็นเหล็กแดง

จำพวกหนึ่ง ตนใหญ่สูงเพียงลำตาล

ผม หยาบตัวเหม็น อดอยากไม่มีข้าวสักเมล็ดน้ำสักหยาดเข้าท้อง เพราะเมื่อกำเนิดก่อนตระหนี่นัก ไม่มักทำบุญทาน ทั้งห้ามปรามผู้อื่นมิให้ทำ

จำพวกหนึ่ง สองมือกอบเอาข้าวลีบลุกเป็นไฟมาใส่บนหัวตัวเอง

เพราะเมื่อกำเนิดก่อนเอาข้าวลีบปนข้าวดีไปลวงขาย



จำพวกหนึ่ง เอาฆ้อนเหล็กแดงตีหัวตัวเอง

เพราะเมื่อกำเนิดก่อนได้ตีศีรษะพ่อแม่ด้วยมือไม้หรือด้วยเชือก

จำพวกหนึ่ง เป็นหญิงมีเล็บมือใหญ่ยาวและคมดั่งมีดคมกริบ

ขูดเนื้อหนังของตนเองกิน เพราะลักเนื้อของผู้อื่นแล้วปฏิเสธ ด้วยสบถให้เป็นไปอย่างนั้น

เปรตจำพวกต่างๆในไตรภูมิพระร่วง

ดู รายชื่อคัมภีร์ที่ค้นมาเรียบเรียงก็เห็นได้ว่าเก็บจากคัมภีร์สายเถรวาท หรือพระพุทธศาสนานิกายสายใต้ แสดงลักษณะทรมานต่างๆ และแสดงกรรมที่กระทำในชาติก่อนด้วย แต่ของบางจำพวกดูก็ไม่ค่อยเหมาะสม พระอาจารย์น่าจะเก็บเปรตมาจากที่ต่างๆ และแสดงกรรมกำกับไว้ แต่ก็มีลักษณะเป็นเปรตมากกว่าเปรตทางสายธิเบต เพราะทางนิกายสายใต้นี้มีลักษณะตรงกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ทนทุกข์ทรมานด้วยตนเอง ตนเองเป็นผู้หิวกระหาย ถูกไฟไหม้ ถูกสัตว์บ่อนกัดกิน เป็นต้น มิได้เที่ยวไปทำร้ายใคร

ส่วนเปรตทางนิกายสายเหนือ

มี ลักษณะเป็น ปีศาจ หรือผีที่เที่ยวไปทำร้ายคน หรือสัตว์ดิรัจฉานอื่นๆด้วย แต่ทั้งสองสายก็มีลักษณะตรงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า เปรตต่างจากสัตว์นรก นรกนั้นเป็นสถานทรมานที่มีอยู่ส่วนหนึ่ง เทียบอย่างคุกตะราง สัตว์นรกรวมอยู่ในคุกนรกนั้น ส่วนเปรตอยู่ในที่ต่างๆบนโลก เป็นที่จำกัดบ้าง ไม่จำกัดบ้าง เป็นพวกมีร่างกายพิกลพิการอดอยากยกแค้น ทนทุกข์ทรมานในลักษณะต่างๆ เทียบด้วยคนอดอยากอยากแค้นไม่สมประกอบ พิกลพิการ มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งในที่ต่างๆ หรือเที่ยวเร่ร่อนไป ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

บั้งไฟพญานาค

ถึงวัน ออกพรรษา 15 ค่ำเดือน 11 ทีไร..สิ่งที่นึกถึงอยู่ทุกปี ก็คงจะหนีไม่พ้น ดวงไฟสีขาวที่พุ่งขึ้นจากกลางลำแม่น้ำโขง ที่หลายๆคนเรียกว่า บั้งไฟพญานาค ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว หลายปี หลายยุค หลายช่วงชีวิตคน จนเรียกสิ่งนี้ได้ว่าเป็น ตำนาน ก็อาจจะได้..แต่ถึงจะมีมายาวนานขนาดไหน ก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เรามองเห็นมันคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

ปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์ที่มีลูกไฟมหัศจรรย์พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง ที่เรียกว่ามหัศจรรย์นั้น เพราะเป็นการยากที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมจึงเกิดขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แม้ว่าวันออกพรรษาของแต่ละปีจะไม่ตรงกับวัน และที่สำคัญทำไมถึงต้องเกิดขึ้นเฉพาะที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี และอำเภอบึงกาฬ ของจังหวัดหนองคาย เท่านั้น ทั้งๆที่แม่น้ำโขงไหลผ่านหลายดินแดน

บั้งไฟพญานาค เป็นลูกไฟที่พุ่งขึ้นสู่อากาศแก้วก็จางหายไป เกิดขึ้นทั้งกลางแม่น้ำโขง และบริเวณใกล้ๆ ฝั่ง ขึ้นสูงประมาณ 30-50 เมตร บางแห่งขึ้นสูงเป็น 100 เมตร ขนาดของลูกไฟที่เกิดขึ้นนั้น ขนาดโตเท่าผลส้ม ขนาดกลางเท่าไข่ไก่ และขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ เวลาที่เกิดไม่แน่นอนแต่ต้องมืดค่ำก่อนจึงจะเกิด ด้านจำนวนที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่เท่ากัน บางแห่งเกิดขึ้นเพียง 1 ลูก บางแห่งเกิดขึ้น 20 ลูก หรือบางแห่งก็เกิด 50-100 ลูก

ส่วนทางแม่น้ำโขง สถานที่เกิดบั้งไฟพญานาค ก็มีความยาวร่วมกว่า 4,000 กิโลเมตร เริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศจีน ไหลผ่านพม่า ไทย ลาว กัมพูลา และเวียดนาม ประชาชนที่อยู่อาศัยอยู่ตามสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง ต่างก็มใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านเกษตรกรรม การบริโภค เลี้ยงสัตว์ การคมนาคม การประกอบพิธีกรรมทางน้ำ ตลอดจนถึงการพักผ่อนหย่อนใจ ประชาชนไทยลาว ซึ่งเป็นประเทศที่มีลำน้ำโขงกั้นกลาง และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ต่างก็มีความสัมพันธ์กันมานาน ในปีหนึ่งๆ จะมีผู้เสียชีวิตในลำน้ำโขงปีละไม่น้อย พวกที่เสียชีวิตในลำน้ำโขง คนเฒ่าคนแก่เชื่อว่าเป็นการกระทำของเทพเจ้าทางน้ำ [ชาวบ้านเรียกกันว่าเงือก]

เทพเจ้าทางน้ำที่ชาวบ้านลุ่มแม่น้ำโขงนับถือก็คือ

เจ้าแม่สองนาง” เพื่อเป็นการเซ่นไหว้ และลดการเสียชีวิตของผู้ประกอบการทางน้ำ จึงปรากฏเห็นศาลเจ้าแม่สองนางตามแถบลุ่มแม่น้ำโขงทั้งสองฟากฝั่ง เช่น ศาลเจ้าแม่สองนาง ที่วัดหายโศก อำเภอเมืองหนองคาย , ศาลเจ้าแม่สองนางที่บ้านจอมนาง อำเภอโพนพิสัย ศาลเจ้าแม่สองนางที่หน้าโรงพยาบาล .บึงกาฬ ในรอบปีจะมีพิธีบวงสรวงเจ้าแม่สองนางเพื่อให้เจ้าแม่ปกป้องคุ้มครองไม่ให้ประสบภัยอันตรายและเกิดสิริมงคลแก่ผู้ประกอบการทางน้ำ

พญานาค งู เงือก คือเทพเจ้าทางน้ำ ซึ่งเป็นความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น จริงเท็จอย่างไรนั้นยากแก่การพิสูจน์ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวัน แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ที่พี่น้องอาศัยอยู่ตามริมแม่น้ำโขงเรียกกันติดปากมาแต่ตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่าบั้งไฟพญานาค” หรือบั้งไฟผี” ซึ่งมีความเป็นมาจากการเล่าของคนเฒ่าคนแก่คู่หนึ่ง

ผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่าในคืนวันเพ็ญเดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ เมื่อนั่งเรือออกไปหาปลากลางแม่น้ำโขงจะเกิดมีลูกไฟขึ้นรอบ เรือเป็นจำนวนมาก จนเกิดความกลัวต้องพายเรือเข้าหาฝั่ง ซึ่งเท่าที่สังเกตปรากฏการณ์นี้ก็จะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนดังกล่าวเท่านั้น ต่อมาทางอำเภอโดนพิสัยได้จัดงานไหลเรือไฟ และชมบั้งไฟพญานาค มีการประชาสัมพันธ์กัน ประชาชนจากทั่วสารทิศ ได้มากันมาดูบั้งไฟพญานาคสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขง บางคนก็มาด้วยการอยากรู้เพื่อพิสูจน์ด้วยตาตนเอง ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้ที่มาดูผิดหวัง


คนที่มาดูจากทั่วสารทิศเมื่อเห็นกับตาตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ คิดว่าจะต้องมีคนทำขึ้นเองบ้าง ความคิดจึงได้แตกต่างกันออกไปแต่ก็พอแยกได้คือ

1.
กลุ่มคนรุ่นใหม่คือพวกหัววิทยาศาสตร์ ซึ่งก็มีความเชื่อว่าลูกไฟที่พุ่งขึ้นมานั้นเป็นการรวมตัวกันของก๊าซ หรือแร่ธาตุ เมื่อรวมตัวกันแล้วถูกแรงอัดพุ่งขึ้นเหนือน้ำทำให้เกิดปาฏิกิริยากับอากาศแล้วเกิดแสงสว่างขึ้น แต่ก็มีผู้แย้งว่า ทำไมต้องมาเกิดเฉพาะวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เท่านั้น

2.
กลุ่มไม่แสดงความคิดเห็น ดูแล้วเห็นว่ามีลูกไฟขึ้นมาจากลำแม่น้ำโขง

3.
กลุ่มหัวโบราณ มีความเชื่อว่าลำแม่น้ำโขงเป็นที่อยู่ของพวกนาค ซึ่งเป็นเทพพวกหนึ่ง สามารถแปลงกายเป็นงู หรือคนได้ ลำน้ำโขงบริเวณอำเภอโพนพิสัย เป็นภพหรือเมืองหน้าด่านที่เป็นทางขึ้นสู่เมืองมนุษย์ของเหล่าพญานาค ในทุกคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากดวงดึงส์มาสู่โลกมนุษย์ในวันรุ่งขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับพระพุทธองค์ เหล่าบรรดาพญานาคที่อยู่ตามลำแม่น้ำโขงจึงทำบั้งไฟถวายเป็นพุทธลูกไฟ พุ่งขึ้นมาตามลำแม่น้ำโขง จึงเรียนกันว่าบั้งไฟพญานาค”

ที่สำคัญคนยังรู้ไม่มากก็คือ ตลอดลำแม่น้ำโขง ระยะความยาว 4,000 กิโลเมตรนี้ ตรงที่ลึกที่สุดที่เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" อยู่ที่แก่งอาฮง คนเฒ่าคนแก่เคยวัดโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไปวัดได้ 98 วา ซึ่งบริเวณนี้จะมีน้ำไหลวนที่แรงมากๆ แต่เมื่อหน้าแล้งกลับจะเห็นได้ชัดเจนมากๆ ซึ่งมีความเชื่อว่าบริเวณนี้มีถ้ำขนาดใหญ่ ที่จะไปทะลุถึงที่ฝั่งลาวได้

นอกจากนี้แก่งอาฮงจะเป็นที่ลึกสุดของแม่น้ำโขงแล้ว ยังเป็นภพ หรือเมืองหลวงของพญานาค บางวันคนเฒ่าคนแก่บอกว่าระหว่างแก่งอาฮงจะมีลักษณะ เหมือนงูขนาดใหญ่ว่ายข้ามมาจากฝั่งไทยไปยังฝั่งลาว ในลักษณะตรง น้ำแตกเป็นฟอง ถ้าหากไปดูบริเวณริมฝั่งโขงจะเห็นรอยพญานาคปรากฏอยู่ และทางด้านฝั่งตรงข้ามกับแก่งอาฮงจะมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์อยู่องค์หนึ่งริมแม่น้ำโขง และในวันขึ้น 15 ค่ำ จะมีเหล่าวิญญาณต่างๆ มาทำเสียงไม่เหมือนเสียงมนุษย์มาชุมนุมกันทำพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เรื่องนี้หากถามผู้เฒ่าผู้แก่ท่านก็จะพูดให้ฟังได้ถึงเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้น ทุกๆ ปี ตลอดเป็นที่รวมของเหล่าวิญญาณต่างๆ ด้วย

จากการบอกเล่าของพ่อเฒ่าอุ่นหล้า อัศศมนตรี อายุ 91 ปี อยู่บ้านเลขที่ 435 คุ้มวัดศรีคุณเมือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในสมัยหนุ่มๆ เป็นนายท้ายเรือที่ล่องเรือไปมาระหว่างหนองคาย-บึงกาฬ เมื่อถึงฤดูน้ำเต็มตลิ่ง เมื่อผ่านมาถึงแก่งอาฮง บริเวณที่เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" จะเห็นสิ่งประหลาดห่างจากเรือประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นลักษณะคล้ายต้นตาลขนาดใหญ่ ไม่มีใบราวๆ 2 เมตร มีละอองน้ำเป็นแตกฝอยๆ รอบ ต้น มีสีดำมัน แต่เมื่อเดินเรือเข้าไปใกล้ๆ จะไม่มีอะไร ทำให้ผู้คนที่เดินทางตามลำน้ำ เมื่อผ่านบริเวณนี้ก็จะนำพวกหมากพลู เหล้าขาว โยนลงไปในน้ำเพื่อเป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง บริเวณแก่งอาฮงมีความประหลาดอีกประการคือ ศพจะไหลไม่พ้นแก่งอาฮง เมื่อมีคน หรือศพตกลงในแม่น้ำโขงเหนือแก่งอาฮงไม่ว่าที่ใด ถ้าหาศพไม่พบจะหาพบได้ที่นี่ คือแก่งอาฮง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่จะต้องหาทางพิสูจน์ต่อไป ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร เชื่ออย่างไร แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 คือวันออกพรรษา หากใครไม่เชื่อก็ไปพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ที่บริเวณอำเภอโพนพิสัย กิ่งอำเภอรัตนวาปี และบริเวณแก่งอาฮง ตำบลหอคำ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย.