2553/02/28

สร้างรอยยิ้มจากดวงตาทำอย่างไร ?

How to Smile With the Eyes?
นักวิทยาศาสตร์มีข้อสันนิฐานว่ายิ้มของมนุษย์นั้นมีถึงกว่า50 แบบ เหตุผลที่รอยยิ้มของคนเราถึงได้มีมากมายหลายแบบนาดนั้น ก็เพราะกล้ามเนื้อส่วนหน้าของเรามีอยู่มากและทุกส่วนเชื่อมโยงถึงกัน

1. มีความสุขอยู่เสมอ ทำตัวเองให้มีความสุข และก็ทำให้ผู้อื่นมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องไปสรรหาวิธีอื่นๆให้ยุ่งยากวุ่นวายเพียงแค่ ใช้รอยยิ้มของเราเอง มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เพราะถึงแม่ว่าเราจะเจอสิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจ ไม่ชอบ หรือมีคนมาทำให้โมโห ลองคิดในแง่บวกเข้าไว้ แล้วจะพบว่า ในเรื่องร้ายๆมันมักจะมีเรื่องดีๆแฝงอยู่เสมอ


2. ลองหาที่ที่เรารู้สึกมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ที่นั่น หรืออย่างเช่นเวลาไปออกกำลังกาย อาจจะช่วยเราจดจำช่วยเวลาที่เรามีรอยยิ้มแห่งความสุขได้


3. ลองดูรูปถ่ายเก่าๆของตัวเอง และเขียนความแตกต่างของวิธีที่เราใช้ยิ้มในภาพถ่ายแต่ละภาพ สังเกตดูรอยยิ้มของตัวเองให้ดีๆ และตัวเองคิดว่ารอยยิ้มแบบไหนของตัวเอง เป็นรอยยิ้มจากดวงตา "smiley eyes" โดยเฉพาะเวลาที่เราหัวเราะ และผู้คนรอบข้างรู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลายสบายๆกับรอยยิ้มในครั้งนั้น นั่นแหละเป็นรอยยิ้มจากดวงตาของเรา


4. ในขณะเดียวกัน รอยยิ้มจากรูปถ่ายตอนเด็กส่วนใหญ่ก็จะเป็นรอยยิ้มแห่งความบริสุทธิ์ที่ฉายมาทางดวงตาเช่นกัน

5. ทดสอบตัวเองโดยการ หาอะไรมาปิดหน้าเอาไว้ให้เหลือแต่ดวงตา หากระจกมาส่อง แล้วลองนึกถึงภาพเหตุการณ์ หรือสิ่งที่ทำให้เรายิ้มได้ ลองสังเกตแววตาของตัวเองดูซิว่า นั่นเป็นแววตาที่มาจากใจของเราจริงๆหรือเปล่า และถ้าหากเรามองแต่ดวงตา โดยที่ไม่เห็นรอยยิ้ม คนอื่นที่มองจะสามารถเห็นรอยยิ้มผ่านดวงตาของเราได้หรือไม่


การยิ้มเป็นการผ่อยคลายกล้ามเนื้อได้อีกวิธีหนึ่งก็อย่าลืมทำจิตใจให้เบิกบาน มองโลกในแง่ดีแล้วเราก็จะมีรอยยิ้มที่สดใส ออกมาจากดวงตาและจิตใจของเราเองแหละจ้า

Cc กับ Bcc ใน E-mail คือ??

อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า E-mail (Electronic mail) คือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่เอาไว้ส่งข้อความ รูปภาพ ผ่านระบบเชื่อมโยงอินเตอร์เน็ต เคยสังเกตการส่ง E-mail กันบ้างรึเปล่าจ้ะว่านอกจาก To แล้ว ยังมี Cc และ Bcc อีกด้วย แล้วมันแตกต่างกันยังไงนะ

E-mail ย่อมาจาก Electronic Mail >> เริ่มใช้กันในปี ค.ศ. 1965 เป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ที่ส่งข้อความจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง สามารถที่จะแนบไฟล์ภาพ หรือไฟล์ต่างๆ ลงไปได้ด้วย โดย E-mail ฉบับจะถูกเก็บรักษาไว้ในเมล์บล็กซ์ของผู้รับ รอจนกว่าผู้รับจะมาเปิดอ่าน

Cc ย่อมาจาก Carbon Copy >> E-mail ที่กรอกอยู่ในช่อง Cc จะได้รับข้อความเหมือนกับในช่อง To ทุกประการ แต่จะมีจุดที่แตกต่างกัน คือ ผู้รับไม่จำเป็นต้องตอบกลับ เพราะ E-mail ฉบับนี้เป็นเพียงแค่สำเนาที่ต้องการแจ้งให้ทราบเพียงเท่านั้น


Bcc ย่อมาจาก Blind Carbon Copy >> E-mail ที่กรอกอยู่ในช่อง Bcc จะได้รับข้อความที่เหมือนกับในช่อง To และ Bcc ทุกประการ แต่จะมีจุดพิเศษและไม่เหมือนอยู่ที่ ผู้รับในช่อง To และ Bcc จะไม่เห็น E-mail ในช่องนี้

10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประโยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย

จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ

ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ

ดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง

และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิสคือ
น้ำทับทิม
ไวน์แดง
น้ำองุ่นคอนคอร์ด
น้ำบลูเบอร์รี่
น้ำแบล็กเชอร์รี่
น้ำอะซาอี
น้ำแครนเบอร์รี่
น้ำส้ม
น้ำชา
และน้ำแอปเปิ้ล

เพิ่งจะรู้เหมือนกันนะเนี่ยว่าน้ำผลไม้เหล่านี้ก็มีประโยชน์ไม่น้อยเหมือนกัน

2553/02/27

ช็อกโกแลต.

ช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกเลต (Chocolate) คือผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลก

ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม "ช็อกโกแลต" หรือบางส่วนของโลกในนาม "โกโก้"

ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อแตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกา อุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้ว่า

โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้
เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้
ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของต้นโกโก้และเนยโกโก้
ช็อกโกแลตคือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของฝักถั่วโกโก้และเนยโกโก้ ซึ่งได้ผสมน้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ และถูกทำให้อยู่ในรูปของแท่งและรูปอื่น ๆ

เมล็ดของต้นโกโก้นอกจากทำเป็นช็อกโกแลตได้แล้วยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มช็อกโกแลตนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอัซเตก (Aztecs) หลังจากนั้นโดยชนเผ่าอินเดียนแดงและชาวยุโรป

บ่อยครั้งที่ช็อกโกแลตมักจะถูกทำให้อยู่ในรูปของสัตว์ต่าง ๆ คน หรือวัตถุในจินตนาการ เพื่อร่วมในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น รูปกระต่าย รูปทรงไข่ในเทศกาลอีสเตอร์ รูปของเหรียญหรือซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาส และรูปทรงหัวใจในเทศกาลวาเลนไทน์


ช็อกโกแลตถูกค้นพบมาตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว หลังสมัยพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาเคา (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกา จัดอยู่ในตระกูล Theobroma cacao แปลว่า "อาหารแห่งทวยเทพ"

ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในเม็กซิโก และอเมริกากลาง ชนกลุ่มนี้ได้แก่ชาวมายา และชาวแอซเทค แห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขมเฝื่อน นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมด้วย

ชาวมายา (ค.ศ. 250-900) เป็นชนชาติแรกที่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้ค้นพบความลับของต้นคาเคา โดยพวกเขาได้นำต้นคาเคามาจากป่าฝนและปลูกไว้ที่สวนหลังบ้าน พอออกฝักก็เก็บเอาเมล็ดมาหมักบ้าง คั่วบ้าง และยังบดเป็นเนื้อเหนียว อยากชงเป็นเครื่องดื่มก็เอามาผสมน้ำ โรยพริกไท แป้งข้าวโพด ก็จะได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตรสซาบซ่ามีฟองฟ่อง

ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาณาจักรของชาวแอซเทคครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอารยธรรมเมโสอเมริกา โดยมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองปัจจุบันเรียกว่า เม็กซิโก ซิตี้ ชาวแอซเทคได้ซื้อขายเมล็ดคาเคากับชาวมายาและชนชาติอื่น และยังเรียกเก็บค่าบรรณาการจากพลเมืองของตนและเชลยเป็นเมล็ดคาเคา โดยใช้แทนค่าเงิน ชาวแอซเทคนิยมดื่มช็อกโกแลตขมเช่นเดียวกับชาวมายายุคแรก โดยปรุงรสชาติให้ซู่ซ่าขึ้นด้วยเครื่องเทศ ชาวเมโสอเมริกาสมัยนั้นยังไม่มีใครปลูกอ้อยก็เลยไม่มีใครใส่น้ำตาลกัน

เล่ากันว่า คนมายายุคคลาสสิกชอบดื่มช็อกโกแลตกันในวาระพิเศษ ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมดื่มกันมาก ส่วนชาวแอซเทค บรรดาผู้ปกครองระดับสูง พระ ทหารยศสูง และพ่อค้าที่มีหน้ามีตาเท่านั้นที่มีสิทธิลิ้มรสเครื่องดื่มศักดิ์สิทธิ์นี้ ช็อกโกแลตมีบทบาทสำคัญในพิธีของราชวงศ์และศาสนา เพราะใช้เมล็ดคาเคาเป็นเครื่องสักการะเทพเจ้า และดื่มในพิธีสำคัญ

สำหรับที่มาของชื่อช็อกโกแลตนั้นยังไม่มีใครอธิบายได้แจ่มชัด แต่มีความเป็นไปได้สองทาง ทางแรกเป็นคำที่ผันมาจากคำว่า "ช็อคโกลัจ" ในภาษามายา ซึ่งหมายถึง มาดื่มช็อกโกแลตด้วยกัน อีกทางหนึ่งอธิบายว่าน่าจะมาจากภาษามายาเช่นกัน คือ " chocol" แปลว่า ร้อน ผสมกับคำว่า "atl" ของแอซเทคที่แปลว่า น้ำ พอมารวมกันจึงกลายเป็นคำว่า chocolatl และมาเป็น chocolate ต่อมาในยุโรป

โดยความเชื่อของชาวแอชเต็คส์ ประเทศเม็กซิโก "เมล็ดโกโก้เป็นอาหารที่เทพเจ้ามอบให้เพื่อเป็นใบเบิกทางไปสู่สวรรค์" เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่งทำให้พวกเขานำเมล็ดโกโก้มาทำเป็นเครื่องดื่มนั่นก็คือ "น้ำช็อกโกแลต" ต่อมานายเออร์นัน คอร์เตช นักสำรวจชาวสเปนแล่นเรือมาพบกับชาวแอชเต็คส์ ซึ่งเขาได้อาศัยอยู่กับชาวแอชเต็คส์และร่วมดื่มน้ำช็อกโกแลตด้วยกัน และนายคอร์เตชได้นำเมล็ดโกโก้กลับประเทศเพื่อลองทำเครื่องดื่มดูบ้าง และแต่งเติมรสให้หวานขึ้นจนเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันในสเปน จนในมี่สุด นายคอนราด เจ แวนฮูเตนท์ ชาวดัชได้ค้นพบการทำช็อกโกแลตแบบแท่ง เม็ด และผง [ต้องการอ้างอิง]

[แก้] ช็อกโกแลตในยุโรป
ก่อนหน้าคริสต์ศตวรรษที่ 15 คนยุโรปยังไม่มีใครรู้จักเครื่องดื่มชนิดนี้ สเปนเป็นประเทศแรกที่ออกเดินทางแสวงหาความมั่งคั่งสู่ทวีปอเมริกา และได้พบกับเครื่องดื่มที่มีรสชาติอมตะของช็อกโกแลต

หลังจากสเปนมีชัยเหนือชาวแอซเทคแล้ว พวกเขาได้นำเอาช็อกโกแลตกลับประเทศด้วย และกลายเป็นที่นิยมชมชอบในราชสำนักอย่างรวดเร็ว ภายในช่วงเวลา 100 ปี ความหลงใหลที่มีต่อช็อกโกแลตได้ขยายตัวลุกลามไปทั่วยุโรป

ก่อนหน้าที่เฮอร์นาน คอร์เตส ขุนพลของสเปนจะมีชัยเหนือเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1521 อาจเคยมีนักสำรวจยุคแรกเคยเห็นต้นคาเคาในอเมริกากันมาบ้างแล้ว แต่สเปนกลับเป็นชาติแรกของยุโรปที่ค้นพบรสชาติที่เลิศล้ำของช็อกโกแลต การติดต่อกันระหว่างชาวสเปนและชาวแอซเทคได้เปิดประตูให้สองชาติได้แลกเปลี่ยนความคิดและเทคโนโลยีแก่กัน และตลาดยุโรปก็ได้รู้จักกับอาหารชนิดใหม่อย่างจากต้นคาเคา

สงครามในปี ค.ศ. 1521 คอร์เตสนำทหารเข้าสู้รบกับทหารของมอนเตซูมาจนได้รับชัยชนะ ทหารสเปนได้บังคับให้ขุนนางชาวแอซเทคนำทรัพย์สมบัติมาให้พวกตน ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ คาเคา ซึ่งถือเป็นทรัพย์ และมีค่าใช้แทนเงินตราจึงกลายมาเป็นทรัพย์ที่ยึดจากเชลยศึก ทหารสเปนได้อ้างสิทธิครอบครองไร่คาเคาของชาวแอซเทค และรีดเอาจากประชาชนที่ส่งบรรณาการให้ชาวแอซเทค ในเวลาไม่นาน คาเคาและช็อกโกแลตได้ถูกส่งไปยังสเปน

ที่สเปน เครื่องดื่มช็อกโกแลตเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วจนไม่พอกับความต้องการ จึงต้องใช้แรงงานจำนวนนับล้านลงแรงเพาะปลูก เก็บเกี่ยว และแปรรูปน้ำตาลและคาเคา นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 จนถึงปลายศตวรรษที่ 18 แรงงานส่วนใหญ่ที่มีราคาถูกแสนถูกที่ทำไร่คาเคาเป็นพวกทาส และชนกลุ่มแรกที่ถูกใช้เป็นแรงงานทาสทำช็อกโกแลตคือชาวเมโสอเมริกา

คนสเปนไม่ชอบรสชาติขมของช็อกโกแลต ทีแรกนายพลคอร์เตสกับเหล่าทหารของพวกเขาไม่ชอบรสชาติของช็อกโกแลตเลย แต่เพื่อให้ได้รสชาติถึงใจมากขึ้น พวกเขาเริ่มเอาช็อกโกแลตไปต้ม และใส่ส่วนผสมต่างๆ ลงไป

ครั้นเมื่อช็อกโกแลตเข้ามายังยุโรป มีใครบางคนเกิดไอเดียที่จะเติมน้ำตาลลงไป ใส่ชินเนมอน และเครื่องเทศลงไป ในที่สุดเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนรสหอมหวานก็ถือกำเนิดขึ้นมา อย่างไรก็ดี ชาวสเปนยังคงวิธีการเตรียมและกระบวนการทำช็อกโกแลตไว้เหมือนเดิม และยังคงใช้ชาวพื้นเมืองเก็บฝักและหมัก ตาก ทำความสะอาด และคั่วเมล็ดคาเคา สเปนยังได้ประดิษฐ์เครื่องมือชนิดใหม่สำหรับใช้ทำช็อกโกแลตด้วย ซึ่งก็คือ ไม้คนที่เรียกว่า โมลินีโอ เอาไว้คนให้ช็อกโกแลตเป็นโฟมละเอียดง่ายขึ้น

เครื่องดื่มช็อกโกแลตนี้จะมีก็แต่ชาวสเปนผู้มั่งคั่ง และบาทหลวงเท่านั้นที่หาซื้อมาดื่มได้ พระสเปนได้แนะนำเครื่องดื่มช็อกโกแลตให้ราชสำนักได้ลิ้มลอง มีเรื่องเล่ากันว่า พระนิกายโดมินิกันนำคนพื้นเมืองเข้าเฝ้าเจ้าชายฟิลิปแห่งสเปน เชลยเหล่านี้ได้ปรุงเครื่องดื่มช็อกโกแลตให้เจ้าชายเสวย และในเวลาไม่นาน ชาวสำนักราชวังพากันเห่อดื่มช็อกโกแลตกันเป็นบ้าเป็นหลัง

เนื่องจากสเปนยึดครองอเมริกาเป็นอาณานิคมในยุคแรก ทำให้สเปนผูกขาดค้าขายช็อกโกแลตอยู่เพียงลำพังหลายปี จะมีก็แต่ชาวสเปนที่ร่ำรวยมหาศาลกับคนที่มีเส้นสายดีเท่านั้นที่มีเงินซื้อช็อกโกแลตที่แสนแพงนี้ได้ ชาวสเปนยอมรับว่าช็อกโกแลตช่วยให้กระปรี้กระเปร่า และมีคุณค่าทางโภชนาการ คาเคามีแคลอรีสูงตามธรรมชาติ และยังมีกาเฟอีน และสารเคมีที่มีคุณสมบัติคล้ายกันเรียกว่า ธีโอโบรไมนด้วย

ต่อมาในศตวรรษที่ 16 ช็อกโกแลตเริ่มเป็นเครื่องดื่มสำหรับพระที่ถือศีลอด และหลังจากถกเถียงกันมานาน ศาสนจักรคาทอลิกได้อนุญาตให้ประชาชนดื่มช็อกโกแลตเป็นอาหารทดแทนระหว่างถือศีลอด ซึ่งเป็นช่วงห้ามรับประทานอาหาร แต่ประเทศอื่นในยุโรปยังไม่มีโอกาสลิ้มรสช็อกโกแลตจนอีกร้อยปีต่อมา จะเป็นเพราะชาวสเปนพยายามเก็บช็อกโกแลตไว้แต่เพียงประเทศเดียวหรือไม่ และข่าวคราวเกี่ยวกับช็อกโกแลตแพร่งพรายออกไปได้อย่างไร ไม่มีใครรู้ชัด รู้กันแต่ว่าในที่สุดแล้ว ความลับเกี่ยวกับช็อกโกแลตได้แพร่งพรายออกไป และเริ่มเป็นที่นิยมในราชสำนักยุโรปอย่างรวดเร็ว และยืนยาวมาจนถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

หลายประเทศยุโรปเริ่มนำเอาพันธุ์พืชคาเคาไปปลูกในประเทศอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ต่างยึดเมืองแถบเส้นศูนย์สูตรเป็นอาณานิคม อังกฤษนำต้นคาเคามาปลูกบนเกาะซีลอน หรือศรีลังกา เนเธอร์แลนด์นำไปเพาะปลูกที่เวเนซุเอลา ชวา และสุมาตรา ส่วนฝรั่งเศสปลูกที่เวสท์อินดีส ผลผลิตจากต้นคาเคาใช้เวลาไม่นานก็สามารถออกฝักและเมล็ดส่งกลับมายังเจ้าอาณานิคมเหล่านี้จนยุโรปกลายเป็นทวีปแห่งช็อกโกแลต

ชาวยุโรปบดเมล็ดคาเคาด้วยเครื่องโม่ทำให้บดได้คราวละจำนวนมาก เริ่มจากสมัยแรกใช้ครกตำแต่ต่อมาใช้กังหันลม บ้างก็ใช้โม่ที่อาศัยแรงงานม้าหมุนเครื่องบด คนยุโรปนิยมดื่มช็อกโกแลตกับน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าราคาแพงอีกชนิดที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ช่วงปลายศตวรรษ 1600 เซอร์ ฮันส์ สโลน จากราชวิทยาลัยแพทย์เสนอช็อกโกแลตสูตรใหม่เป็นช็อกโกแลตใส่นมที่ให้รสชาติละเมียดขึ้น

ในฝรั่งเศส ช็อกโกแลตเป็นสินค้าผูกขาด มีตำนานเล่าว่า พระราชินีแอนแห่งออสเตรียชอบดื่มช็อกโกแลตเข้าขั้นเสพติด จนราชสำนักฝรั่งเศสต้องปิดเรื่องนี้ไว้ ช็อกโกแลตเริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งชนชั้น และมีพระราชบัญญัติห้ามไม่ให้ผู้ใด ยกเว้นสมาชิกของขุนนางฝรั่งเศสเท่านั้นที่ดื่มช็อกโกแลตได้ ต่างจากอังกฤษ ใครมีเงินซื้อก็ดื่มได้

ร้านช็อกโกแลตแห่งแรกเปิดบริการในลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. 1657 คล้ายกับร้านกาแฟ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากกว่าในเวลาต่อมา ร้านช็อกโกแลตเป็นสถานที่ดื่มเครื่องดื่มร้อนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ถกเรื่องการเมือง พบปะผู้คน และเล่นพนัน บางแห่งรับเฉพาะผู้ชาย แต่ก็หลายแห่งที่เปิดรับทุกเพศที่มีเงินจ่าย

ขั้นตอนการทำช็อกโกแลตไม่เปลี่ยนแปลงมาหลายร้อยปี จนกลายศตวรรษ 1700 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมอนาคตของช็อกโกแลตก็ถึงเวลาปฏิวัติเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ก่อนหน้ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ขั้นตอนการผลิตช็อกโกแลตต้องอาศัยแรงงานคนอย่างเดียว ซึ่งใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ช็อกโกแลตหาซื้อได้เฉพาะคนร่ำรวยเท่านั้น เมื่อนักประดิษฐ์ได้สร้างเครื่องจักรไอน้ำสำเร็จการผลิตช็อกโกแลตจำนวนมากด้วยเวลาที่สั้นลงทำให้เส้นทางของช็อกโกแลตไม่อยู่เฉพาะเครื่องดื่มเท่านั้นแต่ยังวิวัฒนาการกลายเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลกด้วย



13 เหตุผล ทีทำให้ชีวิต ม.6 เป็นที่สุดของที่สุด

1

แก่ที่สุด

ถ้านับเฉพาะนักเรียน และไม่รวมผอ. ครูอาจารย์ นักการภารโรง

ม.6 ก็ต้องแก่ที่สุดในโรงเรียนแน่นอน

แต่จะแก่ความรู้หรืออยู่นาน

อันนี้ต้องแล้วแต่ตัวบุคคล

.

2

เครียดทีสุด

บางคนบอกว่า Entrance ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต

แต่ สำหรับ ม.6

ถึงไม่ใช่ทั้งหมด ก็ เข้าใกล้ทั้งหมดเหมือน

limit เข้าสู่ x ไม่ใช่ x แต่เข้าใกล้ x ยังไงหยั่งงั้น

ไหนจะบรรดาครูอาจารย์ ญาติโกโหติกา พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง

ที่คอยให้กำลังใจ(เชิงกดดัน)อีก

ม.6ไม่เครียดก็แปลกแล้ว

.

3

ขยันที่สุด

อยากสูงต้องเขย่ง อยากเก่งต้องขยัน

เมื่อเครียด อยากเอนท์ติด

แล้วมานั่งแต่งฟิก วาดรูป สูบอาร์ต เนี่ย มันจะติดมั้ย

ม.6 มันก็ต้องขยันเซ่

อ่านเข้าไปๆๆ อ่านให้ตายๆๆ^^

.

4

เก่งที่สุด

เนื่องจากแก่

จึงมีโอกาสถูกยัดความรู้ใส่หัวมากกว่าบรรดาศิษย์น้อง

เนื่องจากขยัน

กรรมดีนั้นจึงตกอยู่กับผู้กระทำ

.

5

ชีพจรลงเท้าที่สุด

หมายความว่า มีอันจะต้องเดินทางบ่อยมากๆ

+ไม่ว่าจะงานราษฎ์

ไปสอบรับตรงที่แต่ละคณะ ขยันเปิดสอบ

+ไม่ว่าจะงานหลวง

ไปสอบแข่งขันทางวิชาการ

เลยไม่เป็นอันได้อยู่บ้าน และไม่ได้ไปร.ร.กัน

.

6

เรียนพิเศษเยอะสุด

เมื่อมาถึงม.6แล้ว

ก็แทบจะเรียนไม่ทันการสอบที่มีมากมายกัน

แต่ละคนจึงเรียนพิเศษกันอย่างขันแข็ง

เพื่อจะได้ทันสอบ

หมดกันไปคนละหลายบาท

แต่ยังไงเราก็ยังยอมทุ่มทุน

.

7

สิวเยอะที่สุด

เรื่องสิวๆ ที่ไม่ใช่แค่สิว

เพราะมันเป็นดัชนีบ่งชี้ความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นของม.6

ด้วยเรื่องนู้น เรื่องนี้ที่ประดังประเดเข้ามา

ไหนจะเวลานอนที่บั่นทอนไปอ่านหนังสือ

หน้าบางคนที่เคยใสเลยสิวขึ้นได้่ง่ายๆ

.

8

ตื้นเต้นที่สุด

ตื่นเต้นอะไรหรือจะสู้ รู้ผลเอนท์

ม.6ย่อมต้องอยากรู้อยู่แล้ว

ว่าที่ลงทุนลงแรงไปทั้งหมดน่ะ

เพียงพอจะซื้อ ประตูสู่อนาคตที่สดใสรึเปล่า

ตอนประกาศผลรับตรงนี่

ถึงกับกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียวเชียว

.

9

บ้ากล้องที่สุด

อันนี้คิดว่าเป็นทุกคน

พอใกล้จะเรียนจบ เราก็อยากเก็บความทรงจำดีๆเอาไว้

ไหนจะรูปสถานที่ต่างๆในร.ร.

ไหนจะรูปเพื่อน รูปครู

เพราะไม่รู้จะเจอกันอีกเมื่อไหร่

เลยต้องระดม ถ่ายๆๆๆๆๆ

ประมาณว่า มูลค่ากล้องถ่ายรูปทั้งสายชั้นรวมกัน

แทบจะสร้างห้องสมุดใหม่ให้ร.ร.ได้

(อันนี้ก็เวอร์ไป)

.

10

แอ๊บแบ๊วที่สุด

เมื่อ แก่ มาก

และอยาก ถ่ายรูป มาก

ก็เลยต้อง แอ๊บ มาก

เพื่อให้ แบ๊ว มาก

.

11

ซาบซึ้งที่สุด

งานปัจฉิมนิเทศน์ คงจะรู้กันดี

ว่า [วินาทีที่จุดจบของอดีตและจุดเริ่มของอนาคตเดินทางมาบรรจบกัน] นั้น

บรรยากาศมันซาบซึ้งใจ แค่ไหน

.

12

รัก (เพื่อน- ครู - ร.ร.)ที่สุด

คนเรามักจะรู้ค่าสิ่งใกล้ตัวที่มีอยู่ ก็ต่อเมื่อกำลังจะเสียมันไป

เพราะว่า จะไม่มีอีกแล้ว

ถึงได้รู้ว่ารักมากแค่ไหน

ร.ร.ที่เคยบ่น ก็รู้สึกภาคภูมิ

อาจารย์ที่เคยนินทา ก็ได้รู้สึกเคารพ

เพื่อนที่เคยทะเลาะ ก็ได้คืนดี

เพราะ จะไม่มีอีกแล้ว

จึงต้องรักษาช่วงเวลาสุดท้าย ให้กลายเป็นความทรงจำที่ดี

.

13

...คิดถึงที่สุด...

เพราะรัก จึงคิดถึง

2553/02/19

10 โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ

1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)

เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"

ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน

2. โรคแวมไพร์ซินโดรม

ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder)

เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

4. โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines)

ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S

5. โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้

ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง

6. โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย"

เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น

7. โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน"

ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ

8. โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม

ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช

9. โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส"

เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี

ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง

โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด

- ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง

- ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป

คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ

10. โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร"

เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

ปากเหม็นบอกโรค!!

ปัญหาสุขภาพช่องปากที่สำคัญอย่าง ‘กลิ่นปาก’ ที่หอบเอาลมหายใจเหม็น ๆ ออกมาจากช่องปากทุกยามที่คุณปริปากนั้นเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจไม่ใช่น้อย เพราะเคยทำให้ใครหลายคนพยายามสงวนคำพูด ลดโอกาสการสนทนา ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้คู่สนทนาได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ แถมยังบั่นทอนบุคลิกภาพที่ดีลงไป

ทว่าคุณจะเห็นเรื่องกลิ่นปากเป็นเรื่องเล็ก เพราะยามที่เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเมื่อไหร่ ก็หยิบลูกอม หมากฝรั่ง ยัดใส่ปาก หรือไม่ก็ขอเวลานอกไปกลั้วปากบ้วนน้ำ แปรงฟัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูก โดยวิธีดังกล่าวเป็นการขจัดปัญหากลิ่นปากที่อาจเกิดจากการรับประทานอาหารบางชนิด แต่ถ้าสาเหตุของกลิ่นนั้นมาจากปัญหาอื่น ไม่นานกลิ่นปากก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้าตำราเรื้อรัง

'ศูนย์ทันตกรรม Dentalis โรงพยาบาลเวชธานี' ที่เปิดให้การรักษาปัญหากลิ่นปากพบว่าร้อยละ 80-90 ของผู้ที่มีปัญหากลิ่นปากเรื้อรังมักมีสาเหตุมาจากปัญหาภายในช่องปาก ที่มีทั้งลิ้นเป็นฝ้า ร่องเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์หรืออวัยวะรอบฟันอักเสบ แผลในช่องปาก ฟันผุ ฟันคุด ฟันซ้อนเก ฟันปลอมหรือวัสดุอื่น ๆ ที่ใส่เพื่อจัดแต่งฟันไม่สะอาดมีเศษอาหารติดค้าง

ส่วนปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดกลิ่นปากคือ อาหาร แม้จะไม่ใช่ตัวการก่อกลิ่นที่เรื้อรัง คุณก็ควรรู้ไว้ว่าการรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนสูง อย่าง กระเทียม เครื่องเทศ หัวหอม รวมทั้งเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ จะนำพากลิ่นตุ ๆ ให้เกิดขึ้นในปาก รวมทั้งการสูบบุหรี่ด้วย

นอกจากสองปัจจัยที่กล่าวไปแล้ว กลิ่นปาก อาจเกิดขึ้นเพราะร่างกายส่งสัญญาณบอกความเจ็บป่วยจากอวัยวะภายใน เช่น ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ อาทิ การอักเสบหรือมะเร็งในโพรงจมูก ไซนัส ทอนซิล คอหอย กล่องเสียง หรือปอด โรคของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ การอักเสบของหลอดอาหาร โรคกระเพาะ โรคลำไส้ ทั้งนี้ยังมีการวิจัยพบว่า โรคกรดไหลย้อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุผิวทางเดินหายใจ มีผลให้น้ำมูกข้นเหนียวกว่าปกติ และจะไหลลงลำคอด้านหลังจมูก (Post Nasal Drip) ซึ่งเป็นอาการเดียวกับผู้ที่ทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง

ยังมีการป่วยด้วยโรคตับ โรคไต และโรคเบาหวาน ที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้อีก โดยสามโรคตอนท้ายนี้จะมีกลิ่นเฉพาะของแต่ละโรค

รู้ไว้จะได้ระวัง "โรคไฟโบรมัยอัลเจีย"

โดยในช่วงปลายเดือนต.ค. ปีที่ผ่านมา บริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนาที่ห้องประชุม เบฟเวอรี่ ฮิลล์ โรงแรมคอนราดกรุงเทพฯ เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดจาก "โครงการการสำรวจแนวโน้มและความตระหนักรู้เกี่ยวกับ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เพื่อนำเสนอโรคไฟโบรมัยอัลเจียให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
รู้ไว้จะได้ระวัง "โรคไฟโบรมัยอัลเจีย"
โดยในการประชุมครั้งนี้ ดร.เฮนรี่ ลู หัวหน้าประจำคลินิกควบคุมความปวด มาคาติ ณ ศูนย์การแพทย์มาคาติ ฟิลิปปินส์ อธิบายอาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจียว่า ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดเรื้อรังและลุกลามไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ระดับอาการปวดเทียบได้เกือบเท่ากับระดับของการปวดในไมเกรน ขณะนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยเป็นโรคดังกล่าวอยู่ถึง 40 ล้าน และผู้ป่วยบางคนไม่ทราบว่าตนนั้นป่วยเป็นโรคนี้อยู่
"อาการปวดจากโรคไฟโบรมัยอัลเจีย มีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่อาการปวดจะค่อยๆ แผ่ขยายออกไปตามร่างกายของผู้ป่วย ข้อมูลจากการวิจัยในผู้ป่วยในประเทศสหรัฐ พบว่า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ในบางรายที่เป็นหนักถึงขั้นชา และนอนไม่หลับ เป็นต้น" ดร.ลู กล่าว
รู้ไว้จะได้ระวัง "โรคไฟโบรมัยอัลเจีย"
และจากข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า สาเหตุของโรคมาจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้ความเจ็บปวด ซึ่งอาจเป็นส่วน "ทาลามัส" ทำงานไวผิดปกติเพราะปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ ความผิดปกติทางพันธุกรรม เคยบาดเจ็บอย่างรุนแรง หรือเกิดจากปัจจัยแวดล้อม เช่น เคยถูกทารุณกรรม เมื่อเป็นหนักเข้าจะทำให้ผู้ป่วยสุขภาพร่างกายและจิตใจถดถอยลง บางรายถึงขั้นเสียสติ เพราะทนอยู่กับอาการป่วยมานานและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
สำหรับผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคดังกล่าวนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำว่า ไม่ควรตื่นตระหนก ให้ไปพบแพทย์ที่ไปพบอยู่ประจำ เพราะแพทย์จะรู้ประวัติผู้ป่วยซึ่งมีความสำคัญมากในการใช้ประกอบการวินิจฉัย แล้วจึงปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ไปตามขั้นตอน

ที่สุดแห่งสยามมมมม

ผาชะนะได ตะวันออกสุดของประเทศไทย
ที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นคำนวณเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ตั้งอยู่ในป่าดงนาทาม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม มีพิกัดภูมิศาสตร์ที่ ละติจูด 15 องศา 37 ลิปดา 3.5 พิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 105 องศา 37 ลิปดา 17 พิลิปดา ตะวันออก

โดยจะรับตะวันขึ้นก่อนกรุงเทพฯ ประมาณ 20 นาที


ภาพตะวันแรกแห่งสยาม ณ ผาชะนะได


อำเภอแม่สาย เหนือสุดของประเทศไทย
ตั้งที่ว่าการที่ตำบลเวียงพางคำ ทิศเหนือจดแม่น้ำสายซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า ทิศตะวันออกติดต่อกับอำเภอเชียงแสนจังเชียงราย ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ทิศตะวันตกติดต่อกับอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และประเทศพม่า โดยมีด่านชายแดนไทย-พม่าเรียกว่า "ด่านแม่สาย" สามารถผ่านด่านข้ามไปยังจังหวัดท่าขี้เหล็กของพม่าได้โดยมีแม่น้ำสายเป็นพรมแดนทางธรรมชาติ การคมนาคมจากอำเภอเมืองเชียงรายไปอำเภอแม่สายโดยทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน ตอนเชียงราย-แม่สาย) ระยะทางหกสิบสี่กิโลเมตร


ภาพเหนือสุดแห่งสยาม


อำเภอเบตง ใต้สุดของประเทศไทย
เบตง เป็นอำเภอขนาดใหญ่ในจังหวัดยะลา นับเป็นอำเภอใต้สุดของประเทศไทย ตั้งเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. 2441 คำว่า "เบตง" (Betong) มาจากภาษามลายูว่า "Buluh Betong" หมายถึง ไม้ไผ่ หรือ ไผ่ตง


ภาพป้ายใต้สุดแห่งสยาม


อำเภอแม่สอด ตะวันตกสุดของประเทศไทย
อำเภอแม่สอด เป็นอำเภอหนึ่งทางตอนกลางของจังหวัดตาก เป็นอำเภอที่มีการค้าระหว่างประเทศไทยกับพม่ามาก เนื่องจากเป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดน และเป็นที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวรด่านพรมแดนแม่สอด เชื่อมโยงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า อำเภอแม่สอดอยู่ห่างจากอำเภอเมืองตาก 86 กิโลเมตร ได้รับการจัดตั้งเป็นอำเภอมาตั้งแต่ พ.ศ. 2441 ตัวอำเภออยู่ในที่ราบระหว่างภูเขา ส่วนหนึ่งเป็นทิวเขาในฝั่งประเทศไทย อีกส่วนหนึ่งเป็นทิวเขาฝั่งประเทศพม่า อำเภอแม่สอดมีพื้นที่ประมาณ 1,986 ตารางกิโลเมตร ประชากรมีทั้งชาวเขาและคนที่อพยพจากอำเภอเมืองตากเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ รวมทั้งชาวพม่าที่มีภรรยาและบุตรเป็นคนไทยด้วย


ดอยอินทนนท์ สูงสุดของประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

สภาพภูมิประเทศทั่วไปประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงจาก ระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร ยอดเขาที่มีระดับสูงรองลงมาคือ ดอยหัวมดหลวง สูงจากระดับน้ำทะเล 2,330 เมตร ป่าอินทนนท์นี้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่หอย แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงที่ให้พลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล


ภาพป้ายสูงสุดแห่งสยาม


ด่านสิงขร แคบสุดของประเทศไทย
อยู่ที่ ต.คลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์


ภาพด่านสิงขร



ภาพป้ายแคบสุดแห่งสยาม


ภูเรือ หนาวสุดของประเทศไทย
เราจะรู้จักดีในนาม ที่พักผ่อนยามฤดูหนาวมาเยือน ธรรมชาติที่นี่อยู่บนเทือกเขาสูงเป็นรอยต่อระหว่างภาคเหนือและอีสาน อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอคือ หนองบัว อำเภอภูเรือ และอำเภอท่าลี่ อาณาเขตทางทิศเหนือติดกับประเทศลาว รูปพรรณสันฐานของภูเรือมีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูงเป็นภูผา สีสันสะดุดตาหินบางก้อนมีลักษณะเหมือนถูกปั้นแต่งไว้ ชาวบ้านเรียกว่า “กว้านสมอ” โดยรอบๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ใกล้เคียงเป็นฝ้าขาวด้วยละอองน้ำ หมอก ปกคลุมไว้ท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 75,525 ไร่ ประกาศ เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม 2522 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 16 ของประเทศ

โมนาลิซ่า คือ ลีโอนาโด?

หลายคนสงสัยว่าเขาคือใคร จนปัจจุบันนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้
คนวาดคือเลโอนาร์โด ดาวินชี่


แต่ โมนาลิซา คือใครยังคงเป็นปริศนา

คาดว่า เป็นรูปตัวเลโอนาร์โดเอง เพราะว่า ถอดรหัส คำว่า ลีโอนาร์โด กับ โมนาลิซา ได้ 84 เช่น A= 1 b=2 เขาได้นำรูปทั้ง 2มาเปรียบเทียบกัน ก็คล้ายกัน ทั้ง รูปตา และ จมูก และปาก ยังตรงกันอีกด้วยบ้างเขาก็ว่า เขาส่องกระจกตนเองแล้ววาด

เป็นรูปภรรยาของมหาเศรษฐี ชื่อ ฟรานเชสโก เดล จิโอคอนด้า โมนาลิซา จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ลา จิโอคอนด้า จ้างเขาให้วาด ซึ่งเขาวาดเป็นปี จนโมนาลิซา เสียชีวิต ภาพนี้จึงไม่ได้มอบให้เธอ เขาจึงนำภาพนี้ติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา

บางคนเชื่อว่า ภาพนี้คือ อิซาเบลลา เดสตี้ ราชินี แห่งมอนโตบา

รูปเทพเจ้าของอียิปต์ ชื่ออามอนเทพเจ้าแห่งความสมบูรณ์ทางเพศ และ เทพีไอซีส หรืออีกชื่อว่า ลิซ่า รูปโมนาลิซ่า จึงคล้ายกับผู้ชายและผู้หญิง
ถอดรหัสรูป โมนาลิซา MONALISA = (13+15+14+1)+(12+9+19+1)= 84

เลโอนาร์โด LEONARDO = (12+5+15+14+1+18+4+15)= 84

นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)
แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โดไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เองผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทมและมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"

2553/02/06

ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Sigmund Freud

ทฤษฎีบุคลิกภาพของSigmund Freudหรือ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theories )
ประวัติ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( Sigmund Freud ) เป็นจิตแพทย์ชาวออสเตรียเชื้อสายยิว เกิดที่เมืองฟรายเบิร์ก( Freiberg )อยู่ในแคว้นโมราเวีย (Moravia) ปัจจุบันเป็นประเทศเชคโกสะโลวาเกีย เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 บิดาเป็นพ่อค้าขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง ครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เวียนนา เมื่อปี ค.ศ. 1873 และเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1930 ด้วยโรคมะเร็งที่ขากรรไกร เมื่อมีอายุได้ 83 ปี
ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ผู้คิดทฤษฎี
จิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theories )
ฟรอยด์ สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเวียนนา และเนื่องจากรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว เขาจึงได้ไปศึกษาต่อทางด้านการแพทย์ที่เน้นเรื่องระบบประสาท และเริ่มต้นการทำงานทางด้านคลินิกรักษาโรค( Medical Clinic ) ด้วยการช่วยเหลือคนไข้ที่มีอาการทางโรคประสาทหรือโรคมจิตให้คลายจากอาการเจ็บป่วย ให้สามารถหายและมีชีวิตอยู่อย่างปกติมากกว่าที่จะพยายามค้นคว้าทฤษฎีที่เกี่ยวกับคนปกติโดยทั่วไป หลังจากนั้น ก็ได้ศึกษาเรื่องของกลไกทางจิตที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ ( Psychological Mechanism of Behavior ) ต่อมาได้นำวิธีการสะกดจิต (Hypnosis) มาใช้กับคนไข้ ซึ่งพบว่าทั้งๆ ที่ ผู้บำบัดได้รับทราบเรื่องราวต่างๆที่เป็นปัญหาและอุปสรรคของคนไข้มากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากนัก ฟรอยด์ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการของจิตวิเคราะห์ อย่างมีหลักเกณฑ์ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า การคิดอย่างอิสระ (Free Association) โดยวิธีการให้คนไข้นอนเก้าอี้นอน (Couch) แล้วให้เล่าถึงความรู้สึกนึกคิดต่างๆที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เป็นการให้บุคคลระบายความในใจ ช่วยในการผ่อนคลายความคับข้องใจต่างๆ (Frustration) และความวิตกกังวล (Anxiety) ภายในจิตใจ ในขณะที่ ผู้บำบัดจะได้รับทราบถึงข้อมูลต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนไข้ ที่จะช่วยให้ผู้บำบัดเข้าใจถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระดับจิตไร้สำนึกของผู้ป่วย เพื่อจะสามารถวิเคราะห์ (Analyze) และแปลความหมาย (Interpretation) ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถ เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพและความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญในกระบวนการบำบัด
แนวคิดที่สำคัญของทฤษฎี
แนวคิดที่สำคัญ ฟรอยด์ เชื่อว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ มีแรงจูงใจมาจากจิตไร้สำนึก ซึ่งมักจะผลักดันออกมาในรูปความฝัน การพูดพลั้งปาก หรืออาการผิดปกติทางด้านจิตใจในด้านต่างๆ เช่น โรคจิต โรคประสาท เป็นต้น เขาเป็นบุคคลแรกที่ได้อธิบายทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับแรงขับทางสัญชาตญาณ(Instinctual drive)และแรงขับดังกล่าวเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้ อันเป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลจากความรู้ทางฟิสิกส์ จึงทำให้เชื่อว่าจิตเป็นพลังงานรูปหนึ่ง ที่สามารถเปลี่ยนแปลงและไม่หยุดนิ่ง (Psycho-Dynamic) สัญชาตญาณดังกล่าว ได้แก่
สัญชาตญาณแห่งการมีชีวิต (Eros or Life) เป็นสัญชาตญาณที่แสดงออกมาในรูปแบบของสัญชาตญาณทางเพศ (Sexual Instinct) แต่ฟรอยด์ไม่ได้หมายถึงความต้องการทางเพศตามความเรียกร้องทางด้านสรีระเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัญชาตญาณที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดและเป็นสัญชาตญาณ ที่แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาและความต้องการที่จะได้รับความพึงพอใจในรูปแบบต่างๆ และสัญชาตญาณในการป้องกันตนเอง อันเป็นสัญชาตญาณที่ทำให้มนุษย์แสวงหาความพึงพอใจให้แก่ตนเองและสัญชาตญาณแห่งความตาย (Thanatos or Death instinct) ที่แสดงออกมาในรูปของสัญชาตญาณในการทำลายหรือความก้าวร้าว ( Destructive instinct or aggressive instinct ) ฟรอยด์มองธรรมชาติในแง่ลบ (Pessimism) กล่าวคือ มนุษย์ไม่มีเหตุผล (Irrational) ไม่มีการขัดเกลา (Unsocialized) โดยมุ่งที่จะตอบสนองและแสวงหาความพึงพอใจให้กับตนเองเป็นสำคัญ (Self-gratification) นอกจากนี้ ฟรอยด์ยังได้อธิบายเพิ่มเติมในเรื่องความหมายของสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ว่าสัญชาตญาณ จะแสดงออกมาในรูปของพลังทางจิตที่เกี่ยวข้องกับพลังขับทางเพศเรียกว่า พลังลิบิโด (Libido)ที่ทำให้มนุษย์ มีความปรารถนาและความต้องการที่จะได้รับความพึงพอใจในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถเคลื่อนที่ เปลี่ยนรูป และสามารถจะเคลื่อนที่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตามระยะเวลาของพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง และยังสามารถเคลื่อนที่ไปยังวัตถุ หรือบุคคลนอกตัวเราได้ เช่น หากพลังลิบิโด เคลื่อนไปอยู่ที่แม่ ก็จะทำให้เด็กเกิดความรักและความหวงแหนแม่ เป็นต้น
การทำงานของจิตแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1. จิตไร้สำนึก ( Unconscious Mind ) เป็นส่วนที่มีบทบาทสำคัญในการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะพฤติกรรมบางอย่างที่บุคคลแสดงออกไปโดยไม่รู้ตัว ที่เกิดมาจากพลังของจิตไร้สำนึกซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงออกไปตามหลักแห่งความพึงพอใจของตน และการทำงานของจิตไร้สำนึกเกิดจากความปรารถนา หรือความต้องการของบุคคลที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ที่ไม่ได้รับการยอมรับ เช่น การถูกห้าม หรือถูกลงโทษ จะถูกเก็บกดไว้ในจิตส่วนนี้ ซึ่งเป็นกระบวนการปรับตัวเมื่อเกิดความขัดแย้งทางจิตที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เช่น การพูดพลั้งปาก ความฝัน เป็นต้น นอกจากนี้ สิ่งที่เก็บกดไว้ในจิตไร้สำนึกอาจมีอิทธิพลต่อการทำงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่ปฏิบัติหน้าที่ไปตามแรงกระตุ้น เช่น เด็กที่เก็บกดความรู้สึกมุ่งร้ายในเรื่องเพศในวัยเด็ก เมื่อเติบโตขึ้นก็อาจหมดความรู้สึกทางเพศได้ ส่วนจิตไร้สำนึกเปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็ง ส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้ผิวน้ำ โดยมีจิตสำนึก (Conscious Mind) เป็นส่วนของน้ำแข็งที่อยู่เหนือน้ำที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย
2. จิตสำนึก ( Conscious Mind ) ซึ่งเป็นสภาวะที่บุคคลรับรู้ตามประสาทสัมผัสทั้งห้า ที่บุคคลจะมีการรู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ คิดอย่างไรเป็นการรับรู้โดยทั่วไปของมนุษย์ ที่ควบคุมการกระทำส่วนใหญ่ให้อยู่ในระดับรู้ตัว (Awareness) และเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมาโดยมีเจตนาและมีจุดมุ่งหมายจิตสำนึกเป็นส่วนที่ทำให้บุคคลมีพฤติกรรมสอดคล้องกับหลักความเป็นจริงในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาศัยหลักแห่งเหตุผล และศีลธรรมที่ตนเองเชื่อถือเพื่อเป็นแนวทางในการแสดงพฤติกรรม
3. จิตก่อนสำนึก ( Preconscious Mind ) เป็นส่วนของประสบการณ์ที่สะสมไว้แต่มีลักษณะเลือนลาง เมื่อถูกสภาวะหรือสิ่งกระตุ้นที่เหมาะสม หรือเมื่อบุคคลต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ก็สามารถระลึกได้และสามารถนำกลับมาใช้ในระดับจิตสำนึกได้ และเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ชิดกับจิตรู้สำนึกมากกว่าจิตไร้สำนึก
จะเห็นได้ว่าการทำงานของจิตทั้ง 3 ระดับจะมาจากทั้งส่วนของจิตไร้สำนึกที่มีพฤติกรรม ส่วนใหญ่เป็นไปตามกระบวนการขั้นปฐมภูมิ (Primary Process)เป็นไปตามแรงขับสัญชาตญาณ (Instinctual Drives) และเมื่อมีการรับรู้กว้างไกลมากขึ้นจากตนเองไปยังบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม พลังในส่วนของจิตก่อนสำนึกและจิตสำนึก จะพัฒนาขึ้นเป็นกระบวนการขั้นทุติยภูมิ (Secondary Process)
โครงสร้างของบุคลิกภาพ (Structure of Personality)
ฟรอยด์ เชื่อว่าโครงสร้างของบุคลิกภาพจะประกอบด้วย อิด (Id) อีโก้ (Ego) และซูเปอร์อีโก้ (Superego) มีรายละเอียดดังนี้
1. อิด (Id) จะเป็นต้นกำเนิดของบุคลิกภาพ และเป็นส่วนที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด Id ประกอบด้วยแรงขับทางสัญชาตญาณ (Instinct) ที่กระตุ้นให้มนุษย์ตอบสนองความต้องการ ความสุข ความพอใจ ในขณะเดียวกันก็จะทำหน้าที่ลดความเครียดที่เกิดขึ้น การทำงานของ Id จึงเป็นไปตามหลักความพอใจ (Pleasure Principle) ที่ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมตามความเป็นจริง จะเป็นไปในลักษณะของการใช้ความคิดในขั้นปฐมภูมิ (Primary Process of Thinking) เช่น เด็กหิวก็จะร้องไห้ทันที เพื่อตอบสนองความต้องการของเขา และส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับจิตไร้สำนึก
2. อีโก้ (Ego) จะเป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ทำหน้าที่ประสาน อิด และ ซูเปอร์อีโก้ ให้แสดงบุคลิกภาพออกมาเพื่อให้เหมาะสมกับความเป็นจริง และขอบเขตที่สังคมกำหนดเป็นส่วนที่ทารกเริ่มรู้จักตนเองว่า ฉันเป็นใคร Egoขึ้นอยู่กับหลักแห่งความเป็นจริง(Reality Principle)ที่มีลักษณะของการใช้ความคิดในขั้นทุติยภูมิ (Secondary Process of Thinking) ซึ่งมีการใช้เหตุผล มีการใช้สติปัญญา และการรับรู้ที่เหมาะสม และอีโก้ (Ego) เป็นส่วนที่อยู่ในระดับจิตสำนึกเป็นส่วนใหญ่
3. ซูเปอร์อีโก้(Superego)นั้นเป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมจรรยา บรรทัดฐานของสังคม ค่านิยม และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่ผลักดันให้บุคคลประเมินพฤติกรรมต่างๆ ทีเกี่ยวข้องกับมโนธรรม จริยธรรมที่พัฒนามาจากการอบรมเลี้ยงดู โดยเด็กจะรับเอาค่านิยม บรรทัดฐานทางศีลธรรมจรรยา และอุดมคติที่พ่อแม่สอนเข้ามาไว้ในตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่เด็กมีอายุประมาณ 3 – 5 ขวบ (ระยะ Oedipus Complex) และเด็กจะพัฒนาความรู้สึกเหล่านี้ไปตามวัย โดยมีสภาพแวดล้อมทางบุคคลเป็นองค์ประกอบสำคัญการทำงานของ Superego จะขึ้นอยู่กับหลักแห่งจริยธรรม (Moral Principle) ที่ห้ามควบคุม และจัดการไม่ให้ Id ได้รับการตอบสนองโดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี โดยมี Ego เป็นตัวกลางที่ประสานการทำงานของแรงผลักดันจาก Id และ Superego
โดยทั่วไปแล้ว Superego จะเป็นเรื่องของการมีมโนธรรม (Conscience) ที่พัฒนามาจากการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ หรือผู้อบรมเลี้ยงดู ซึ่งเป็นค่านิยมที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้ลูกว่าสิ่งใดดีควรประพฤติปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ส่วนนี้จะทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกผิด (Guilt Feeling) ที่จะติดตามรบกวนจิตใจของบุคคลเมื่อกระทำสิ่งใดที่ขัดต่อมโนธรรมของตนเองและส่วนที่ เรียกว่าอุดมคติแห่งตน (Ego-Ideal) ที่พัฒนามาจากการเอาแบบอย่าง (Identification) จากบุคคลที่เคารพรักเช่น พ่อแม่ ผู้อบรมเลี้ยงดู และคนใกล้ชิด ทำให้เด็กรับรู้ว่าทำสิ่งใดควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะได้รับการยอมรับและความชื่นชมยกย่องซึ่งทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจ เมื่อได้ทำตามอุดมคติของตนบางส่วนของ Superego จะอยู่ในระดับจิตสำนึกและบางส่วนจะอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก

ตำนานพญากง-พญาพาน

ตำนานเรื่อง พญากง-พญาพาน เป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับองค์พระปฐมเจดีย์ พระเจดีย์ พระประโทน และตำบลดอนยายหอม ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
เนื้อเรื่อง
.............มีพญากงเป็นเจ้าเมืองนครชัยศรี มีพระมเหสีรูปโฉมงดงามเมื่อพระมเหสีทรงพระครรภ์โหรหลวงได้ทำนายว่าจะได้พระราชโอรสเป็นผู้มีบุญ และจะได้เป็นใหญ่ภายหน้า แต่จะเป็นผู้ฆ่าพระราชบิดาเมื่อครบ กำหนดพระมเหสีก็ประสูติพระกุมาร ขณะที่ข้าราชบริพารได้เอาพานไปรองรับ บังเอิญหน้าผากของพระกุมาร
กระทบขอบพานเป็นแผล พญากงได้สั่งให้นำพระกุมารไปทิ้งตามยถากรรม ยายหอมไปพบเข้านำไปเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อว่า พาน ครั้นพานโตขึ้นยายหอมก็นำไปฝากให้เล่าเรียนที่วัดโคกยายหอม พานเป็นเด็กฉลาด สมภารวัดผู้เป็นอาจารย์จึงรักใคร่เอ็นดูมีวิชาอะไรก็สอนให้หมด
อาจารย์ได้นำพานไปฝากให้เข้ารับราชการกับพระยาราชบุรี ที่เมืองราชบุรี พานเป็นคนปัญญาดี เรียบร้อยและขยัน จึงเป็นที่โปรดปรานของพระยาราชบุรีมาก จนถึงกับรับไว้เป็นโอรสบุญธรรม สมัยนั้น เมืองราชบุรีขึ้นกับเมืองนครชัยศรี พระยาราชบุรี ต้องส่งเครื่องบรรณาการทุกปี พญาพานเป็นผู้มีฝีมือในการรบจึงชักชวน ให้พระยาราชบุรีแข็งเมืองยกกองทัพไป ปราบพญายาพานเป็นแม่ทัพออกไป รบกับพญายากง ทั้งสองทำยุทธหัตถีกัน ในที่สุดพญากงก็ถูกฟันด้วยของ้าวคอขาดตายในที่รบ เมื่อพญายาพานเข้ายึดเมืองนครชัยศรีได้แล้ว ย่อมได้ทั้งราชสมบัติตลอดจนพระมเหสีของพญายากงด้วย แต่ในขณะที่จะเข้าไปหาพระมเหสีนั้น เทวดาได้แปลงกายเป็นแมวแม่ลูกอ่อนให้ลูกกินนมขวางประตูไว้ แล้วร้องทักเสียก่อน พญายาพานจึงได้อธิษฐานว่า ถ้าพระมเหสีเป็นแม่ของตนจริงก็ขอให้มีน้ำนมไหลซึมออกมา ก็เห็นน้ำนมไหลออกมาจริง จึงได้รู้ว่าทั้งสองเป็นแม่ลูกกัน พญายาพานต้องทำปิตุฆาตฆ่าพระราชบิดา เพราะยายหอมปิดบังความจริงไม่บอกให้รู้ ด้วยโทสะจริต เข้าครอบงำและกรรมนั้นบังตา ทำให้ขาดการยั้งคิด จึงสั่งให้นำยายหอมไปฆ่าเสีย ต่อมาด้วยความสำนึกผิด ที่ได้ฆ่าพระราชบิดาและยายหอมผู้มีพระคุณ จึงได้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ สูงชั่วนกเขาเหิน คือ องค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อเป็นการล้างบาปที่ฆ่าพระราชบิดาให้บรรเทาลงบ้าง และสร้างพระประโทนเจดีย์ เพื่อล้างบาปที่ฆ่ายายหอม
คติ / แนวคิด
...............จากเรื่องย่อที่เล่ามาจะเห็นว่า ตำนานพญายากง-พญายาพาน ผูกพันกับที่มาของพระปฐมเจดีย์ ถึงแม้ ว่าพญายากง พญาพาน และยายหอมจะไม่ได้เป็นบุคคลจริง ในประวัติศาสตร์ แต่ด้วยระดับความลึกในเรื่อง ความเชื่อ ที่ได้เล่าขานกันมาร่วมหลายร้อยปี ชาวบ้านส่วนมากจึงเชื่อว่าบุคคลในเรื่องนั้นมีตัวตนจริง ๆ
คติธรรมสำคัญที่ได้จากเรื่องนี้คือ ความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาและผู้อุปการะต่างๆ ชี้ให้เห็นบาปบุญ คุณโทษ โดยเฉพาะในส่วนที่กระทำการฆาตกรรมผู้มีพระคุณ

ทรพี .........ควาย หรือ แพะในประวัติศาสตร์

จำได้ว่าสมัยก่อน เคยอ่านเรื่องควายทรพีที่ไปฆ่าพ่อตัวเอง ตอนแรกก็รู้สึกว่า ไอ้นี่มันเนรคุณจริงๆ แต่ว่าพอโตขึ้น มันรู้สึกแปลกๆและเห็นใจทรพีมากจริงๆ

" ยักษ์อยู่ตนหนึ่งชื่อ "นนทกาล" มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูวังสวรรค์ ของพระศิวะ (เขาไกรลาส) ยักษ์ตนนี้ได้ทำผิดกฏ โดยการปลุกปล้ำนางฟ้านาม "มาลี" นางฟ้าได้นำเรื่องทูล ต่อองค์ศิวะเจ้า พระศิวะทรงกริ้วจึงสาป ให้ยักษ์ไปเกิิดเป็นควาย มีนามว่า "ทรพา" และจะต้องถูกสังหารโดยลูกของตัวเอง ผู้มีชืื่อว่า "ทรพี" หลังจากนั้นจึงจะพ้นคำสาป

นนทกาลเกิดเป็นควาย หลายเมีย มันจะฆ่าลูกชายทีีจะเกิดทุกตัว เมียทรพาตัวหนึ่ง หนีไปและได้คลอดลูกที่อื่น ควายตัวนี้ ได้รับการเลี้ยงดูโดยเทวดา เทวดาได้ตั้งชื่อควายตัวนี้ว่า "ทรพี" ทุกวันทรพีจะวัดขนาดกีบของมันกับของพ่อ เมื่อใหญ่เท่ากันจึงถือว่าพร้อมที่จะสู้ ท้ายสุดทรพา ก็ถูกลูกของ ตนฆ่าตาย

สำนวนไทย คำว่า "ทรพี" หมายถึงคนที่ไม่รู้จักคุณบิดามารดา "

สิ่งที่พระศิวะลงโทษนั้น สมเหตุสมผลดีมั้ยครับ

เรื่องทรพีนี่ คนที่ควรประณามไม่ใช่ใครหรอกครับ

พระศิวะเองแหละ

ถามหน่อยเหอะ ถ้าพระศิวะไม่ลงโทษยักษ์นนทกาลเช่นนี้ ถามว่า ทรพีจะกลายเป็นลูกฆ่าพ่อหรือไม่

ไม่มีทางแน่ๆ สิ่งที่ยักษ์นนทกาลทำความผิด ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว ไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือว่าผู้มีพระคุณเลย โทษที่ควรได้รับจึงไม่สมควรกับสิ่งที่ตนเองกระทำ ให้ไปเป็นกระเทยหรือว่า ผู้หญิงที่ถูกทำมิดีมิร้ายผมว่ายังเข้าท่ากว่า

ทรพี กับ ทรพา ไม่สามารถฝืนชะตาของตนเองได้เลย ทรพาฆ่าลูกตัวเองไปมากมายเพราะกลัวคำสาปเป็นจริง ทรพีฆ่าพ่อเพราะโกรธแค้น และสภาพชีวิตที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถามว่าเขาจะเป็นคนดีได้เหรอครับ การขาดความรักจากพ่อ และการต้องมารับรู้ว่าน้องตัวเองถูกฆ่าไปทีละคนๆ มันน่าสงสารมั้ยครับ ผมถามหน่อย สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ความโหดร้ายๆและโหดร้าย มันจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนดีได้เหรอครับ

แล้วยิ่งเทวดาก็เข้ามาเสริมกำลังให้ทรพีด้วยยิ่งเข้าไปใหญ่เลย ประมาณว่า ราดน้ำมันลงในกองไฟเข้าไปอีก คราวนี้ก็มันส์ละครับ

ผมขอรับรองเลยว่า เรื่องนี้คนผิดคือพระศิวะ ที่ส่งคำสาปบ้าๆที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความผิดของนนทกาลเลย และคนที่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปไปตลอดชีวิตก็คือ ทรพี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ น่าสงสารมั้ยครับ ต้องฆ่าเพราะโชคชะตากำหนด และสภาพสังคม

บางที ทรพี กับ ทรพาไม่ควรเป็นควายด้วยซ้ำ เป็นแพะไปเลยยังจะเข้าทีกว่า (รันทดหนักเข้าไปอีก)

ฉะนั้น สิ่งที่พาลี หรือใครๆต่อใครๆ ตราหน้าว่า ทรพีเป็นลูกเนรคุณ จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

ในโลกนี้ยังมีคนอีกเยอะ ที่ถูกประณามว่าเป็นคนเลว ทั้งที่ความจริง เขาไม่สมควรจะถูกประณามหยามเหยียดแบบนี้ แต่จะมีสักกี่คน ที่มองลึกไปในตัวของแพะเหล่านั้นว่า เขาทำไปทำไม ทำไมเขาจึงไม่สามารถเลือกทางเดินที่ดีได้

แต่ในสังคมที่การบิดเบือนและการมองคนที่ผิวเผินกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมชมชอบและได้รับการยอมรับในสังคม แพะก็ย่อมกลายเป็นแพะอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต







น่าเศร้าที่คนเลวๆหรือว่าคนที่ไม่ควรได้รับการยกย่อง กลับเชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมและวรรณกรรมได้ ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจ

ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี

อีกแค่อาทิตย์กว่าๆ ก็จะถึง “วันตรุษจีน” (14 ก.พ.) แล้วนะจ๊ะ ซึ่งวันดังกล่าวถือว่าเป็นประเพณีที่มีความสำคัญมากสำหรับชาวจีน เพราะจะได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในปีใหม่ที่มาถึง ได้พบปะญาติพี่น้องที่อาจจะไม่ได้เจอกันมานาน และได้กราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย




ซึ่งก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนนั้นก็ต้องมีการเตรียมของไหว้มากมายไม่ว่าจะอาหารคาวหวาน ขนม ผลไม้ กระดาษเงิน กระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษ ฯลฯ ดังนั้นเพื่อให้เข้ากับประเพณีที่จะมาถึงนี้ จึงมี “ผลไม้มงคล 8 อย่าง” ที่มีความหมายดีๆ มาฝาก จ้ะ โดยเริ่มต้นจาก.....


ผลไม้มงคล ที่กินแล้วจะโชคดีตลอดทั้งปี

สาลี่ >> ทราบกันรึเปล่าจ๊ะว่าเจ้าผลไม้ลูกสีเหลือง ที่มีรสชาติหวานอร่อยนั้น ชาวจีนถือว่าเป็นผลไม้มงคล เพราะมันมีความหมายว่า “การรักษาคุณงามความดีเอาไว้อย่างมั่นคง และรักษาโชคลาภเงินทองไม่ให้เสื่อมถอยไปไหน”

องุ่น >> ผลไม้ที่มากันเป็นช่อพวง และมีรสชาติหวานนั้น มีความหมายว่า “ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหน้าที่การงานและชีวิต”


แอปเปิ้ล >> “มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง” นี่คือความหมายของผลไม้ชนิดนี้ และการกินแอปเปิ้ลเป็นประจำทุกวัน ยังช่วยเรื่องสุขภาพได้มากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น การบำรุงหัวใจ ช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความอยากอาหารซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

ลูกท้อ >> สำหรับชาวตะวันตกแล้ว พวกเขารู้จักผลไม้ชนิดนี้ในชื่อว่า Peach แต่สำหรับชาวจีนแล้ว พวกเขาเชื่อว่าผลไม้ชนิดนี้เป็นเครื่องหมายของ “ความยั่งยืน” และเป็นผลไม้ชั้นสูง สำหรับบูชาเทพบนสวรรค์

พลับ >> เป็นไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ ที่ผลพลับนั้นจะมีรสชาติหอม หวาน อร่อย และมีความหมายที่เป็นมงคลว่า “จิตใจที่หนักแน่นอย่างมั่นคง สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ได้ไปอย่างราบรื่น มีความขยันมั่นเพียรเป็นที่ตั่ง”

ทับทิม >> เพราะทับทิมเป็นผลไม้ที่มีเมล็ดมาก ดังนั้นจึงมีความหมายว่า “การมีลูกชายมากๆ” นั้นเอง นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่า ใบทับทิม เป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้พรมน้ำ และเอาไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัยจากภูติผีปีศาจอีกด้วย

ส้ม >> เป็นผลไม้ที่มีความหมายว่า “โชคดี ประสบแต่สิ่งดีๆ เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว” ซึ่งในส้มนั้นนอกจากจะมีวิตามินซีที่สูงแล้ว เปลือกส้มที่มองภายนอกว่าไม่มีค่าก็สามารถนำมาบีบหรือคั้นเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาดม หรือนวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการผ่อนคลาย และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทได้อีกด้วย

เกาลัด และพุทรา >> สำหรับในงานแต่งงานแล้ว ผลไม้ 2 ชนิดนี้จะมีความหมายว่า “ขอให้มีบุตรที่ดี สุภาพ มีมารยาทดีในเร็ววัน” ซึ่งเกาลัด มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระเพราะอาหารและลำไส้ ส่วนพุทรา เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ช่วยบำรุงเลือด และร่างกาย

2553/02/03

ประโยชน์ของการไปเรียนเมืองนอกคือ .... ?

1. ได้ประสบการณ์
ประสบการณ์ที่ว่านั้นก็คือประสบการณ์นอกเหนือตำราเรียน คือประสบการณ์ในการดูแลตัวเองนั่นละคะ เพราะต้องไปอยู่คนเดียวแบบไม่มีคุณพ่อคุณแม่หรือคุณเพื่อนตามไปดูแล เราก็ต้องดูแลตัวเองหมดเลย ตั้งแต่ซื้อของ ทำอาหาร ซักผ้า เก็บกวาดถูห้อง รวมถึงต้องควบคุมตัวเองด้วย เพราะการอยู่คนเดียวนั้น น้องๆ จะได้ใช้ชีวิตแบบอิสระมากๆ ไม่มีใครมาจู้จี้หรือบงการ เพราะฉะนั้นโอกาสในการเถลไถลออกจากกรอบก็ค่อนข้างสูงเลย ดังนั้นต้องรู้จักควบคุมตัวเองด้วยนะ แต่การไปอยู่เมืองนอกนี่ล่ะ ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของใครหลายๆ คน เรียกได้ว่าพอบางคนกลับมาไทยแล้ว นิสัยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว ถ้าใครอยากไปใช้ชีวิตแบบอิสระต้องดูแลชีวิตตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง การไปเมืองนอกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าลองนะ

2. ได้เพื่อน (และแฟน)
เพื่อนดีๆ มีอยู่ทั่วโลก และน้องๆ อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ได้เพื่อนแท้จากการไปอยู่ต่างแดนก็ได้นะคะ รวมถึงบางคนอาจจะฮอตฮิตป๊อปปูลาร์ อาจได้แฟนหรือคนรักจากการไปเรียนเมืองนอกก็ได้ ก็แหม....บรรยากาศเย็นๆ เหงาๆ มันเป็นใจให้หาใครมากอดใช่มั้ยล่ะ ^0^ (เขินๆ) แต่ถ้าใครมีแฟนอยู่แล้ว ก็อย่านอกใจแฟนด้วยการไปมีกิ๊กที่เมืองนอกล่ะ
3. ได้งานทำ


งานที่ว่าก็มี 2 แบบค่ะ
-งานพาร์ทไทม์ ซึ่งส่วนมากจะทำกันตามร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร fast food หรือตามร้านอาหารไทย หรือจะเป็นซุปเปอร์มารเก็ตก็ดูจะสนุกไปอีกแบบ
-ส่วนงานอีกรูปแบบก็คืองานจริงจัง เช่น บางคนเรียนจบแล้วเกิดผลการเรียนดีไปเข้าตากรรมการ อาจจะโชคดีได้งานทำที่นั่นเลยก็ได้นะ ลาภลอยมาเห็นๆ (เหมือนในหนังเรื่องกาลิเลโอไง) ไฮโซสุดๆ
4. ได้เที่ยว

เวลาว่างในวันหยุดจะปล่อยไปทำไมให้เสียเวลา ต้องหาเวลาออกไปลัลล้าข้างนอกกันสิ
เช่น บางคนไปเรียนที่อังกฤษ แต่กว่าจะเรียนจบก็เที่ยวล่อซะเกือบหมดทวีปยุโรปซะงั้นเลย 555 หรือในอเมริกา ก็มีหลายรัฐหลายเมืองที่น่าเที่ยว น่าอิจฉาซะจริงๆ เลย เรียกว่าเป็นของแถมที่สุดแสนจะคุ้มจริงๆ